ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 161 ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 161 ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก
ท่าป๋าหั่นหลินคุกเข่าทั้งสองข้างลง นั่งลงตรงหน้าไทเฮา ก้มหัวคำนับ “ขอบพระทัยเสด็จแม่” เขารู้ดีว่าไทเฮาตัดสินใจเช่นนี้ยากเพียงไร ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นถึงฮ่องเต้แห่งรัฐ ต่อให้เป็นลูกของชาวบ้านทั่วไป ฐานะที่บ้านพอใช้ได้ ไม่มีพ่อแม่แบบใดที่ยอมให้ลูกชายของตนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง เพราะว่า หลังจากแต่งเข้าแล้ว ฝ่ายชายอยู่ในบ้านฝ่ายหญิงไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใด
ท่าป๋าหั่นหลินยืนขึ้น
ไทเฮามองเขา ถอนใจยาวเหยียด “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ารีบไปจวนอ๋องเถิด แม่จะรอข่าวดีอยู่ที่บ้าน”
ท่าป๋าหั่นหลินออกจากเรือนไป ควบม้าเร็ว ตรงไปยังจวนอ๋องด้วยจิตใจมุ่งมั่น
นายประตูเข้ามา นอบน้อมขึ้นมาก รับเชือกผูกม้ามา ปล่อยเขาเข้าไปด้านใน
ท่าป๋าหั่นหลินเดินเข้าไปด้านใน ฝีเท้าลังเลเล็กน้อย เดินตรงไปยังเรือนหลัก
อ๋องฉีและพระชายาได้รับรายงาน มองหน้ากัน อ๋องฉีสั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “ให้เขาเข้ามา”
ท่าป๋าหั่นหลินเดินเข้าไปในห้องดอกไม้ ทั้งสองได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
หลังทำความเคารพ ยังไม่ทันเอ่ยปาก น้ำเสียงไม่พอใจของอ๋องฉีดังขึ้น “ฮ่องเต้รัฐอิงยังอยู่ในเมืองหลวงอีกหรือ ข้าคิดว่ากลับรัฐอิงไปแล้วเสียอีก”
องครักษ์ลับของจวนอ๋องมีอยู่ทั่วเมือง เรื่องเล็กน้อยเท่าใดก็รู้ได้ เรื่องใหญ่ถึงขนาดตนออกไปจากเมืองหลวงหรือไม่นั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร กล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อจะกล่าวโทษที่หลายวันมานี้เขาไม่ได้โผล่หน้ามาก็เท่านั้น ท่าป๋าหั่นหลินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจ กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างนอบน้อมว่า “ท่านปู่ ข้ากลับไปตัดสินใจมาขอรับ เมื่อได้การยอมรับจากเสด็จแม่แล้ว ข้าจึงกล้ามา”
“ตัดสินใจว่าอย่างไร ว่ามา!”
“ข้าจะแต่งเข้าจวนอ๋องขอรับ!”
สิ้นเสียง ภายในห้องรับแขกเงียบสงัด พระชายาเลิกตาโพลงมองเขา สงสัยว่าตนหูฝาดไปหรือไม่ มือที่ถือถ้วยชาอยู่หยุดชะงัก
“เจ้าว่าอะไรกัน ข้าฟังไม่ถนัด เจ้าว่ามาอีกทีสิ”
“ข้าจะแต่งเข้าจวนอ๋องขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินตอบอย่างไม่ลังเล พูดออกมาอย่างหนักแน่น
เพล้ง!
ถ้วยชาหล่นลงพื้น แตกกระจาย เสียงโกรธเคืองของอ๋องฉีแผดขึ้น “พวกเราไม่เพียงช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ แล้วยังต้องรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของเจ้าอีกหรือ ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ”
“ท่านปู่ มิใช่เช่นนั้นขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ รีบอธิบายว่า “ข้าไม่ได้มากินอยู่เสียเสียเปล่า ข้า…”
อ๋องฉีทำเสียงไม่พอใจ ย้อนถาม “ไม่มานั่งกินนอนกิน แล้วเจ้าจะทำสิ่งใด ใช้แรงงาน หรือว่าทำการค้าได้หรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินตอบไม่ได้ เขาเติบโตมาในวัง เรียนรู้แต่การปกครอง ไม่เคยรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วจะให้ทำการค้าได้อย่างไรกัน
พระชายากลับมีความคิด ว่าหากให้ท่าป๋าหั่นหลินแต่งเข้า อาศัยอยู่ในจวน ต่อจากนี้ก็จะอยู่ในสายตานาง หากเขาทำไม่ดีกับเย่ว์เอ๋อร์ คนในจวนก็จะรู้ทันที เย่ว์เอ๋อร์เคยได้พบกับเรื่องร้ายปานนั้น ใจจริง นางไม่อยากให้เย่ว์เอ๋อร์กลับรัฐอิงไปกับเขา อ้าปาก หวังจะช่วยท่าป๋าหั่นหลินขอร้อง
ราวกับว่าอ๋องฉีเข้าใจความหมายของนาง อาศัยช่วงที่ท่าป๋าหั่นหลินไม่ระวัง ถลึงตาใส่นาง
แม้ว่าพระชายาจะไม่เข้าใจความหมาย แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินถูกต้อนจนมุม พูดไม่ออกครู่ใหญ่
อ๋องฉีมองเขา กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าทำงานไม่ได้ สองทำการค้าไม่ได้ แล้วแต่งเข้าจวนอ๋อง หากไม่ได้มานั่งกินนอนกินแล้วจะทำสิ่งใด”
ความตื่นเต้นของท่าป๋าหั่นหลินพรั่งพรูออกมา ตลอดทางมา ในหัวมีแต่ภาพที่ทุกคนในจวนอ๋องได้ยินข่าวดีนี้ แล้วดีใจกันถ้วนทั่ว คิดไม่ถึงว่า อ๋องฉีจะปฏิเสธเช่นนี้ คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรไปชั่วขณะ “ข้า ข้า ข้า…”
“อย่าเอาแต่พูดว่า ข้าๆๆ อยู่ได้ การแต่งเข้า วิธีนี้ใช้ไม่ได้ เจ้ากลับไปคิดมาให้ดี ว่าต่อไปควรทำเช่นไร”
กล่าวจบ แผดเสียงสั่งคนด้านนอก “ใครก็ได้ ส่งแขกที”
ขณะที่ท่าป๋าหั่นหลินถูกส่งออกไปนอกจวน เขายังคงงุนงงอยู่ เหตุใดจึงไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้เลยเล่า
ขาก้าวเดินออกไปนอกจวน คล้อยหลังอ๋องฉีก็ได้สั่งให้คนไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา บอกความคิดของท่าป๋าหั่นหลินและความคิดเห็นของตน
“อย่างไรเขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ จะแต่งเข้าจวนนั้นไม่เหมาะ อีกอย่าง ในเมืองหลวงผู้คนหนาแน่น ต่อให้เขาเต็มใจย้ายเข้ามา แต่เวลาผ่านไปนาน ก็จะจมอยู่ใต้น้ำลายคนจนโงหัวไม่ขึ้น ถึงตอนนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีปัญหา ดังนั้นพ่อจึงได้ปฏิเสธเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เสด็จพ่อทำถูกแล้วเจ้าค่ะ คนธรรมดายังไม่ยินดีให้ลูกชายตนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง และนี่เป็นถึงฮ่องเต้ วันเหล่านี้ใจของไทเฮาคงจะทรมานมากเป็นแน่ พวกเราทำไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องให้เขาทำเช่นนี้”
พระชายาจึงได้เข้าใจ หน้าแดงขึ้นด้วยความละอาย “เมื่อครู่ข้าเองก็เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ แต่เมื่อได้ยินพวกเจ้าว่า เรื่องนี้ไม่เหมาะจริงๆ”
ท่าป๋าหั่นหลินกลับมายังหนานเฉิงด้วยความผิดหวัง
ไทเฮารอข่าวอยู่ที่บ้าน เห็นเขากลับมาด้วยความอิดโรย ในใจสงสัย จึงถามว่า “เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า ดูท่าเจ้าไม่ค่อยดีใจ หรือว่า…”
ท่าป๋าหั่นหลินขมวดคิ้วเป็นปม นั่งลงบนเก้าอี้ มองไทเฮาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เสด็จแม่ อ๋องฉีและพระชายาไม่ยอมให้ข้าแต่งเข้าจวน ข้าถูกไล่ออกมา”
“หา?”
ไทเฮาอ้าปากค้าง ชะงักไป
ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับมา ถามว่า “เหตุใดพวกเขาจึงได้ปฏิเสธ”
สำหรับนางแล้ว ลูกชายของตนยอมแต่งเข้าจวน เป็นเรื่องดียิ่งนัก เหตุใดคนจวนอ๋องจึงไม่ยินดีเล่า
เอ่ยถึงตรงนี้ ท่าป๋าหั่นหลินเห็นได้ชัดว่าซึมเศร้ากว่าเดิม “ท่านอ๋องว่าข้าทำงานหนักไม่เป็น ทั้งยังทำการค้าไม่เป็น หากแต่งเข้าไป ก็คงนั่งกินนอนกินเสียเปล่า”
เป็นจริงอย่างที่เขากล่าว ไทเฮาเอ่ยอะไรไม่ออก แต่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับมา “เจ้าจะนั่งกินนอนกินได้อย่างไร พวกเรามีทรัพย์สมบัติมากมาย รับรองว่าเจ้ากินทั้งชีวิตก็ไม่หมด”
แววตาของท่าป๋าหั่นหลินประกายขึ้นมา จากนั้นก็หม่นลงไป “เสด็จแม่ ทรัพย์สมบัติของจวนอ๋องก็ใช้ไม่หมดเช่นกัน พวกเขาคงรังเกียจที่ข้าไม่ได้ทำสิ่งใด นั่งกินสมบัติเก่าจนสิ้น”
ไทเฮาพูดไม่ออกอีกครั้ง
ท่าป๋าหั่นหลินเป็นถึงฮ่องเต้ จะให้เขาทำตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไป ทำงานใช้แรง ไปค้าขายหาเงินได้อย่างไร
ไม่นานข่าวเรื่องท่าป๋าหั่นหลินยอมแต่งเข้าก็ได้ลอยเข้าหูหวงฝู่เย่าเย่ว์ เมื่อรู้ว่าเขาต้องการทำเช่นไร จึงได้ด่าออกไป “เจ้าคนโง่” จากนั้นจึงได้สั่งให้คนเตรียมม้าเร็ว มายังหนานเฉิง ไม่ได้ให้นายประตูไปรายงาน ตรงไปยังเรือนหลักทันที
ไทเฮาและท่าป๋าหั่นหลินกำลังทุกข์ใจ เมื่อได้ยินหัวหน้าขันทีฮูตะโกนว่า “ฮองเฮาเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” จึงได้ตื่นเต้นขึ้นมา
ท่าป๋าหั่นหลินยืนขึ้น เดินไปที่ประตู ม่านประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินเข้ามาพอดี
“เย่ว์เอ๋อร์?”
ท่าป๋าหั่นหลินเรียกนางด้วยความยินดี
มองเขาเล็กน้อย ไม่สนใจเขา หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินตรงไปทำความเคารพไทเฮา “คารวะเสด็จแม่เพคะ”
เรียกเช่นนี้ แสดงว่ายอมรับท่าป๋าหั่นหลินเป็นคู่ครองแล้ว ไทเฮายินดีจนสั่นไปทั้งร่าง รีบกวักมือ “เย่ว์เอ๋อร์ มาหาแม่เร็วเข้า ให้เแม่ดูที”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยืนขึ้น เดินไปหานาง
ไทเฮายื่นมือคว้ามือนาง มองพิจารณานางอย่างดี พยักหน้าหลายที “สีหน้าดีขึ้นมากแล้ว วันพรุ่งก็สมรสได้ไม่มีปัญหา”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าแดงด้วยความเขินอาย หันหลังไปมองท่าป๋าหั่นหลิน กล่าวว่า “เสด็จแม่ ลูกชายจอมเขลาของท่าน อย่าว่าแต่วันพรุ่งเลยเพคะ ปีหน้าค่อยสมรสก็ยังได้”
ลูกชายของตนถูกด่าว่าเป็นจอมเขลา เป็นผู้ใดก็ย่อมไม่ยินดี แต่ไทเฮากลับฟังอย่างรื่นหู พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก เขาเป็นจอมเขลา มิเช่นนั้นจะทอดทิ้งภรรยาแสนดีเช่นเจ้าได้อย่างไร”
พูดจบ ก็ถลึงตาใส่เขา
ท่าป๋าหั่นหลินลูบจมูกของตน ยิ้มเจื่อนเล็กน้อย
ไทเฮาเก็บสายตากลับมา จูงหวงฝู่เย่าเย่ว์มานั่งข้างตน ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เรื่องวันนี้ เจ้าคงได้ยินแล้ว คนในจวนเจ้าไม่ยินดีให้ลูกข้าแต่งเข้า เจ้าว่าควรทำเช่นไรดี”
“ข้ามีน้องชายสองคน จวนอ๋องมีคนสืบทอด ไม่ต้องการเขาเข้ามาในจวนเพคะ”
“เช่นนั้น แล้ว…”
ไทเฮาต้องการถามบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าควรเอ่ยเช่นไร
ท่าป๋าหั่นหลินมองนางอย่างรอคอยเช่นกัน
“ลูกสาวต่างต้องออกเรือน มีที่ใดที่รับเขยเข้าบ้านบ้าง”
พูดอย่างชัดเจนแล้ว ไทเฮาและท่าป๋าหั่นหลินเข้าใจเป็นอย่างดี ไทเฮายินดียิ่งนัก ในใจคิดวนเวียนหลายคราว่า “ขอบคุณฟ้าดิน” จากนั้นกล่าวด้วยความยินดีว่า “ข้ารู้ว่าว่าคนจวนอ๋องเป็นคนรู้ความ ไม่มีทางให้เขาแต่งเข้าเป็นแน่ แต่จอมเขลาผู้นี้พูดว่าเจ้าไม่ยอมกลับรัฐอิงกับเรา กลัวว่าเจ้าจะน้อยใจ จึงได้มีความคิดไม่เอาไหนเช่นนี้”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า “เสด็จแม่พูดถูกเพคะ ข้าไม่อยากกลับรัฐอิงจริงๆ แต่นั่นมิได้หมายว่าเขาจะต้องแต่งเข้านะเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินลูบหัวของตน ถามลองใจว่า “เช่นนั้น ข้าควรทำเช่นไรดี”
ถลึงตาใส่เขา หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดด้วยความโกรธว่า “ข้าว่าเจ้าไม่ได้บาดเจ็บที่หัว แต่บาดเจ็บที่สมองใช่หรือไม่ สู่ขอเช่นไรเจ้าไม่รู้หรือ”
“หา?”
ท่าป๋าหั่นหลินมองนางด้วยความงุนงง ไม่ได้สติในทีแรก
ไทเฮาบัดนี้รู้แล้วว่าลูกชายของตนนั้นเขลานัก คำพูดชัดเจนเพียงนี้ยังไม่เข้าใจ จึงได้เอ่ยว่า “เย่ว์เอ๋อร์ อย่าไปสนเขาเลย ฟังแม่พูด เรื่องสมรสครั้งนี้ เจ้าคิดจะทำเช่นไร”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างออกรส ลืมท่าป๋าหั่นหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ อยากพูดสิ่งใดแต่กลับหาโอกาสแทรกไม่ได้ เขาร้อนใจนัก
คุยกันถึงครึ่งชั่วยาม หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงได้กลับจวน
ไทเฮาไม่ได้รั้งนาง มองนางเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม แอบถลึงตาใส่จอมเขลาของตน
ท่าป๋าหั่นหลินเข้าใจ รีบเดินตามไป กระซิบข้างหูหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “เย่ว์เอ๋อร์ วันพรุ่งข้าอยากไปสู่ขอเจ้าที่จวน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่สนใจเขา เดินต่อไป
“เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์…”
ท่าป๋าหั่นหลินเรียกนางเสียงดัง คนในจวนต่างหันมามอง
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าแดง หยุดฝีเท้า ถลึงตาใส่เขา “มีอะไรเล่า”