ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 139-2 หมดสิ้นเรี่ยวแรง
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 139-2 หมดสิ้นเรี่ยวแรง
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินมาตรงหน้าเขา ยื่นมือออกมาแตะที่หน้าผาก แต่ไม่พบความผิดปกติ เลยเอามือลงถามว่า “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่าเพคะ ให้เรียกหมอหลวงหรือไม่”
ท่าป๋าหั่นหลินไม่พูด ได้แต่มองนาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก้มลงมองไปที่ตัวของตน แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นางจึงสงสัยเลยถามว่า “ทำไมถึงไม่พูดล่ะเพคะ หรือว่าในราชสำนักเกิดปัญหาที่แก้ไม่ตกหรือเพคะ”
ในที่สุดท่าป๋าหั่นหลินก็เอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ถ้าไม่มีคำสั่ง ห้ามผู้หญิงเข้าห้องทรงพระอักษร ฮองเฮาไม่ได้ถูกอบรมมางั้นรึ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโพลง มองจ้องไปที่เขา เม้มปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
“อย่างไรล่ะ ข้าพูดผิดงั้นหรือ หรือว่าฮองเฮามีความคิดเห็นเช่นไร” ท่าป๋าหั่นหลินถาม
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติ แล้วทำความเคารพ “หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันก้าวก่าย หม่อมฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ”
“ในเมื่อรู้ตัวว่าก้าวก่าย วันหลังก็ไม่ต้องมาห้องทรงพระอักษรอีกแล้ว เพื่อเป็นการลงโทษ ช่วงนี้ข้าจะไม่ไปหาเจ้าที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง”
หวงฝู่เย่าเย่ว์แอบชะงักไปเล็กน้อย “น้อมรับคำสั่งเพคะ”
“ออกไปสะ ข้าเห็นเจ้าแล้วรำคาญใจ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก้มหน้าลง น้ำตาไหลนอง ได้แต่กัดปาก เดินหันหลังออกไป แล้วไม่ทันระวังไปแตะเข้ากับฎีกาเล่มหนึ่ง ร่ายกายของนางจึงซวนเซ
ท่าป๋าหั่นหลินกำลังจะลุกขึ้นมายื่นมือไปพยุงนาง
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ท่าป๋าหั่นหลินหงุดหงิดจนเอามือทุบลงที่โต๊ะ เสียงดัง ปัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยความตกใจ หัวใจเต้นรัว
หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปไม่นานก็ออกมา พวกหมิงเย่ว์จึงตกใจ แต่ก็เข้าไปพยุงนาง “ฮองเฮาเพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วออกคำสั่ง “กลับตำหนัก”
แล้วทุกคนก็กลับมาที่ตำหนักเฟิ่งหลวน
หัวหน้าขันทีฮูมองห้องทรงพระอักษรที่เงียบสงัด แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกยาว เกรงว่าหลังจากนี้ ช่วงเวลาดีๆ ในวังแห่งนี้คงไม่มีแล้วสินะ
แล้วเวลากลางวันก็ผ่านไป ถึงจะมีเสียงของท่าป๋าหั่นหลินดังออกมาจากห้องทรงพระอักษร “ไปประกาศราชโองการที่ตำหนักเฟิ่งอี้ วันนี้ข้าจะไปเสวยพระกายาหารกลางวันที่นั่น”
เมื่อได้รับราชโองการ คนในตำหนักเฟิ่งอี้ก็ดีใจ ลุกลี้ลุกลน แล้วแต่งกายให้กับสนมอี้อย่างสวยงาม จนกระทั่งท่าป๋าหั่นหลินมาที่ปากประตูตำหนัก จึงเก็บข้าวของออกไป
สนมอี้ได้นำบ่าวรับใช้ทุกคนในตำหนักออกมาต้อนรับ คุกเข่าลงไปเป็นแนวยาว
ท่าป๋าหั่นหลินลงจากเกี้ยว เห็นสนมอี้ที่แต่งตัวสวยสด ก็เกิดความไม่ชอบใจ ได้แต่พูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ” แล้วเดินเข้าตำหนักไป
สนมอี้ลุกขึ้น เดินตามเข้าไปด้วยความปีติ เห็นเขานั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก็จัดแจงวางชามกับตะเกียบให้กับท่าป๋าหั่นหลินด้วยตัวเอง อีกทั้งยังคีบสำรับให้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท สำรับเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันกำชับให้ทางครัวทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ฝ่าบาทลองชิมหน่อยสิเพคะ ว่ารสชาติดีหรือไม่”
ท่าป๋าหั่นหลินกลับได้กลิ่นแต่แป้งหอมที่นางทา มันรุนแรงเสียจนเขาแทบทนไม่ไหวอยากจะจามออกมา ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบ หยิบตะเกียบขึ้นมา แกล้งๆ คีบสำรับใส่เข้าปากไปหนึ่งที
สนมอี้มองไปที่เขาด้วยความคาดหวัง รอจนเขาเคี้ยวเสร็จแล้วถามว่า “ฝ่าบาท อร่อยหรือไม่เพคะ”
ได้แต่แสร้งตอบไปว่า “อร่อย!”
สนมอี้ชอบใจ ลุกขึ้น แล้วคีบสำรับวางลงไปในจานของเขาอีก “ฝ่าบาทเสวยเยอะๆ เลยเพคะ ท่านผอมลงไปมากเลยจากที่หม่อมฉันเจอครั้งที่แล้ว”
ท่าป๋าหั่นหลินวางตะเกียบลง “วันนี้ข้าไม่ค่อยอยากอาหาร สนมกินเถอะ กินเสร็จ ก็ไปพักผ่อนกับข้าที่ตำหนักเฟิ่งอี้แล้วกัน”
พอเห็นเขาวางตะเกียบลง รอยยิ้มบนใบหน้าของสนมอี้ก็หายไป แต่พอฟังเขาพูดจบ ก็ตาโตด้วยความดีใจ “ฝ่า ฝ่าบาท”
“เจ้ากินเถอะ ข้านั่งมองก็พอใจแล้ว” ท่าป๋าหั่นหลินพยายามยิ้มออกมาอย่างฝืนใจ
สนมอี้รีบวางตะเกียบลง “เวลากลางวันนี้หม่อมฉันจะว่าง เลยกินขนมที่ทางครัวจัดเตรียมมาให้ เลยไม่หิวเลยเพคะ ฝ่าบาท ท่านนั่งรอก่อนนะเพคะ หม่อมฉันจะสั่งให้คนเก็บชามให้เรียบร้อย แล้วจะไปพักผ่อนกับฝ่าบาทเพคะ”
พูดจบ ก็ตะโกนเรียกคนจากด้านนอกเข้ามา “เข้ามา!”
บ่าวก็ก้มหน้าเดินเข้ามา
“เก็บของพวกนี้ให้เรียบร้อยเร็วเข้า”
บ่าวก็เดินเข้าไป เก็บกวาดจนสะอาด แล้วในห้องก็เงียบลง เหลือแค่สองคนเท่านั้น
“ฝ่าบาทเพคะ” น้ำเสียงของสนมอี้สั่นเล็กน้อย
ท่าป๋าหั่นหลินยืนขึ้น แล้วไปที่เตียง แล้วกางแขนทั้งสองข้างออก
สนมอี้เดินเข้าไป ยื่นมือที่กำลังสั่นไปถอดชุดของเขาออก แล้วเอาไปแขวนไว้อีกทางหนึ่ง
ท่าป๋าหั่นหลินนั่งลงที่เตียง
สนมอี้จึงคุกเข่าลง ถอดรองเท้าให้กับเขา
ท่าป๋าหั่นหลินนอนลง
สนมอี้ปิดม่านอย่างเบาๆ แล้วถอดชุดของตัวเองออก เสร็จแล้วถึงจะเปิดม่านมานอนข้างๆ ฝ่าบาทอย่างช้าๆ
ท่าป๋าหั่นหลินหลับตาลงไม่พูดอะไรอีก
สนมอี้แอบขยับหัวเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย แล้วขยับมือเบาๆ
ท่าป๋าหั่นหลินลืมตาขึ้นพอดี แล้วมองมาที่นาง
สนมอี้หน้าแดง “เอ่อ ฝ่าบาท”
ท่าป๋าหั่นหลินไม่พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่มองมาที่นางด้วยสายตาที่นุ่มลึก
สนมอี้ถูกมองจนกระวนกระวายใจ หน้าที่แดงก่ำค่อยๆ หายไป “ฝ่าบาทเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินก็ยื่นมือออกมา
สนมอี้ขยับหลบเล็กน้อย แล้วหลับตาลง
ไม่มีความเจ็บปวดแบบที่คิดไว้เกิดขึ้น แต่เป็นมือที่อบอุ่นวางลงที่สายรัดหน้าท้องของนาง
นางจึงลืมตาขึ้น แล้วมองท่าป๋าหั่นหลินอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนไหวว่า “ฝ่าบาทเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินกัดฟัน กำลังจะกระชากสายรัดหน้าท้องของนางออก ก็มีเสียงรายงานของหัวหน้าขันทีฮูดังขึ้นด้วยความดีใจ “ฝ่าบาท ไทเฮาเรียกท่านไปตำหนักหลวนเฟิ่งโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
การกระทำนั้นหยุดลง แล้วตะโกนตอบกลับไปว่า “เรื่องอันใด”
“ฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ… …”
ท่าป๋าหั่นหลินลุกขึ้นนั่งโดยทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ… …”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่าป๋าหั่นหลินก็ออกคำสั่งอย่างร้อนรนว่า “มาใส่ชุดให้ข้าที แล้วจัดขบวนไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง”
พูดจบ ก็เปิดม่านเดินออกไปทันที
แล้วก็มีนางกำนัลเดินเข้ามารีบใส่ชุดให้เขาอย่างรวดเร็ว แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็เดินออกไปทันที
สนมอี้ที่นอนอยู่ที่เตียง กำมือแน่น เล็บที่ยาวของนางทิ่มเข้าเนื้อไปอย่างไม่รู้ตัว สายตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ
แล้วขบวนเสด็จก็มาถึงตำหนักหลวนเฟิ่ง เกี้ยวยังไม่ทันจอดดี ท่าป๋าหั่นหลินก็รีบลงมา พุ่งตัวเข้าไปในตำหนักหลวนเฟิ่งโดยทันที
หวงฝู่เย่าเย่ว์นอนอยู่ที่เตียง สีหน้าซีดเซียว ไทเฮาได้แต่นั่งดีใจอยู่ที่ข้างเตียง แล้วบ่นนางว่า “เจ้านี่นะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่บอกข้าสักคำ หากว่าหัวหน้าหมอหลวงไม่มาบอกข้าล่ะก็ ตอนนี้ข้าคงยังไม่รู้อย่างแน่นอน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังจำพูดตอบ ก็เห็นท่าป๋าหั่นหลินเดินเช้ามา จึงชะงักไป หลังจากนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้นนั่งเพื่อทำความเคารพ
ไทเฮาห้ามนางเอาไว้ “เจ้าเพิ่งจะท้อง ท้องยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก จากนี้ไม่ต้องทำความเคารพแล้วล่ะ”
พูดจบ ก็หันไปหาท่าป๋าหั่นหลิน “เจ้ามีงานราชการต้องจัดการ ข้าไม่แปลกใจ แต่ฮองเฮาของเจ้าท้อง ทำไมเจ้ายังมีกะจิตกะใจไปตำหนักอื่นอีก”
ท่าทางของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เจื่อน เม้มปากแต่ไม่พูดอะไร
เมื่อมองไปที่หน้าของนาง แล้วมองลงไปที่ท้องของนาง ท่าป๋าหั่นหลินพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก เขามีลูกแล้ว เป็นลูกของเขาสองคน
ไทเฮาเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ยิ้ม แล้วยืนขึ้น “ข้าแก่แล้ว ถ้าไม่ได้นอนกลางวัน ร่างกายจะเหนื่อยล้า เจ้าดูแลฮองเฮาด้วย เจ้าจะต้องดูแลให้ดี หากเกิดอะไรขึ้นมา ข้าจะสอบสวนเจ้าเป็นคนแรก”
ท่าป๋าหั่นหลินมองจ้องไปที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ขอรับ”
ไทเฮาเดินส่ายหน้าออกไป
ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ บอกให้ทุกคนออกไป ให้เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ปิดม่านลง ไม่มองเขาอีก
ท่าป๋าหั่นหลินนั่งอยู่ด้านข้างเตียง ยื่นมือออกมา อยากจะไปจับท้องของนาง แล้วก็กลัวตนจะออกแรงมากไป เดี๋ยวกระเทือนถึงลูก มือที่ยื่นออกไปก็เก็บกลับ “ข้า ข้าไม่รู้ว่าเจ้าท้อง ถ้ารู้ เมื่อกลางวันคงไม่ทำเช่นนั้นกับเจ้า”
“หม่อมฉันไม่โกรธฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันก้าวก่ายเองเพคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยังคงปิดม่านเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ
ท่าป๋าหั่นหลินรีบอธิบาย “ข้า เมื่อเช้าข้าเจอปัญหาที่รับมือยากในราชสำนักน่ะ เย่ว์เอ๋อร์อย่าถือสาข้าเลย ข้ารับรอง วันหลังข้าจะไม่พูดจาแรงเช่นนั้นกับเจ้าอีกแล้ว”
แล้วหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เปิดม่านออก มองไปที่เขา แล้วพูดด้วยความเสียใจ “ฝ่าบาทไปตำหนักอื่น ก็เป็นเพราะปัญหาในราชสำนักด้วยหรือไม่เพคะ”
พูดจบ ก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าตนพูดอะไรออกไป จึงหน้าแดง อยากที่จะกัดลิ้นตัวเองเสียจริง
ท่าป๋าหั่นหลินก้มหน้ายิ้ม แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “เย่ว์เอ๋อร์กำลังหึงข้างั้นหรือ”