ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 19 ไล่ตามจนถึงชายแดน
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 19 ไล่ตามจนถึงชายแดน
ไม่นาน ประตูถูกแง้มออกมาช้าๆ ใบหน้าหยาบโลนของชายฉกรรจ์โผล่ออกมา เมื่อเห็นทุกคนชัดเจน จึงหลีกทางให้คนเหล่านั้นเข้ามา จากนั้นรีบปิดประตูทันที
ในห้องเงียบสงัด ฝีเท้าของชายฉกรรจ์เดินเร็ว เดินไปยังห้องห้องหนึ่งโดยไร้เสียงเล็ดลอด สั่งคนเหล่านั้นว่า “พวกเรารอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปเรียกแม่เล้ามา”
คนเหล่านั้นตอบรับ พร้อมคำนับอย่างนอบน้อม
ชายฉกรรจ์เดินเข้าไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับหญิงสาวอายุราวสี่สิบกว่า ร่างท้วม ใบหน้าโปะหนาด้วยแป้งฝุ่น มองพิจารณาและพูดว่า “เป็นของเล่นแบบใดกัน เปิดให้ข้าดูที”
คนเหล่านั้นกุลีกุจอวางหวงฝู่เย่าเย่ว์ลง เปิดผ้าห่มออก ให้แม่เล้าดูให้ชัด
แสงไม่สว่างพอ ดูไม่ถนัด แม่เล้าจึงได้หยิบโคมไฟใกล้มือลงมา ส่องไปที่หน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ เมื่อเห็นใบหน้าดำคล้ำของเขาจึงทำเสียง เฮอะ ในลำคอ ยื่นโคมไฟให้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง บอกให้เขาเอาขึ้นไปแขวนไว้ดังเดิม จากนั้นจึงได้จีบปากจีบคอ พูดว่า “ข้าว่าพวกเจ้าเห็นแก่เงินจนเสียสติไปแล้วล่ะ ของแบบนี้ยังกล้าเอามาขายให้ข้าอีกหรือ”
เหล่าชายฉกรรจ์มองหน้ากัน หนึ่งในนั้นกลืนน้ำลายลงคอ รีบพูดว่า “แม่เล้าเหลียน ท่านไม่เชื่อใจสายตาของเถ้าแก่ของเราหรือ มีครั้งใดที่เอาของมีตำหนิมาให้ท่านบ้าง เจ้านี่ถึงจะดำไปเสียหน่อย แต่ดวงตาคู่นี้ยั่วยวนคนเก่งนัก”
แม่เล้าเริ่มลังเล
หนึ่งในนั้นมีชายคนหนึ่งเดินออกมา กดเสียงให้ต่ำลงพูดว่า “จากที่ข้าลองสังเกตดู เจ้านี่รูปร่างดี เหมาะกับเป็นของเล่นของคนหนุ่มนัก”
รู้จักกับเถ้าแก่ของซีเฉิงมานานหลายปีแล้ว แม่เล้ารู้ดีว่าเขาเป็นคนตามีแวว อย่างน้อยคนที่ส่งมาให้ก็ทำให้นางได้เงินจำนวนมาก จึงค่อนข้างเชื่อใจคำของชายผู้นั้น แต่ว่ายังคงแสร้งทำเป็นไม่ยินดีเท่าใด “เอาล่ะ เอาล่ะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นลูกค้าประจำ ครั้งนี้ข้าจะทนรับไว้ก็แล้วกัน แต่ว่าเจ้านี่ดำไปหน่อย ราคาข้าจะให้ต่ำกว่าเดิมครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
แต่เดิมเอาคนมาส่งคนหนึ่งจะได้สามสิบตำลึง หากให้เพียงครึ่งจะมีเพียงสิบห้าตำลึง น้อยไป เหล่าชายฉกรรจ์ไม่พอใจ จึงต่อรองราคา “แม่เล้าเหลียน ราคาที่ท่านให้มันจะไม่น้อยไปหรือ ยี่สิบห้าแล้วกัน ท่านให้พวกเรายี่สิบห้าเถิด”
“อัยหยา สิบห้าตำลึงยังคิดว่าน้อยอยู่อีกหรือ ข้าจะบอกอะไรให้ ของแบบนี้ข้าซื้อมาก็ขาดทุน หากไม่ใช่เห็นแก่ว่าเราค้าขายกันประจำ คนนี้ให้เปล่าข้าก็ไม่เอา”
เหล่าชายฉกรรจ์ไม่พอใจ
แม่เล้าโบกมือ “หากพวกเจ้าไม่เต็มใจ อย่างนั้นก็แบกกลับไป อย่ามาเสียเวลาข้าเลย นี่มันกลางดึก ข้าง่วงจะตายแล้ว”
“ช้าก่อนๆๆ แม่เล้าเหลียน” เป็นชายคนเมื่อครู่ พร้อมกันนั้นก็ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ท่านให้ข้ายี่สิบตำลึง พวกเราสี่คนแบ่งกันผู้ละห้าตำลึง จะได้แบ่งพอดี”
ยี่สิบตำลึงก็ถูกกว่าเดิมถึงสิบตำลึง แม่เล้าสนใจ จึงได้ตอบตกลงในทันที แต่ใบหน้ายังคงแสร้งทำเป็นไม่ยินดี “กลับไปบอกเถ้าแก่ของพวกเจ้าว่ายี่สิบตำลึงนี้ข้าเสียเปรียบ หากครั้งหน้ายังส่งคนเช่นนี้มาอีก สิบตำลึงข้าก็ไม่ให้”
เมื่อเห็นว่าแม่เล้าตอบตกลงแล้ว เหล่าชายฉกรรจ์จึงได้คำนับ พูดประจบนางไม่หยุด
แม่เล้าหันหลัง นำร่างอวบท้วมเดินนวยนาดเข้าไปในห้อง หยิบเงินออกมายี่สิบตำลึง ยื่นให้ชายคนหนึ่ง
ชายหนุ่มรับมา หลังจากแม่เล้าโบกมืออย่างเหนื่อยหน่าย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณและจากไป
“เอาเจ้าคนนี้ไปทิ้งไว้กับคนพวกนั้น รอจนวันพรุ่งมันฟื้นแล้ว ค่อยว่ากัน” แม่เล้าหาวนอน สั่งเสียเสร็จก็หันหลังเดินกลับไปนอนทันที
ชายฉกรรจ์ใบหน้าน่ากลัวแบกหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นบ่าอย่างงายดาย มาถึงหน้าห้องหนึ่ง เปิดกุญแจดอกใหญ่ เอาร่างคนโยนเข้าไปอย่างไม่ใส่ใจ เดินออกมาทันที โดยไม่ได้มองคนห้าหกคนในนั้นแม้แต่น้อย จากนั้นปิดประตูดังเดิม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาไกลออกไป เด็กหนุ่มเหล่านั้นจึงได้ขยับเข้าไปใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความกลัวๆ เห็นดวงตาของเขาปิดสนิทจึงยื่นมือเขาไปโบกเล็กน้อย เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยา รู้ว่าเขาโดนมอมยาสลบ หลังถอนหายใจก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าควบม้าแล่นมาด้วยความเร็ว นอนกลางดินกินกลางทราย ใช้เวลาถึงสิบวันมาถึงชายแดน
ทั้งสองควบม้าเข้ามาในเมือง สีหน้าของคนในเมืองยังคงดูสงบ ดูไม่ออกว่ามีสีหน้าของความตระหนกเรื่องการรบ ท้องถนนก็คึกคัก เต็มไปด้วยเสียงเร่ขายของของเหล่าพ่อค้า และเสียงเจื้อยแจ้วของผู้คน
กลัวว่าจะขี่ม้าไปชนคนเข้า จึงได้ลงจากม้า และจูงม้าเดิน
เดินมาได้ระยะหนึ่ง หวงฝู่สือเมิ่งถามคนแก่ที่เดินผ่านมาว่า “ท่านตา ขอถามทีเถิดว่าค่ายทหารอยู่ที่ใดหรือ”
เมื่อเห็นเด็กสาวมาถามหาศาลาว่าการ ชายแก่จึงได้พิจารณานางเล็กน้อย ยื่นมือชี้ออกมา บอกนางว่า “เดินตรงไป ด้านซ้ายก็จะเห็นประตูของค่ายทหาร”
หวงฝู่สือเมิ่งกล่าวขอบคุณ เดินไปตามทางที่ชายแก่บอก ไม่นานก็มาถึงศาลาว่าการ
ประตูของค่ายทหารเปิดกว้าง หน้าประตูมีนายทหารคุ้มกันอยู่ หวงฝู่สือเมิ่งกำลังจะเดินไปแสดงตัวตน แต่หวงฝู่เฮ่าห้ามนางเอาไว้ก่อน เดินไปด้านหน้า บอกทหารนายหนึ่งว่า “รบกวนไปบอกผู้บัญชาการหลินว่าคนของจวนอ๋องจากเมืองหลวงมาขอเข้าพบ”
อายุของหวงฝู่เฮ่ามีเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี แน่นอนว่าทหารต้องไม่เชื่อ จึงได้มองเขาอย่างพินิจพิจารณา โบกมือ “ไป ไป ไป นี่ค่ายทหารใหญ่นะ ไม่ใช่ที่ที่เด็กจะมาวิ่งเล่น”
คิดไม่ถึงว่าจะถูกการปฏิบัติเช่นนี้ หวงฝู่เฮ่าจึงได้ชะงักไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งจริงจังขึ้น เดินไปหาพลทหาร ไม่กล่าวอะไร หยิบป้ายจวนอ๋องฉีขึ้นมา
พลทหารพวกนี้ถูกเกณฑ์จากชายแดน ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมของเมืองหลวง ดังเช่นป้ายห้อยเอวพวกนี้ แม้ว่าจะเห็นชัดว่าเป็นของจวนอ๋องแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ พูดว่า “ข้าเองไม่รู้ว่าป้ายห้อยเอวของจวนอ๋องหน้าตาเป็นเช่นไร หากเจ้าเอาป้ายของที่บ้านมาหลอกข้า ข้าก็ไม่มีทางรู้ได้นี่”
“เจ้า…” หวงฝู่สือเมิ่งถูดขัด จึงไม่รู้จะกล่าวอะไร
“ผู้บัญชาการของพวกเราออกตระเวนไปที่กำแพงเมือง หากพวกเจ้าอยากพบเขานัก ก็ไปรอตรงนั้น รอจนพวกกลับมาก่อนค่อยว่ากัน” พลทหารพูดพร้อมชี้ไปอีกทาง
ชื่อเสียงของอ๋องฉีใช้ที่นี่ไม่ได้ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าจึงจนปัญญา ทำได้เพียงจูงม้าไปรออีกด้าน
ราวๆ หนึ่งชั่วยามผ่านไป มีคนหนึ่งขี่ม้านำมา พลทหารหลายคนขี่ม้าตามมาติดๆ ตรงมายังศาลาว่าการ
พลทหารที่เฝ้าประตูอยู่กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านนายพลขอรับ!”
หลินจ้งลงจากม้า เดินก้าวยาวจะเข้าไปยังศาลาว่าการ
หวงฝู่เฮ่าจะโกนเรียกเขา “ผู้บัญชาการหลิน รอประเดี๋ยวขอรับ”
หลินจ้งมองมาตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กสองคนจึงได้ขมวดคิ้ว
ทิ้งเชือกในมือลง ทั้งสองเดินตรงไปหาหลินจ้ง
เมื่อเห็นหน้าหวงฝู่เฮ่าคล้ายคลึงกับหวงฝู่อวี้ หลินจ้งจึงได้ผงะไป ถามว่า “เจ้าคือ…”
หวงฝู่เฮ่าทำความเคารพ ตอบว่า “ข้าคือหวงฝู่เฮ่า เป็นคุณชายของจวนอ๋องขอรับ” พูดจบก็ชี้ไปทางหวงฝู่สือเมิ่ง กล่าวว่า “นี่คือพี่สาวของข้า หวงฝู่สือเมิ่ง”
สิ่งแรกที่ผุดมาในหัวก็คือทั้งสองเป็นลูกสาวและลูกชายของหวงฝู่อี้เซวียน หลินจ้งตกใจ ทำความเคารพทั้งสองด้วยความนอบน้อม “หลินจ้งทำขอคำนับท่านหญิงน้อยและซื่อจื่อ”
หวงฝู่เฮ่าพยุงเขาขึ้นมา อธิบายว่า “ผู้บัญชาการหลินเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าเป็นคุณชายใหญ่ของจวนอ๋อง มิใช่ซื่อจื่อ”
ไม่ใช่ซื่อจื่อ เป็นคุณชายใหญ่ หลินจ้งชะงักไป จากนั้นก็เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขา หวงฝู่เฮ่าเป็นลูกของหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็พูดใหม่ด้วยความนอบน้อมเช่นเดิม “หลินจ้งขอคำนับคุณชายใหญ่”
เมื่อเห็นว่าหลินจ้งปฏิบัติต่อทั้งสองด้วยความนอบน้อม พลทหารที่เอ็ดทั้งสองเมื่อครู่ยืนงง หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา
หลินจ้งพูดต่อว่า “เดี๋ยวก่อน ท่านหยิงน้อยและคุณชายมาทำอะไรที่ชายแดนหรือขอรับ”
มองซ้ายมองขวา หวงฝู่เฮ่ากล่าวว่า “ผู้บัญชาการหลิน ที่นี่ไม่สะดวกคุย หาที่ที่เหมาะสมคุยกันได้หรือไม่”
หลินจ้งเข้าใจ ยื่นมือออกมา ทำท่าทางเรียนเชิญ “เชิญทั้งสองท่านขอรับ”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่อวี้เดินก้าวยาวเข้าไป หลินจ้งเดินนำ
เมื่อทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน ร่างพลทหารอ่อนยวบลง กระสับกระส่ายครู่หนึ่ง คิดในใจ ตายล่ะ ตายล่ะ หากเขาเสียเวลาเพราะตน หัวของตนคงจะต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่
พลทหารอีกนายมองเขาด้วยความสงสาร
ทั้งสามเดินเข้าไปในจวน และนั่งลงอย่างเรีบบร้อย ไม่รอให้หลินจ้งเปิดปากพูด หวงฝู่เฮ่าก็ได้นำเรื่องที่หวงฝู่เย่าเย่ว์แอบหนีออกจากจวนเพื่อไปยังชายแดนให้หลินจ้งฟัง
เมื่อหลินจ้งฟังจบ ตกใจมาก จึงยืนขึ้นมา ถามว่า “ความหมายของท่านชายก็คือท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์มายังชายแดนแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ”
“ในจดหมายของนางว่าไว้เช่นนี้ แต่ว่าพวกเราติดตามมาตลอดทาง ก็ยังไม่พบร่องรอยของนาง พวกเราเองก็ไม่รู้ว่านางมาที่ชายแดนหรือไม่”
“อย่างนั้น…อยากให้ข้าทำอะไรหรือ” หลินจ้งถามด้วยความร้อนรน
“ขอให้ท่านผู้บัญชาการหลินได้โปรดช่วยแอบส่งคนไปสำรวจในเมืองที ดูว่าพี่เย่ว์เอ๋อร์ได้ไปที่ชายแดนจริงหรือไม่”
“ได้ ข้าจะรีบสั่งการทันที ท่านทั้งสองรอสักครู่”
หลินจ้งพูดจบ เรียกคนเข้ามาสั่งการทันที ทั้งเน้นย้ำว่าต้องดำเนินการอย่างลับๆ อย่าให้ใครรู้เรื่องได้
เมื่อสั่งการจบ พูดกับทั้งสองว่า “เมืองค่อนข้างใหญ่ ทั้งยังไม่สามารถกระทำการเอิกเกริกได้ อาจต้องการเวลานานเสียหน่อย ให้ข้าจัดการหาที่พักให้ท่านทั้งสองก่อนดีกว่า รอพวกเขาได้ข่าวอะไรมาแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปแจ้งข่าวท่าน”
เดินทางติดต่อกันนานหลายวัน หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่สือเมิ่งเหนื่อยมาก บัดนี้ได้มาถึงจวนผู้บัญชาการแล้ว ทั้งยังมีคนไปช่วยสืบหา ทั้งสองสามารภพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า “ขอบพระคุณผู้บัญชาการหลิน”
“คุณชายและท่านหญิงน้อยอย่าเกรงใจไปเลยขอรับ” หลินจ้งเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา สั่งให้เขาพาทั้งสองคนไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแขก
บ่าวรับใช้รับปาก พาทั้งสองไปยังห้องรับรองแขก
หลินจ้งยืนที่เดิม คิดเล็กน้อย เดินเข้าไปในเรือน มายังเรือนของหลินหันเยียน
มาอยู่ที่ชายแดนได้สิบกว่าปีแล้ว หลินหันเยียนคุ้นชินกับชีวิตที่นี่เป็นอย่างดี และก็เริ่มลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงไว้ข้างหลัง อยู่ที่ชายแดนอย่างสงบ เมื่อเวลาว่างก็ไปฝึกวิชาต่อสู้ เรียนงานบ้านงานเรือน วันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข
หลินจ้งเดินเข้ามา หลินหันเยียนที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่บนเก้าอี้มองเงยหน้ามองเขา ถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้จึงมาที่นี่ได้เจ้าคะ”
หลินจ้งมองนาง พูดว่า “เยียนเอ๋อร์ มีคนจากจวนอ๋องมาที่นี่”