ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 144-1 น้ำตาและการจากลา (1)
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 144-1 น้ำตาและการจากลา (1)
เมื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์พูดจบ ท่านอ๋องฉีก็พูดต่อทันทีว่า “เจ้าคิดดีแล้วงั้นรึ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า น้ำเสียงแน่วแน่ “เจ้าค่ะ!”
“ดี!”
ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้ถามต่อ หลังจากที่ตอบรับแล้ว ก็ออกคำสั่ง “เซวียนเอ๋อร์ เตรียมกระดาษพู่กัน ตอนแรกเป็นเพราะท่าป๋าหั่นหลินช่วยครอบครัวของเราเอาไว้ ข้าจำใจต้องตอบรับงานแต่งงานในครั้งนั้น มาวันนี้ หนังสือหย่าร้างฉบับนี้ ข้าจะเขียนมันเองกับมือ”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะ แล้วฝนหมึก
ท่านอ๋องฉีคลี่กระดาษออก หยิบพู่กันขึ้นมา จุ่มหมึกแล้วเริ่มเขียน
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินไปที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ ลูบหัวปลอบใจนางเบาๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์เริ่มร้องไห้ นี่คือครอบครัวของนาง ไม่ว่าเวลาใด เรื่องใด นางไม่ต้องหาเหตุผลใดเลย อย่างไรเสียก็ยังคงเป็นครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างนางเสมอ
หนังสือหย่าร้างเขียนเสร็จ ท่านอ๋องฉีก็หยิบขึ้นมา เป่าหมึกให้แห้ง ยื่นให้กับหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าไปที่วัง ให้ฮ่องเต้ลงประทับตราหยก แล้วสั่งให้คนนำไปส่งที่ชายแดนให้เร็วที่สุด แล้วให้หลินจ้งนำเข้าไปที่เมืองหลวงรัฐอิงด้วยตนเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนรับไป นำหนังสือหย่าร้างฉบับนี้มาที่ห้องหนังสือ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดออก แล้ววางลงตรงหน้าหวงฝู่ซวิ่น “ประทับตรา”
หนังสือหย่าร้างที่อยู่ตรงหน้าทำให้หวงฝู่ซวิ่นตกใจเล็กน้อย เลยเงยหน้าขึ้นมองหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดซ้ำอีกรอบด้วยความโกรธ “ประทับตราเสีย!”
ตั้งแต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับจวนมา ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ขนาดหัวหน้าขันทีที่คอยรับใช้หวงฝู่ซวิ่นที่ไปสืบเสาะมาจนถึงที่สุดแล้ว เสียเงินไปตั้งมากมายหลายตำลึง ก็เพิ่งจะได้เบาะแสมาจากบ่าวรับใช้ที่อยู่ในจวนอ๋องฉีมาได้แค่สภาพวันกลับมาของหวงฝู่เย่าเย่ว์เท่านั้น จึงนำมารายงานหวงฝู่ซวิ่นได้เท่านี้
หลังจากหวงฝู่ซวิ่นฟังจบ ก็ตกใจจนแทบตกจากบัลลังก์ เย่ว์เอ๋อร์มาถึงขั้นที่ต้องให้คนพยุงตอนเดินแล้วงั้นหรือ ตอนที่นางอยู่รัฐอิง นางเจออะไรมาบ้างกันเล่า
วันนี้มีหนังสือหย่าร้างมาอยู่ตรงหน้า แล้วบวกกับน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงไม่รอช้า รีบสั่งให้คนไปหยิบตราประทับมา ประทับลงไป “เจ้าเดรัจฉานท่าป๋าหั่นหลิน หากข้ารู้ว่ามันไม่สามารถดูแลเย่ว์เอ๋อร์ได้ ตอนนั้นคงไม่ได้ให้… …”
พูดยังไม่ทันจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็นำหนังสือหย่าร้างม้วนเก็บ แล้วหันหลังเดินออกไปทันที
หวงฝู่ซวิ่นได้แต่อ้าปากค้างนั่งอยู่กับที่
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ทำตามคำสั่งของท่านอ๋องฉี ว่าให้ม้าเร็วไปส่งที่ชายแดน แต่ให้โจวอัน “เจ้านำทหารองครักษ์ไปสามร้อยนาย นำไปส่งที่ชายแดน ยิ่งเร็วยิ่งดี”
โจวอันตอบรับ รับไป แล้วรีบระดมพลทหารสามร้อยนาย ขึ้นหลังม้าควบออกจากเมืองหลวงไปทันที
แปดวันผ่านไป ก็มาถึงชายแดน ฝุ่นตลบคลุ้งไปหมด พอเห็นหลินจ้ง ก็นำหนังสือหย่าร้างนี้ส่งให้กับเขา แล้วบอกให้เขานำทหารไปส่งมอบให้กับท่าป๋าหั่นหลิน
หลินจ้นระดมพลทหารมาหนึ่งพันนาย ไม่นานก็มาถึงเมืองหลวงรัฐอิง
ท่าป๋าหั่นหลินได้ยินดังนั้น ก็เดินออกมานอกวัง
หลินจ้งลงจากม้า เปิดหนังสือหย่าร้างออก ให้ท่าป๋าหั่นหลินเห็นตราประทับ หลังจากนั้นก็อ่านให้ทุกคนฟัง
“หนังสือหย่าร้าง: ข้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ยินยอมหย่าร้างกับท่าป๋าหั่นหลิน นับแต่นี้ต่อไป การอภิเสกสมรสของพวกเราถือว่าโมฆะ เลิกแล้วต่อกัน ไม่ติดค้างต่อกันอีก”
อ่านจบ ก็ลงจากม้า เดินไปหาท่าป๋าหั่นหลิน แล้วยื่นหนังสือให้กับเขา
ท่าป๋าหั่นหลินไม่ขยับ ได้แต่มองไปที่หนังสือหย่าร้างนั่น จ้องเสียราวกับจะให้มันทะลุเป็นรูอย่างใดอย่างนั้น
หลินจ้งก็ทำท่ายื่นให้เช่นนั้นไม่ขยับเช่นกัน
อยู่นาน ท่าป๋าหั่นหลินถึงยื่นมือออกมารับไปถือไว้ในมือ
หลินจ้งทำมือเคารพ เสร็จแล้วก็ขึ้นหลังม้า นำทหารหนึ่งพันนายกลับไปที่ชายแดน
ท่าป๋าหั่นหลินมองพวกเขาจากไป แล้วกระอักเลือดออกมา
“ฝ่าบาท!”
ขันทีฮูและบ่าวทั้งหลายต่างตกใจ รีบเข้ามา
ท่าป๋าหั่นหลินผลักพวกเขาออก แล้วเดินไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยความหนักหน่วงใจ
ส่วนที่เหลือก็ตามอย่างกระวนกระวายใจ
ท่าป๋าหั่นหลินเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนเดินกึ่งวิ่ง
บ่าวรับใช้ทั้งหลายก็เดินตามหลังมากับเหงื่อที่เปียกชุ่ม
จนกระทั่งมาถึงตำหนักหลวนเฟิ่ง ท่าป๋าหั่นหลินถึงหยุด แล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าดำทมิฬ
หลายวันมานี้ ท่าป๋าหั่นหลินมาที่นี่ตลอด ขันทีปั๋วและบ่าวรับใช้ทั้งหลายต่างเคยชิน จึงไม่ได้คุกเข่าลงคารวะอย่างเช่นเคย
ท่าป๋าหั่นหลินไม่สนใจพวกเขา เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักอย่างช้าๆ
ในตำหนักยังเหมือนเดิม ชิงช้ายังเหมือนเดิม ของทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม แต่เสียงหัวเราะที่เคยมีอยู่ที่นี่ นับแต่นี้ต่อไป มันจะไม่มีอีกแล้ว
ท่าป๋าหั่นหลินกำหนังสือหย่าร้างนั้นแน่นขึ้น ความโกรธที่ปะทุอยู่ภายในใจนั้นได้ถึงขีดสุดแล้ว จึงออกคำสั่งเสียงดังว่า “เอาคบเพลิงมา!”
ขันทีฮูชะงักไป แต่ก็กล้ารอช้า รีบไปหาคบเพลิงมา
ท่าป๋าหั่นหลินยกคบเพลิงขึ้น เดินเข้าไปด้านใน มาที่เตียงที่ทั้งสองคนเคยมีความทรงจำที่ดีต่อกัน แล้วโยนคบเพลิงลงไป
แล้วไฟก็ลุกขึ้นในพริบตา
เมื่อเห็นแสงไฟในตำหนัก ขันทีฮูและขันทีปั๋วก็ชะงัก แล้ววิ่งเข้าไปด้านในพร้อมกันทั้งสองคน แล้วดึงแขนของท่าป๋าหั่นหลิน “ฝ่าบาท อันตรายพ่ะย่ะค่ะ รีบออกไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินโดนทั้งสองคนลากออกมาด้านนอก
ขันทีฮูออกคำสั่ง “เร็วเข้า เอาน้ำมาดับไฟเร็วเข้า”
“ใครก็ห้ามขยับทั้งนั้น วันนี้ข้าจะเผาตำหนักหลวนเฟิ่งให้ราบคราบ”
เหมือนท่าป๋าหั่นหลินจะเสียสติไปแล้ว ออกคำสั่งด้วยความเกรี้ยวโกรธ
จึงไม่มีใครกล้าขยับ
ไฟลามไวมาก ไม่นาน ก็เผามอดไปทั้งห้อง แล้วยังมีท่าทีที่จะลามไปเรื่อยๆ
พอรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่กำลังลามเข้ามา จึงกลัวว่าท่าป๋าหั่นหลินจะเป็นอะไร ขันทีฮูกับขันทีปั๋วสองคน จึงรีบเข้าไปลากตัวท่าป๋าหั่นหลินออกมาด้านนอก
ไฟลุกโชนสีแดงที่สะท้อนขึ้นสู่ท้องฟ้าของเมืองหลวง แต่ละตำหนักต่างก็ส่งคนของตนออกไปสืบ พบว่าฝ่าบาทนั้นได้เผาตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยตัวเอง
นับตั้งแต่รู้ว่าท่าป๋าหั่นหลินเป็นคนบีบบังคับให้หวงฝู่เย่าเย่ว์เอาเด็กออก ไทเฮาก็เจ็บปวดใจจนประชวร และโกรธจนแทบจะเป็นลมล้มไป แล้วพูดตัดพ้อออกมาว่า “จบแล้ว มันจบสิ้นแล้วๆ จบสิ้นทุกอย่างแล้ว”
ส่วนนางสนมทั้งหลายที่ได้ยินข่าวนี้ กลับดีใจเป็นที่สุด ตำหนักหลวนเฟิ่งถูกเผาแล้ว ฮองเฮาไม่มีทางกลับมาได้อีกแน่ ขอแค่ได้ยั่วยวนฮ่องเต้มานอนด้วยให้ได้เท่านั้น อย่างนั้นผู้เป็นใหญ่ในฝ่ายในนั้นก็คงหนีไม่พ้นตนเองอย่างแน่นอน
หลินจ้งพาคนออกมายังไม่ทันถึงชายแดน ก็เห็นแสงไฟสีแดงเจิดจ้าไปทั่วฟ้า จึงส่ายหน้า
ไฟลุกโชนอยู่ข้ามวันข้ามคืน ในที่สุดก็หยุดลง ตำหนักหลวนเฟิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน ต้นไม้ใบหญ้า ถ้วยไหใบช้าม ล้วนกลายเป็นผุยผง โชคดีที่ขันทีฮูได้ให้คนออกไปกันเอาไว้ก่อน เลยไม่ได้ลามไปถึงตำหนักอื่นๆ
ท่าป๋าหั่นหลินอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักหลวนเฟิ่งมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว มองไปที่ตำหนักที่เคยสวยงามแต่ตอนนี้กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากนั้นก็หงายหลังล้มตึงลงไป
ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก รีบกรูกันมาช่วยฝ่าบาท และไปเรียกหมอหลวงมา
ผ่านไปสามวัน ท่าป๋าหั่นหลินถึงตื่นขึ้น พักฟื้นไปหลายวัน จนร่างกายกลับมาปกติ กลับมาประชุมเช้า กลับมาตรวจรายงาน ส่วนเรื่องตำหนักหลวนเฟิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ เขาทำเป็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วไม่พูดถึงเลยสักคำ
มีก็แต่อัครเสนาบดีและเสนาบดีกรมทหารและเสนาบดีกรมคลังและแม่ทัพใหญ่รู้สึกได้ว่า เวลาที่ท่าป๋าหั่นหลินมองมาที่พวกเขา มันเป็นสายตาที่อาฆาตแค้น ทำให้พวกคนเหล่านี้รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าเขาจะหาข้ออ้างแล้วมาฆ่าตนเอง
ส่วนเรื่องที่ท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องฉีได้ส่งหนังสือหย่าไปที่ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงนั้น ใต้แผนการลับของท่านอ๋องฉี และทหารองครักษ์ที่แพร่ข่าวออกไปอย่างแนบเนียนนั้น ไม่นานก็รู้กันทั่วทั้งเมือง
ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ เพราะนับตั้งแต่โบราณ หญิงที่แต่งเข้าวังไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม จะไม่ได้มีโอกาสออกมาจากวังได้อีกเด็ดขาด แต่ท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องฉีไม่เพียงแต่ได้ออกมาเท่านั้น ยังเขียนหนังสือหย่าร้างส่งให้กับฮ่องเต้รัฐอิงอีก นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะที่ผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ บ้างก็แอบอิจฉานางไปตามๆ กัน
แต่ไม่ว่าด้านนอกจะพูดเช่นไร ทางด้านจวนอ๋องฉีนั้นไม่ได้สนใจ เย่ว์เอ๋อร์หย่าไปแล้ว หลังจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับท่าป๋าหั่นหลินนั่นอีก ทุกคนก็วางใจลงได้ และบรรยากาศในจวนอ๋องฉีก็เริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง
ผ่านไปหลายเดือน จวนอ๋องฉีก็มีข่าวออกมาอีกว่า หวงฝู่สือเมิ่งคลอดเด็กอ้วนตัวขาวๆ ออกมา ครั้งนี้ จวนอ๋องฉีจึงกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง