ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 26 ไม่ปริปากเด็ดขาด
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 26 ไม่ปริปากเด็ดขาด
เถ้าแก่ยังคงต่อต้าน กะพริบตาด้วยความกลัว แสร้งทำเป็นไม่หวาดหวั่น ถามว่า “ผู้ ผู้…ใด อะไรกันหรือ”
เมิ่งชิงหยิบกระเป๋านี้ขึ้นมา “เจ้าของกระเป๋านี่”
“ไม่ ไม่รู้ กระเป๋านี่ข้าเก็บได้…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เลือดพุ่งออกมาต่อหน้าผู้คน
ผู้เห็นเหตุการณ์ตกใจเสียจนตัวเกร็ง ในใจเต้นระรัว ขณะเดียวกันในหัวก็ฉุกคิดได้ว่า คนผู้นี้ต้องเป็นบ้าไปแล้วเป็นแน่ อยู่ดีๆ ก็เข้ามาตัดแขนเขาไปครึ่งหนึ่ง
เถ้าแก่สลบไปทันที
ชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่มองดูแขนอีกครึ่งท่อนที่ร่วงอยู่บนพื้น อยากจะเป็นลมตามไป
เมิ่งชิงหันหน้าไปมองพวกเขา น้ำเสียงยังคงแน่นิ่ง ไม่มีการขึ้นลง พูดว่า “มีใครอยากพูดอะไรหรือไม่”
ไม่มีใครพูดอะไร
มุมปากของเมิ่งชิงเผยรอยยิ้มเลือดเย็นออกมา ก้าวช้าๆ เดินไปยังตรงหน้าของพวกนั้น ยกดาบขึ้นมา ชี้ไปตรงหน้าขอายฉกรรจ์นายหนึ่ง พูดพร้อมยิ้มว่า “ด้านขวาหรือด้านซ้ายดี”
ชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจความหมายที่เขาบอก จึงได้ถามด้วยความกลัวว่า “อะ อะไรหรือ”
เลือดสดพุ่งกระเซ็นออกมา
ชายฉกรรจ์กุมเอาไว้ เจ็บปวดเสียจนต้องลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น
รอยยิ้มของเมิ่งชิงไม่เปลี่ยนไป พูดกับชายฉกรรจ์ที่เสียสติไปแล้วว่า “ในเมื่อไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าพูด อย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บหูเอาไว้แล้ว” พูดจบ ก็ยกดายขึ้นมาโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ หูอีกข้างของชายที่นอนดิ้นอยู่กับพื้นก็หลุดออกมา
ไม่มีเสียงโอดร้องแล้ว เขาเจ็บเสียจนสลบไปแล้ว
ชายฉกรรจ์ที่เหลือกลัวเสียจนทรุดลงกับพื้น แย่งกันขอร้องว่า “นายท่านไว้ชีวิตด้วย นายท่านไว้ชีวิตด้วย ข้ายอมพูดแล้ว ข้าพูด…”
เมิ่งชิงยกดาบที่ใสสะอาดไม่มีคราบเลือดขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “ตั้งใจพูดให้ดี หากมีจุดใดบกพร่อง นี่จะเป็นจุดจบของพวกเจ้า”
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันกลัวจนใจจะขาดแล้ว ไม่มีทางปิดบังได้ จึงได้แย่งกันเล่าเรื่องที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกลักพาตัวไปขายให้ชิงเฟิงโหลวให้ฟัง
เมื่อหวงฝู่สือเมิ่งฟังจบ ภาพตรงหน้าก็มืดลง และเป็นลมล้มไป
ร่างกายของหวงฝู่เฮ่าเองก็สั่นเทาขึ้นมา
แต่สีหน้าของเมิ่งชิงกลับไม่เปลี่ยนไป ยังคงถามทั้งรอยยิ้มว่า “ชิงเฟิงโหลว?”
ใจของชายฉกรรจ์ทั้งหลายหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม พยักหน้าด้วยความกลัว “แม่เล้าที่นั่นเป็นคนมีเส้นสาย บังคับให้พวกเราวางยาพวกเด็กหนุ่มต่างเมืองและส่งไปให้นาง”
เมิ่งชิงได้ข้อมูลสำคัญจากปากเขาแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ย่นคิ้วเล็กน้อย ย้ำว่า “เด็กหนุ่ม?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า “ขอรับ เด็กหนุ่ม”
น้ำเสียงของหวงฝู่สือเมิ่งสั่นเครือ ถามด้วยความหวังว่า “ท่านน้าชิง คนผู้นั้นอาจไม่ใช่เย่ว์เอ๋อร์หรือ”
แววตาของหวงฝู่เฮ่าก็มีความหวังอีกครั้ง กลั้นหายใจ รอคำตอบจากเขา
แต่เมิ่งชิงกลับไม่ได้คิดในแง่ดีเช่นนั้น เด็กเย่ว์เอ๋อร์ผู้นั้นมีความคิดพิเรนทร์ไม่น้อย ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มออกจากบ้านก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เขาไม่ได้ตอบ ใจของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าค่อยๆ สลดลงไป ขณะที่กำลังจะสลดจนถึงขีดสุดนั้น เสียงของเมิ่งชิงก็ดังขึ้น “ใช่หรือไม่ เราไปดูเองเดี๋ยวก็รู้”
“ใช่ ใช่ ใช่ ไปดูดีกว่า” ทั้งสองได้สติ หันหลังเดินออกไป ด้วยความชุลมุน หวงฝู่สือเมิ่งสะดุดธรณีประตู หากมิใช่หวงฝู่เฮ่าพยุงนางไว้ นางคงล้มหน้าคะมำไปแล้ว
“พี่ใหญ่” หวงฝู่เฮ่าเรียกด้วยความเป็นห่วง
หวงฝู่สือเมิ่งฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็นไร ไปกัน เราชิงเฟิงโหลวกัน”
หวงฝู่เฮ่าเม้มปาก พยุงนางเดินออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เอาพวกมันไปด้วย” เมิ่งชิงสั่ง เดินก้าวเท้ายาวตามทั้งสองคนออกมา
องครักษ์ยื้อกระชากเถ้าแก่ที่สลบไป พร้อมทั้งชายฉกรรจ์ที่ทรุดลงอยู่กับพื้นตามไปด้วย
ทุกคนในโรงเตี๊ยมจากไปแล้ว บรรยากาศน่ากลัวหายไปด้วย แขกเหรื่อในโรงเตี๊ยมที่ตัวสั่นไม่หยุดและกลัวเป็นอย่างมากมาตลอดจึงได้ระเบิดเสียงออกมา วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตระหนก
“ที่นี่เป็นร้านมืดหรือนี่”
“คนพวกนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ตัดแขนของเถ้าแก่ทิ้งไป ตาไม่กะพริบเลยด้วยซ้ำ”
……
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนก็เริ่มกลัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ฉุกคิดได้ว่าจะต้องรีบหนีออกจากที่นี่ ไม่อยากเห็นภาพน่ากลัวเช่นนี้อีกแล้ว
คิดเช่นนั้นก็ทำทันที ทุกคนหันหลังกลับห้องของตนเอง เก็บข้าวของเสร็จก็ออกไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อออกไปด้านนอก เห็นพลทหารจึงนึกได้ว่าเมืองถูกปิดแล้ว พวกเขาอยากหนีก็หนีไม่รอด
ไม่นานหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่ารวมทั้งเมิ่งชิงก็มาถึงชิงเฟิงโหลว
กลางวัน แสงแดดกำลังดี เป็นช่วงที่ผู้คนกำลังทำงานยุ่ง แต่ชิงเฟิงโหลวกลับปิดประตูเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกมา
หวงฝู่สือเมิ่งร้อนใจเสียจนกำลังจะเข้าไปทุบประตู แต่เมิ่งชิ่งห้ามเอาไว้ “เมิ่งเอ๋อร์ อย่าผลีผลาม”
หวงฝู่สือเมิ่งหยุดนิ่ง หันหลัง มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งชิงไม่อธิบาย สั่งองครักษ์ว่า “ไปทุบประตู”
องครักษ์ได้รับคำสั่ง จึงเดินเข้าไป ยกกำปั้น ยังไม่ทันทุบลงไปบนประตู ประตูก็กลับถูกเปิดออกมาจากด้านใน แม่เล้าเดินส่ายเอวที่ค่อนข้างอวบอ้วนออกมา เมื่อเห็นคนตรงหน้า จึงตกใจมาก จากนั้นก็แกล้งหัวเราะว่า “อั้ยหยา เช้าวันนี้มีนกกางเขนมาร้องหน้าประตู จะต้องมีเรื่องดีขึ้น ที่แท้ก็มีลูกค้ามากมายเพียงนี้มาถึงที่เลย”
พูดจบ สายตาก็ไปหยุดที่หวงฝู่สือเมิ่ง ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้ว พูดด้วยความรู้สึกลำบากใจว่า “ที่นี่เรารับแต่แขกผู้ชาย เด็กสาวผู้นี้คงมาผิดที่แล้วล่ะ”
พูดจบ ก็มีแสงแล่นผ่านหน้านางไป มีดสั้นของหวงฝู่สือเมิ่งลอยไปทางนาง
สีหน้าของแม่เล้าไม่เปลี่ยนไป ทำเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ยังคงยิ้มตาหยีอยู่
เมื่อเห็นว่ามีดสั้นกำลังจะลอยมาถึงคอนางแล้ว ด้านหลังของแม่เล้าก็มีร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมา รีบมีดนั้นไว้อย่างมั่นคง ข้อมือออกแรง โยนกลับมาทางเดิม ด้วยความเร็ว ทำให้เมิ่งชิงต้องหรี่ตาลง ดาบในมือก็เตรียมตัวขวางมีดสั้นที่ลอยเข้ามาหาหวงฝู่สือเมิ่ง
เพล้ง เสียงดังขึ้น มีสั้นกำลังจะตกลงที่พื้น
หวงฝู่สือเมิ่งก้มลงด้วยความเร็ว หยิบมีดขึ้นมาไว้ในมือ
แววตาของแม่เล้าขยับเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นดังเดิม “อั้ยหยา เด็กสาวนี่มือเร็วเสียจริง แต่นิสัยเช่นนี้ไม่ดีเลยนา”
“นิสัยของเมิ่งเอ๋อร์ดีหรือไม่ ไม่ต้องให้แม่เล้ามาสั่งสอนหรอก พวกเรามาที่นี่เพื่อหาคน ซึ่งก็คนเด็กหนุ่มที่ถูกส่งมาจากโรงเตี๊ยมนี้หลายวันก่อน” พูดจบ ก็หลีกทาง ให้แม่เล้าเห็นเถ้าแก่และคนที่ถูกตัดหูจนเลือดอาบได้ชัดเจน
แววตาของแม่เล้าสั่ไหวนเล็กน้อย ถอยไปด้านหลังราวกับว่าตกใจมาก ตบอกตนเองพูดว่า “อั้ยหยา ตกใจหมดเลย เร็วๆ เอาคนออกไป แขกเหรื่อจะมาแล้ว เลือดหยดเต็มไปหมด เดี๋ยวแขกของข้ากลัวจนหนีไปหมด”
“เจ้าพาตัวคนออกมา ห้พวกเราเห็น หากมิใช่คนที่เราต้องการ เราก็จะไปเอง” เมิ่งชิงยิ้มและพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน
แม่เล้าสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือ น้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว พูดว่า “นายท่าน ท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ หากท่านมาหาความสุข ก็เชิญเข้ามา พวกเรายินดีต้อนรับ แต่หากท่านมาหาคน ท่านก็มาผิดที่แล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นรึ” เมิ่งชิงยิ้มเล็กน้อย ย้อนถาม
“แน่นอนเจ้าค่ะ ต่อให้ข้าใจกล้าเท่าฟ้า ข้าก็ไม่กล้าหลอกท่านหรอกนะ”
เมิ่งชิงหยักหน้าเบาๆ ดวงตายิ้ม แต่กลับไม่มีรอยยิ้มในแววตา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเลย”
พูดจบ โบกมือ องครักษ์ลับด้านหลังเดินเข้ามาพุ่งเข้าไปยังตัวแม่เล้า
แม่เล้าตกใจ ถอยหลังไปเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์ด้านหลังพุ่งเข้ามา ปะทะกับองรักษ์ลับ หลายสิบกระบวนท่าผ่านไป แต่กลับดูไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะ
เมิ่งชิงหรี่ตา พิจารณาชายฉกรรจ์ที่กำลังต่อสู้อยู่กับเหล่าองครักษ์ ร่างกายกำยำ หน้าตาน่าเกลียด มือไม้คล่องแคล่ว ไม่เหมือนกับคนที่ออกมาจากโรงเรียนฝึกวิชาทั่วไป
สีหน้าของแม่เล้าไม่เปลี่ยน มองดูการต่อสู้ตรงหน้าอย่างไม่เป็นกังวล มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
อีกหลายสิบกระบวนผ่านไป องครักษ์ไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่า เมิ่งชิงจึงได้ออกตัว ยื่นมือไปคว้าคอของแม่เล้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่ขณะที่มือของเขากำลังจะแต่คอของแม่เล้านั้น ก็มีลมแรงพัดมาจากด้านหลังของแม่เล้า ทำให้เขาจำต้องหดมือกลับมาที่เดิม
แม่เล้าทำสีหน้าเย้ยหยัน “นายท่านผู้นี้ ดูท่าทางดูดี มีสง่าราศี คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพวกกระจอกที่คอยรังแกคน กล้าลงมือกับผู้หญิงแรงน้อยเช่นข้า”
เมิ่งชิงไม่ได้ตอบโต้ ยิ้มและพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าชิงเฟิงโหลวเล็กๆ เพียงนี้ กลับเป็นถ้ำของเสือร้ายเสียได้ ข้าต้องมองใหม่แล้วจริงๆ”
ราวกับว่าแม่เล้าฟังความหมายโดยนัยของเขาไม่ออก ยิ้มและพูดว่า “พ่อคุ๊ณณ ชมเกินไปหน่อยแล้ว ท่านก็รู้ดี ว่าทำงานสายนี้มันไม่ง่าย หากไม่จ้างมือดีมาคอยคุ้มกัน ชิงเฟิงโหลวของข้าคงจะถูกทุบทิ้งไปนานแล้ว”
“เช่นนั้นเห็นทีแม่เล้าคงคิดไว้แล้วว่าอย่างไรก็จะไม่ให้พวกเราเข้าไป”
“อั้ยหยา พ่อคุณ ท่านอย่าพูดเช่นนี้เลย ที่นี่เราทำการค้าอย่างเปิดเผย หากท่านจะมาหาความสุขที่นี่ ก็มาได้เสมอ แต่หากจะมาหาเรื่อง…อย่างนั้นไม่ได้หรอก”
แม้จะอยู่นอกประตู แต่เมิ่งชิงก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของชิงเฟิงโหลว หมายถึงไม่มีแต่เพียงคนตรงหน้าเท่านั้น แต่ด้านในยังมีมือดีอีกมาก หากวันนี้ตนพาคนบุกเข้าไป ลำพังเพียงคนเหล่านี้ มองไม่เห็นทางที่จะทำได้เลย โดยเฉพาะหากพาเมิ่งเอ๋อร์และเฮ่าเอ๋อร์เข้าไปด้วย หากไม่ระวังทำพวกเขาบาดเจ็บเข้า ก็ยิ่งไม่มีหน้าเข้าหาหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปใหญ่
คิดถึงตรงนี้ ก็สั่งองครักษ์ลับว่า “หยุด”
เหล่าองครักษ์ถอยกลับมาอยู่ด้านหลังเขา ชายฉกรรจ์เองก็ถอยมาอยู่ในชิงเฟิงโหลว ก้มหน้า ยืนอยู่ด้านหลังของแม่เล้าด้วยความนอบน้อม
“เมิ่งเอ๋อร์ เฮ่าเอ๋อร์ พวกเรากลับ!” เมิ่งชิงประกาศ สั่งทั้งสองคน
หวงฝู่สือเมิ่งร้องเรียกด้วยความร้อนใจ “ท่านน้าชิง เย่ว์…”
“เมิ่งเอ๋อร์ หยุดพูด” เมิ่งชิงเอ็ดนาง
หวงฝู่สือเมิ่งไม่เข้าใจความหมายของเขา เบิกตาโต มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา