ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 141-2 ตัดขาดเยื่อใย
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 141-2 ตัดขาดเยื่อใย
ในขณะเดียวกัน ก็มีม้าเร็วออกจากด่านชายแดนไปสองคน มุ่งหน้าไปที่จวนอ๋องฉีในเมืองหลวงของรัฐอู่
ขันทีปั๋ววิ่งไปที่ตำหนักชิงเซวียน บอกเรื่องราวให้กับขันทีฮู เพื่อให้เขาเข้าไปบอกฝ่าบาท
ขันทีฮูส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ “ฝ่าบาทเมาหัวราน้ำ ปลุกก็ปลุกไม่ตื่น ได้แต่รอรายงานวันพรุ่งแล้วล่ะ”
“แต่ว่า หาก… …”
ขันทีปั๋วร้อนใจ
ขันทีฮูเขม็งตาใส่ “ข้าทำแบบนั้นไม่ได้ หรือว่า เจ้าเข้าไปเองสิ ดูสิว่าเจ้าจะเรียกฝ่าบาทตื่นได้หรือไม่”
เมื่อเห็นเขาเริ่มโกรธ ขันทีปั๋วจึงรีบเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้ม “พ่อบุญธรรม ข้าแค่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง หากเสียตำแหน่งหัวหน้าขันทีนี้ไป จพให้ท่านขายหน้าเอาได้นา ท่านอย่าหงุดหงิดไปเลย ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้ จะไปดูฮองเฮาให้ดี พวกนางจะได้ไม่ก่อเรื่อง”
ขันทีฮูพยักหน้าด้วยความพอใจ “นี่สิถึงจะเป็นลูกที่ดีของข้า กลับไปเถอะ ถ้าฝ่าบาทตื่นแล้ว ข้าจะเข้าไปรายงานทันที”
ขันทีปั๋วตอบรับ แล้วกลับตำหนักหลวนเฟิ่งไปทันที
หลินจ้งพาทหารมาที่ชายแดนของรัฐอิงแล้ว
นับตั้งแต่ได้รัฐอิงมาเป็นเมืองขึ้น ที่ประตูเมืองรัฐอู่ก็ไม่ได้มีทหารคอยเฝ้ายามอย่างเข้มงวดเหมือนกันแต่ก่อนแล้ว แต่พอท่านแม่ทัพที่คอยเฝ้าชายแดนนั้นเห็นทหารของรัฐอู่มามากมายในยามวิกาลเช่นนี้ ก็ตกใจ แล้วจึงลงมาถามหลินจ้งด้วยตนเอง
หลินจ้งชูราชโองการลับขึ้นมา “ฝ่าบาทมีราชโองการให้กับฮ่องเต้รัฐอิง พวกเรามาส่งราชโองการ”
มาส่งราชโองการจำเป็นต้องเอาทหารมาด้วยมากขนาดนี้งั้นรึ ทหารที่เฝ้ายามจึงนึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ห้าม เลยปล่อยพวกเขาเข้าไป
ตอนที่ทหารสามหมื่นนายมาถึงที่เมืองหลวง ฟ้ากำลังสว่าง ประตูเมืองหลวงยังไม่เปิด หลินจ้งก็ชูราชโองการขึ้นมาเหมือนเดิม
พลทหารที่เฝ้ายามก็สั่งให้คนเปิดประตูเมืองออก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สั่งให้คนรีบเข้าวังไปรายงานโดยด่วน
ท่าป๋าหั่นหลินที่เมาเละเทะจนมาถึงเวลาประชุมเช้าถึงได้สร่าง สั่งให้บ่าวใส่ชุดให้เขา แล้วเดินไปประชุมเช้าอย่างโซซัดโซเซ
ประชุมยังไม่ทันเสร็จ ก็มีรายงาน ท่าป๋าหั่นหลินขมวดคิ้ว ตะคอกถามว่า “พวกเขาได้บอกหรือไม่ว่ามาด้วยเรื่องอันใด”
“บอกว่ามาส่งราชโองการ... …”
ทหารยังพูดไม่ทันจบ ก็มีคนวิ่งเข้ามาในตำหนักด้วยความร้อนรน “ฝ่าบาท ฮ่องเต้รัฐอู่ส่งคนมาประกาศราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินยืนขึ้น เดินลงบันไดมา
หลินจ้งก็ถือราชโองการเดินเข้ามาเสียแล้ว
ท่าป๋าหั่นหลินโค้งคำนับเสร็จก็ยืนอยู่ที่เดิม ส่วนขุนนางทั้งหลายต่างคุกเข่ารอรับราชโองการ
หลินจ้งเปิดราชโองการออก อ่านออกเสียงดังฟังชัด “ท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ แต่งงานออกมาได้เดือนกว่าแล้ว ท่านอ๋องฉีและพระชายาคิดถึงเป็นอย่างมาก จึงมีรับสั่งพิเศษให้หลินจ้งมารับท่านหญิงกลับไปเยี่ยมครอบครัว เมื่อฮ่องเต้รัฐอิงได้รับราชโองการแล้ว จะต้องทำตาม ไม่มีข้อยกเว้น”
ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ได้ฟังดังนั้น ก็แปลกใจเป็นอย่างมาก ในใจมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หรือว่าอ๋องฉีกับพระชายาใกล้จะสิ้นแล้ว ฮ่องเต้รัฐอู่ถึงได้มีราชโองการเช่นนี้ออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินกลับหน้าทมิฬ ฮ่องเต้รัฐอู่มีราชโองการเช่นนี้ ถ้าหากบอกว่าเรื่องที่หวงฝู่เย่าเย่ว์แท้งไม่ได้แพร่ออกไปนั้น หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ
เมื่อเห็นเขาไม่ตอบรับ หลินจ้งจึงพูดด้วยเสียงดุดันว่า “ฝ่าบาท รับราชโองการเสีย แล้วสั่งให้คนไปพาท่านหญิงมา ระยะทางค่อนข้างไกล พวกเราต้องรีบกลับ”
ท่ามกลางสายตาขุนนางทั้งกลาย ท่าป๋าหั่นหลินจำใจต้องรับราชโองการนั้น ขอบพระคุณ และพูดกับหลินจ้งว่า “ฮองเฮาต้องเดินทางไกล ข้าไม่มีเวลาไปด้วย เลยอยากจะกำชับอะไรบางอย่าง ขอท่านโปรดรอสักครู่เถิด”
หลินจ้งพยักหน้า “เชิญเถิด”
ท่าป๋าหั่นหลินเดินออกมาจากตำหนักจินหลวน นั่งเกี้ยวพระที่นั่งมาที่ตำหนักหลวนเฟิ่งอย่างรวดเร็ว
ขันทีฮูเห็นสีหน้าดำทมิฬของเขา แต่ก็กัดฟันเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนรายงานให้กับเขาไป
“หยุดเกี้ยว!” ท่าป๋าหั่นหลินพูด
เกี้ยวพระที่นั่งหยุดลง
ท่าป๋าหั่นหลินลงมา แล้วเตะไปที่ขันทีฮูที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นบอกว่า “เป็นบ่าวรับใช้ภาษาอะไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดจึงไม่มารางงานข้า”
ขันทีฮูรีบอธิบายว่า “ฝ่าบาท ท่านดื่มสุราจนเมามาย บ่าวปลุกท่านอย่างไรก็ปลุกไม่ตื่นพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินถึงนึกออกว่าเมื่อคืนตนดื่มสุราจนเมาไม่เป็นท่า จนไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ แต่ความโกรธยังคงปะทุอยู่ภายใจ จึงถีบขันทีฮูอีกหนึ่งที หลังจากนั้นก็เดินไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยความโกรธ
ขันทีฮูเช็ดเลือดที่ไหลอยู่มุมปาก หลักจากนั้นก็รีบลุกขึ้นวิ่งตามหลังไป
เข้ามาที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง ถีบประตูออก แล้วเดินเข้าไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ใส่ชุดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนั่งอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นท่าป๋าหั่นหลินเดินเข้ามาด้วยความเกรี้ยวโกรธ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดวันนี้ฝ่าบาทถึงได้มีเวลามาที่นี่ล่ะเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินเดินเข้าไปหานาง มองนางด้วยความโกรธ แล้วพูดออกมาอย่างดุดันว่า “หวงฝู่เย่าเย่ว์ เจ้าอย่าได้ใจไปหน่อยเลย วันนั้นที่เจ้าได้เป็นฮองเฮาของข้าแล้ว ก็จะเป็นฮองเฮาของข้าไปตลอดชีวิต แม้จวนอ๋องฉีจะใช้วิธีนี้มาพาตัวเจ้ากลับไปได้ก็เถอะ ช้าเร็วเจ้าก็ต้องซมซานกลับมาหาข้าอยู่ดี”
“งั้นหรือเพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มแล้วถามกลับไป
ท่าป๋าหั่นหลินเห็นรอบยิ้มของนางแล้วขัดลูกตา อยากกระชากรอยยิ้มบนใบหน้าของนางทิ้งไปเสียให้สิ้นเรื่อง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ลุกขึ้น ทำความเคารพท่าป๋าหั่นหลิน “ฝ่าบาท กระหม่อมต้องไปแล้ว ท่านดูแลพระวรกายด้วยเพคะ แล้วก็ขอให้ท่านมีรัชทายาทได้ในเร็ววัน”
“หวงฝู่เย่าเย่ว์!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่สนใจ ยืนขึ้น แล้วสั่งพวกหมิงเย่ว์ว่า “พวกเราไปกันเถอะ กลับจวนของพวกเรากัน!”
พวกหมิงเย่ว์เข้ามา ประคองนางไว้ เดินออกไปด้านนอก พอออกมาถึงหน้าประตูตำหนัก
พอไม่มีคำสั่งของท่าป๋าหั่นหลิน บ่าวรับใช้ที่คอยเฝ้าประตูอยู่ก็ไม่กล้าปล่อยพวกนางออกไป
ท่าป๋าหั่นหลินเดินออกมาจากด้านใน มองหวงฝู่เย่าเย่ว์จากด้านหลังอยู่นาน ถึงจะออกคำสั่งว่า “ปล่อยพวกนางออกไป!”
บ่าวรับใช้ถอยออก แล้วพวกนางก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังเลยแม้สักนิดเดียว
ท่าป๋าหั่นหลินที่มองพวกนางเดินจากไป ในใจก็รู้สึกว่า การไปครั้งนี้ นางคงไม่กลับมาอีกแล้ว
หลินจ้งพาคนมายืนรอที่หน้าตำหนัก พอเห็นพวกนางเดินออกมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ ตอนที่กำลังจะทำความเคารพ เห็นร่างกายที่ซูบผอมของหวงฝู่เย่าเย่ว์ เลยตกใจ พลั้งปากถามออกไปว่า “ท่านหญิง ท่าน… …”
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกเราไปกันเถอะ… กลับบ้านกัน”
หลินจ้งก็ไม่กล้าถามต่อ จึงถอยออก กวักมือเรียกรถม้าที่ดูหรูหราทรงสง่าให้แล่นเข้ามา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นรถม้า พวกหมิงเย่ว์ตามขึ้นไป
พอพวกนางนั่งพร้อมแล้ว หลินจ้งโบกมือ ทหารสองหมื่นนายก็ล้อมรอบรถม้าเข้ามาแล้วค่อยๆ เดินทางออกจากเหมืองหลวงแห่งรัฐอิง
ท่าป๋าหั่นหลินยืนอยู่ที่ตำหนักหลวนเฟิ่งที่ว่างเปล่า ในใจรู้สึกมีบางอย่างขาดหายและเจ็บปวดเป็นที่สุด
พอออกนอกเขตรัฐอิงมาถึงเขตของรัฐอู่ หลินจ้งโน้มน้าวให้หวงฝู่เย่าเย่ว์พักสักสองสามวัน “ท่านหญิง ข้าได้สั่งให้คนไปส่งข่าวที่จวนอ๋องแล้ว เชื่อว่าซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยจะส่งคนมาในไม่ช้านี้ ท่านพักสักสองสามวันก่อนเถิดขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ในรถนี้ก็สบายดี พวกเราเดินทางไปพักไปได้ ขอบคุณผู้บัญชาการหลินมาก”
หลินจ้งโน้มน้าวนางไม่ได้ เลยให้นางรอก่อน แล้วกลับไปบอกครอบครัวของตนเสียก่อน บอกให้หลินฉงเหวินคอยดูชายแดนแทนเขา เขาจะนำกำลังพลสองหมื่นนายคุ้มกันหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับเมืองหลวง
หลายวันผ่านไป ณ จวนอ๋องฉี
ม้าเร็วสองคนนั้นมาถึงจวนอ๋องฉี ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด บอกกับนายประตูว่า “พวกเราได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการหลิน ให้มาส่งข่าวให้กับจวนอ๋องฉี เจ้ารีบเข้าไปรายงานโดยด่วน”
นายประตูก็วิ่งไปที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยทันที
หลายวันนี้ไม่รู้เหตุใดเมิ่งเชี่ยนโยวถึงรู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อได้รับรายงานจากนายประตู ก็สั่งให้เข้ามาทันที
เมื่อทั้งสองเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ล้วงจดหมายจากในอกออกมา ส่งมอบให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนอบน้อม “นี่เป็นจดหมายที่ผู้บัญชาการหลินสั่งให้พวกเรานำมามอบให้กับซื่อจื่อเฟย บอกว่าพอท่านอ่านแล้ว ก็จะรู้เองว่าคือเรื่องอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับไป เปิดออก อ่านอย่างรวดเร็ว สีหน้าแปรเปลี่ยน แล้วออกคำสั่งทันทีว่า “ชิงหลวน ไปเชิญซื่อจื่อกลับมาจากวังเดี๋ยวนี้! จูหลี เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะออกเดินทางไปชายแดนเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองคนตอบรับ แล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งกับนายประตู “เจ้าพาพวกเขาไปพบพ่อบ้าน แล้วตบรางวัลให้คนละหนึ่งร้อยตำลึง แล้วก็หาที่พักให้กับพวกเขา พอพักแล้ว ค่อยให้พวกเขากลับไป”
“ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”
ทั้งสองคนขอบคุณ ก็เดินตามนายประตูไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ ตอนนั้นที่นางทำพลุสัญญาณให้กับเย่ว์เอ๋อร์ไป ก็เพื่อเอาไว้ให้นางใช้ตอนวิกฤต จะได้ส่งสัญญาณบอกกับพวกเขาได้โดยง่าย แต่นางหวังมาโดยตลอดว่า อย่าให้นางได้ใช้มันเลย แต่คิดไม่ถึงว่า นี่เพิ่งเพิ่งจะไม่กี่เดือน นางก็ต้องใช้มันเสียแล้ว
ชิงหลวนมาถึงหน้าประตูวัง ก็บอกให้ขันทีที่เฝ้าหน้าประตูเข้าไปรายงาน
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้น ก็ออกจากวัง เดินไปถามชิงหลวนไปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่จวน
ชิงหลวนก็ตอบไม่ได้เช่นกัน ได้แต่บอกว่ามีจดหมายมาจากชายแดน หลังจากที่ซื่อจื่อเฟยอ่านแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป จึงบอกให้นางมาเรียกเขา อีกทั้งยังสั่งให้จูหลีไปเตรียมข้าวของอีกด้วย บอกว่าจะไปชายแดนเดี๋ยวนี้
หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดุดัน สั่งโจวอันว่า “ระดมพลองครักษ์ลับสามร้อยนาย ไปรอที่นอกเมือง”