ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 34 สถานะเปิดเผย
หลินหันเยียนกล่าวขอบคุณและหันกายออกจากเรือน เมื่อถึงตอนที่รู้สึกว่าสองสามีภรรยาไม่ได้ตามออกมา ก็รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น หัวใจของนางใกล้จะหลุดลอยออกไปแล้ว คำพูดของผู้ดูแลคนนั้นวนเวียนอยู่ข้างหูโดยตลอด “นั่นเป็นเด็กหนุ่ม…” ใช่แล้ว ก็คือหวงฝู่เย่าเย่ว์ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มอย่างไรล่ะ อีกทั้งไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งจะเข้าไปในจวน นั่นจึงต้องเป็นนางอย่างแน่แท้
ในใจเต้นรัวด้วยความลิงโลด ก็ทำให้ยิ่งสาวเท้าเร็วขึ้นมาก ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม จึงหยุดฝีเท้าลง ทำใจให้สงบนิ่ง แล้วแสร้งทำท่าทางผิดหวังอย่างที่สุด แล้วถึงยกเท้าทั้งสองข้างเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมอย่างช้าๆ ราวกับโดนลงทัณฑ์
คนที่ออกไปดูเหตุการณ์กลับมาในโรงเตี๊ยมจำนวนไม่น้อยแล้ว เวลานี้กำลังรวมตัวอยู่ที่โถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง และพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคัก จึงไม่ใครสนใจคนที่ก้มหน้า ท่าทางเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างหลินหันเยียน ทว่า เถ้าแก่กลับสังเกตเห็นนาง และจากท่าทางนางแล้วก็ดูออกว่าทำเรื่องไม่สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอันใด กระทั่งให้หลินหันเยียนเดินมาถึงข้างโต๊ะรับแขกแล้ว ถึงกดเสียงต่ำสอบถาม “เป็นอะไรไปหรือ”
หลินหันเยียนเกือบจะร้องไห้ออกมา “พวกเขาบอกว่า หลายวันนี้ภายในจวนองค์ชายใหญ่ไม่มีคนเข้าไปเลย”
คาดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เถ้าแก่ก็อึ้งไป “เช่นนั้น…”
“ขอบคุณเถ้าแก่ที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนราวกับไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ หลังจากกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้ว ก็หันตัวกลับขึ้นไปด้านบน
เถ้าแก่อ้าปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรอคอยอยู่ที่ชั้นสองตลอด ครั้นเห็นท่าทางของหลินหันเยียน ในใจก็รู้สึกหนักอึ้ง ดวงตามองนางไม่กะพริบ
ใครจะรู้ว่าพอหลินหันเยียนมาถึงตรงหน้าพวกเขา ก็เผยรอยยิ้มที่ดีใจอย่างมากให้พวกเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปภายในห้อง
หัวใจของทั้งคู่เต้นไม่เป็นจังหวะไปครู่หนึ่ง มองตากัน แล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนเข้ามาในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับไปปิดประตู เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าหลินหันเยียน กดเสียงต่ำถามอย่างรีบเร่ง “ได้ความมาแล้วหรือ”
หลินหันเยียนพยักหน้า “ไม่กี่วันก่อน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งจะเข้าไปในจวน น่าจะเป็นท่านหญิงน้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเจ้าค่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่าได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกกระโจนขึ้นมา ล้อมรอบตัวนาง และมองนางอย่างคาดหวัง
รอยยิ้มของหลินหันเยียนคลายลง แล้วพูดปนด้วยความรู้สึกผิด “ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านหญิงน้อยเจ้าค่ะ เป็นพ่อบ้านในห้องครัวที่บอกมา”
“รู้ไหมว่านางอยู่ที่แห่งใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างรีบร้อน
จวนขององค์ชายใหญ่มีขนาดใหญ่โต ถ้าหากไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ที่ใด ต่อให้ค้นหาทั้งคืนก็ไม่แน่ว่าจะหาหวงฝู่เย่าเย่ว์เจอได้
หลินหันเยียนพยักหน้าหงึกๆ “ได้ความมาแล้ว อยู่ที่เรือนสวนดอกไม้ซูซินย่วน”
“ซูซินย่วน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดย้ำอีกรอบ แล้วพูดสั่งแต่ละคนทันที “เก็บของ พวกเราจะเปลี่ยนไปอีกโรงเตี๊ยม และไปช่วยเย่ว์เอ๋อร์ออกมาคืนนี้”
ทุกคนทำตามดังนั้น
ไม่นาน ทั้งห้าคนก็ลงจากด้านบนมาด้วยใบหน้าผิดหวัง และคิดบัญชีที่หน้าโต๊ะรับแขก
เถ้าแก่อ้าปากอยากจะปลอบใจ แต่ก็รู้สึกว่าพูดอะไรไปก็ล้วนไม่เหมาะสม จึงผลักเงินบนโต๊ะรับแขกที่หลินหันเยียนวางไว้กลับไป “ช่างเถิด ค่าห้องวันนี้ไม่ต้องจ่ายแล้วขอรับ ขอให้เดินทางปลอดภัยขอรับ”
หลินหันเยียนไม่ยอม และผลักกลับไปอีกครั้ง “ขอบคุณในน้ำใจของเถ้าแก่อย่างมากเจ้าค่ะ ท่านก็ลำบากเหมือนกัน อีกอย่าง พวกเรายังจะมาสืบข่าวบ่อยๆ ถ้าหากท่านไม่รับเงิน ต่อไปพวกเราก็คงเกรงใจที่จะมาพักที่นี่แล้วล่ะเจ้าค่ะ”
พูดถึงขนาดนี้ เถ้าแก่ก็พูดปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว จึงรับเงินมา และส่งทุกคนออกจากโรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง
เสี่ยวเอ้อร์ได้ลากม้าออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เมื่อทั้งห้าคนขึ้นรถม้า และหลินหันเยียนพูดกล่าวขอบคุณเถ้าแก่อีกครั้ง ก็ง้างบังเ**ยนตีม้า มุ่งหน้าไกลออกไป
แต่ละคนตามอยู่ด้านหลัง
จนกระทั่งเห็นว่าทั้งห้าคนไปไกลแล้ว เถ้าแก่ถึงหันกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
หลินหันเยียนเดินทางไปกลับกับผู้ชายที่ส่งผักสองรอบจึงคุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว พร้อมกับสอดส่องดูว่าโรงเตี๊ยมแห่งไหนที่มีระยะห่างค่อนข้างใกล้กับจวนองค์ชายใหญ่ ดังนั้นจึงขี่ม้านำหน้ามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อน
วันพรุ่งนี้ก็จะเกิดสงครามแล้ว วันนี้แขกหลายคนพากันออกจากโรงเตี๊ยม แล้วรีบเร่งกลับบ้านไป เมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าหากไม่ได้รับชัยชนะและถูกคนของรัฐอู่บุกเข้ามาก็จะลำบากเอาได้ หากคนในครอบครัวอยู่ด้วยกันก็ยังช่วยเหลือกันได้
ดังนั้น ภายในช่วงเวลาเดียว แขกในโรงเตี๊ยมก็น้อยลงไปถึงครึ่งหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์เห็นห้าคนขี่ม้ามา ก็รู้ว่าการค้าได้เข้ามาแล้ว จึงออกมาต้อนรับอย่างขะมักเขม้น แล้วถามอย่างประจบเอาใจ “พวกท่านมาพักหรือว่าแวะรับประทานอาหารขอรับ”
“มาพักเจ้าค่ะ!” หลินหันเยียนตอบ
เสี่ยวเอ้อร์ตะโกนเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมอย่างดีใจทันที “เถ้าแก่ขอรับ พักห้าท่านขอรับ”
เถ้าแก่พลันออกคำสั่งอย่างดีใจทันทีเช่นกัน “ลากม้าของแขกไปที่หลังเรือน และจัดการดูแลอย่างดี”
คำพูดของเขาสิ้นลง ก็มีเสี่ยวเอ้อร์วิ่งออกมาจากในโรงเตี๊ยมอีกหนึ่งคน แล้วทั้งสองก็ลากม้าห้าตัวเข้าไปด้านหลังเรือน
หลินหันเยียนเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม หลังจากซักถามและต่อรองราคาแล้ว ก็ขอห้องนอนด้านบนสามห้องดังเดิม
เถ้าแก่พาพวกเขาขึ้นไปด้านบนด้วยตัวเอง หลังจากดูห้องแล้ว เห็นแต่ละคนค่อนข้างพอใจ ก็รู้สึกสบายใจ และบอกพวกเขาว่า อีกประเดี๋ยวจะสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้เอาน้ำร้อนขึ้นมา แล้วจึงถอยออกไปด้วยใบหน้าชื่นบาน
หลินหันเยียนเข้าไปห้องตรงกลาง ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่าก็ตามหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
ทันทีที่เข้ามาในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินไปที่ข้างหน้าต่างพร้อมกัน เปิดหน้าต่างออก แล้วมองทอดออกไปที่จวนองค์ชายใหญ่
จริงๆ แล้ว ระยะห่างโรงเตี๊ยมกับจวนขององค์ชายใหญ่ยังนับว่าไกลอยู่มาก มองออกไปไกลๆ เห็นแค่เพียงเค้าโครงของจวนคร่าวๆ เท่านั้น แต่ว่าใจของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่วิตกกังวลมาหลายวันก็ผ่อนคลายลงเปราะหนึ่ง
หวงฝู่สือเมิ่งเอ่ยปากขอร้องเสียงเบา “ท่านแม่ ข้ากับเฮ่าเอ๋อร์จะตามไปช่วยเย่ว์เอ๋อร์คืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด “จวนองค์ชายใหญ่มีคนฝีมือดีมากมาย พวกเจ้าไปแล้วกลับจะยิ่งทำให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก อยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างตื่นตัวสักหน่อย แล้วเตรียมพร้อมรับช่วงต่อจากพวกแม่อยู่ทุกเมื่อ”
สิ่งที่เรียกว่ารับช่วงต่อก็คือให้พวกเขาสองคนเตรียมม้ากลางดึกให้เรียบร้อย ถ้าหากนางและหวงฝู่อี้เซวียนช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาแล้ว พวกเขาก็จะเร่งกลับไปที่ชายแดนอย่างไม่หยุดทั้งคืน
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจ แล้วพยักหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง
แต่ละคนใจร้อนอยากให้แสงของฟ้ามืดลงไวๆ สั่งอาหารมากินให้อิ่มตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วหลับตานอนพักอยู่บนเตียง รอให้ถึงเวลาเที่ยงคืน เพื่อลอบเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่ และช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมา
ภายในจวนขององค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่อยู่ในวังหลวงติดต่อกันหลายวัน ขับไล่ขันทีที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อสงครามแล้ว เวลาที่เหลือก็วางแผนยุทธศาสตร์อย่างเข้มงวดกับขันทีใหญ่และแม่ทัพหน่วยสงคราม ปลอบใจที่หวั่นกังวลของฮ่องเต้ที่บรรทมป่วยอยู่บนเตียง ไปค่ายทหารเพื่อปลุกขวัญกำลังใจและความกล้าหาญของทหาร จวบจวนใกล้ค่ำแล้ว องค์ชายใหญ่ถึงจะได้กลับเรือนของตัวเอง
หลังจากที่พระชายาได้ยินว่าพรุ่งนี้องค์ชายใหญ่จะนำทหารไปออกรบ ก็รู้ว่าวันนี้องค์ชายใหญ่จะต้องกลับมาที่จวนอย่างแน่นอน จึงส่งคนไปรออยู่หน้าประตูจวนแต่เนิ่นๆ จนกระทั่งองค์ชายใหญ่ลงจากม้า สาวใช้ผู้ติดตามของพระชายาก็เข้าไปต้อนรับ โค้งตัวทำความเคารพ และกล่าวอย่างนอบน้อม “องค์ชายใหญ่เพคะ พระชายาได้รอพระองค์หลายชั่วยามแล้วเพคะ”
ตนเองจะนำทหารออกรบด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร เรื่องบางอย่างภายในจวนจึงต้องคุยกับพระชายาจริงๆ
“รู้แล้ว” เมื่อรับคำแล้ว ทันทีที่องค์ชายใหญ่เดินเข้าประตูจวน ก็ตรงมาที่พักของพระชายาเลย
บ่าวที่รับใช้ในจวนโค้งตัวทำความเคารพ แล้วเรียกอย่างนอบน้อม “องค์ชายใหญ่เพคะ”
ขณะนั้นพระชายากำลังเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในด้วยความร้อนใจพอดี เมื่อได้ยินเสียงบ่าว ก็รีบแหวกม่านประตูเดินออกมา ถามอย่างยินดี “กลับมาแล้วหรือเพคะ”
ใบหน้าขององค์ชายใหญ่เผยรอยยิ้มที่อบอุ่น ยื่นมือไปโอบพระชายา แล้วถือโอกาสโอบนางเข้าไปในห้อง “ข้าไม่อยู่ที่จวนหลายวันนี้ เป็นห่วงแล้วสินะ”
พระชายาพยักหน้า “เป็นห่วงมากจริงๆ เพคะ ท่านก็ไม่รู้จักให้คนส่งสารกลับมาเลย หม่อมฉันล้วนไม่รู้ทั้งสิ้นว่าเกิดอะไรขึ้น กังวลจนไม่ได้นอนหลายวันเลยเพคะ”
องค์ชายใหญ่ส่งเสียงหัวเราะอย่างเริงรมย์ “วันนี้ยุ่งกับการหารือเรื่องสงครามกับรัฐอู่ จึงลืมเสียสนิท” พูดจบก็หอมแก้มของพระชายา พอเห็นใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ก็พูดอย่างมีความสุข “แต่ว่า ข้าไม่กังวลแม้แต่น้อย พระชายาของข้าเก่งขนาดนี้ ต้องจัดการเรื่องภายในจวนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว”
ได้รับคำปลอบใจและคำเชยชม สีหน้าของพระชายาก็ยิ่งแดงก่ำขึ้น เห็นองค์ชายใหญ่นั่งลงแล้ว ก็เปล่งเสียงสั่งให้จัดแจงยกอาหารเข้ามา
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรับคำ แล้วก็ยกอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อยในห้องครัวมาอย่างรวดเร็ว
พระชายาก็นั่งลงด้วย และยิ้มพูด “นี่เป็นอาหารที่พระองค์ชอบเสวย ก็เลยกำชับคนในห้องครัวให้ทำเป็นพิเศษ พระองค์เสวยมากหน่อยนะเพคะ”
พูดจบ ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวลงในชามตรงหน้าองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ก็ไม่ปฏิเสธ ยกขึ้นมากินคำใหญ่ๆ
เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย พระชายาก็ใจชื้นขึ้น ทั้งมื้ออาหารก็ห่วงแต่เพียงคีบอาหารให้เขา แต่ตัวเองกลับกินน้อยมาก
องค์ชายใหญ่มองเห็นแล้ว ก็เผยสีหน้าที่เอ็นดูทันที จึงวางชามของตัวเองลง แล้วคีบกับข้าววางบนชามนาง “เจ้าก็กินด้วยกันเถิด ไม่ต้องเอาแต่ดูแลข้า”
พระชายายกชามขึ้นอย่างดีใจ แล้วกินอาหารบนชามคำเล็กๆ ทีละคำจนหมด
องค์ชายใหญ่ก็คีบให้นางอีกหน่อย
อาหารมื้อนี้ก็จบลงที่ทั้งสองพลอดรักกันอย่างหวานชื่น
หลังจากสั่งบ่าวเก็บชามและตะเกียบแล้ว ก็นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายใหญ่ฝากฝังเรื่องภายในจวนทั้งหมดแก่พระชายาด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้จะรบไปถึงเมื่อใด เรื่องภายในจวนก็ต้องมอบให้เจ้าแล้ว เรื่องทุกอย่างภายในจวน เจ้าสามารถตัดสินใจได้เลย”
ขณะที่พระชายารู้สึกยินดีก็แอบมองสีหน้าขององค์ชายใหญ่ในเวลาเดียวกัน แล้วฮึดความกล้าอยู่นาน ถึงจะลองกล่าวสอบถามดู “รวมถึงซูซินย่วนคนนั้น ข้าก็สามารถจัดการได้ตามอำเภอใจใช่หรือไม่เพคะ”
ท่าทางขององค์ชายใหญ่ชะงักไปเล็กน้อยทันใดราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าภายในจวนยังมีคนเช่นนั้นอีกหนึ่งคนมา จึงหัวเราะเสียงดัง “แน่นอน เข้ามาในจวนขององค์ชายใหญ่อย่างข้าแล้ว ก็ล้วนเป็นคนในจวนทั้งสิ้น เจ้าสามารถสั่งสอนได้เต็มที่”
พระชายาพินิจดูการแสดงออกของเขาโดยตลอด เมื่อเห็นเขามอบคนให้แก่นางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ความพะว้าพะวงภายในใจหลายวันก็คลายลง และยิ้มพูด “ท่านวางใจเถิดเพคะ เขาเป็นคนที่ท่านพากลับมา เพียงแค่เขาไม่ก่อความเดือดร้อน หม่อมฉันก็จะไม่ลงมือกับเขาหรอกเพคะ”
องค์ชายใหญ่แอบถอนหายใจโล่งอก เอนตัวอุ้มพระชายา โยนลงบนเตียง แล้วร่างกายก็แนบทับตามเข้าไป
เมื่อเมฆและฝนผ่านไป พระชายาเหน็ดเหนื่อยมากจนนอนหลับไป
องค์ชายใหญ่กลับลุกขึ้นนั่งบนเตียง จ้องมองพระชายาตาด้วยสายตาดุดันภายใต้เงามืดยามราตรีราวกับแทบอยากจะแล่เฉือนนางออกเป็นชิ้นๆ ในเดี๋ยวนั้น เพื่อดับสุมเพลิงแห่งความดาลเดือดที่อยู่ในใจของตัวเอง
ตั้งแต่ที่ได้เข้าใจเรื่องความรัก เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองชอบผู้ชาย หาใช่ผู้หญิงไม่ ทว่า เขาไม่กล้าให้ใครรับรู้ เหล่าพี่น้องของเขามีตั้งมากมาย ถ้าหากเผลอให้พวกนั้นล่วงรู้ถึงรสนิยมนี้ของเขา ก็อย่าหวังว่าชีวิตของเขานี้จะได้เป็นผู้ขึ้นครองบัลลังก์อันแสนล้ำค่านั่นอีกเลย ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องอภิเษกสมรสกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ ก็ใครใช้ให้พ่อของนางเป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่โตกันเล่า ตัวเองอยากจะได้บัลลังก์อันแสนล้ำค่านั่น ก็จำเป็นต้องพึ่งบารมีของเขา แต่ทุกครั้งที่เขาต้องทำตัวสนิทสนมรักใคร่กับผู้หญิง ร่างกายของเขาก็รู้สึกต่อต้านจากภายใน แต่ก็ดันผ่านมาได้หลายปีขนาดนี้แล้ว ท้องของนางก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แม้แต่เด็กชายหรือเด็กหญิงสักคนก็ไม่ได้มีให้เขา เขาทั้งคับแค้นและเกลียดชัง แต่ก็จนปัญญา
คิดถึงตรงนี้ ในใจก็รู้สึกรำคาญและสับสน จึงยื่นนิ้วมือออกไปสกัดจุดนาง สวมใส่เสื้อผ้า ลงจากเตียง และเดินออกไป
สาวใช้ที่เฝ้ายามดึกหน้าประตูสะดุ้งตกใจ แล้วรีบทำความคารพ
องค์ชายใหญ่โบกมือ “ข้านอนไม่หลับ จะไปเดินเล่นในสวนเสียหน่อย”
สงครามกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ความคิดในใจขององค์ชายใหญ่ย่อมต้องมีมากมาย เหล่าสาวใช้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
องค์ชายใหญ่ออกจากเรือน ตรงมาถึงเรือนที่หวงฝู่เย่าเย่ว์พักอาศัย
เที่ยงคืนผ่านไปแล้ว บ่าวรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูสัปหงกอยู่ตลอด
องค์ชายใหญ่เดินมาตรงหน้าพวกเขา ทั้งสองคนถึงจะสะดุ้งตื่น พอเงยหน้า และเห็นชัดว่าเป็นองค์ชายใหญ่ ก็ผวาจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง แล้วคุกเข่าลงบนพื้นดัง ตึง ทันที พร้อมร้องขอเมตตาอย่างกระสับกระส่าย “องค์ชายใหญ่ไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายใหญ่ไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกใจตื่น และลืมตาขึ้นโดยทันที แล้วลุกตัวขึ้นนั่งเตรียมรับมือ
“คนล่ะ” กวาดสายตามองพวกเขาอย่างง่ายๆ แล้ว องค์ชายใหญ่ก็ถามอย่างใจเย็น
“อยู่…อยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งคู่ตอบเสียงสั่น
“ถ้ายังมีครั้งต่อไป ข้าจะลากพวกเจ้าออกไปให้หมากิน”
องค์ชายใหญ่พูดอย่างสบายๆ แล้วเอื้อมมือผลักประตูเปิดออก และเดินเข้าไปในห้อง
บ่าวทั้งสองคนหวาดประหวั่นจนเหงื่อซึมไหลจากศีรษะไม่หยุด หลังจากที่องค์ชายใหญ่ซื้อพวกเขามาจากรัฐอู่แล้ว ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มกับพวกเขาตลอด ไม่เคยพูดจาแรงเช่นนี้กับพวกเขา
ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงยืนอยู่ ในมือถือตะเกียบที่หลายวันก่อนกินข้าวเสร็จแล้ว แสร้งทำเป็นพลาดพลั้งทำหักครึ่งท่อน
องค์ชายใหญ่เดินเข้ามาในห้อง เห็นผมของ ‘เขา’ ยุ่งเหยิง ยืนชิดติดเตียง นัยน์ตาก็ส่องประกายขึ้นมา ไม่พูดอะไรให้มากความ สาวเท้าเดินเข้าไปตรงหน้าเขา แล้วยื่นมือออกไปเพื่อฉีกเสื้อผ้าของ ‘เขา’