ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 72 ดูหมิ่น
พอคนเดินออกไป จะไปห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว หัวหน้าขันทีผู้ดูแลได้แต่ก่ายหน้าผากเช็ดเหงื่อ แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับเข้าไปรายงาน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้ากลับมาจวนอ๋อง แล้วตรงไปที่เรือนของพระชายาฉีโดยทันที
วันนี้เป็นวันที่ทั้งสองคนไปบ้านแม่ยาย นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาเร็วเช่นนี้ พระชายาฉีรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องแน่นอน เลยถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วนักล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“ฮ่องเต้มีเรื่องด่วนเลยส่งคนมาเรียกตัวพวกเราเข้าวังขอรับ จึงกลับมาเร็ว” หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าท่านอ๋องฉีไม่ได้อยู่ในห้อง เลยบอกไปไม่หมด
สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็อารมณ์ไม่ค่อยดี พระชายาฉีจึงอดถามไม่ได้ว่า “เพิ่งจะตรุษจีน ฮ่องเต้จะเรียกพวกเจ้าเข้าวังด้วยเรื่องอันใดกัน”
“วันนี้มีทูตจากหลายรัฐมาอวยพรเจ้าค่ะ อี้เซวียนจึงต้องเข้าวังไปด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันพูดตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชิงตอบก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้ากลับมาแล้ว ก็ไปพักสักประเดี๋ยวเถิด”
“เสด็จพ่อล่ะขอรับ ไม่ได้อยู่ที่จวนหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยท่าทางปกติ
“เด็กๆ ไม่อยู่จวน เขาว่างน่ะ เลยไปที่ห้องหนังสือ”
“โยวเอ๋อร์ เจ้าไปพักก่อน ข้าจะไปคุยกับเสด็จพ่อเสียหน่อย” เพื่อไม่ให้พระชายาฉีสงสัย หวงฝู่อี้เซวียนเลยจงใจบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องไปก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจ พยักหน้าตอบรับไป
ทั้งสองคนเดินออกจากเรือนของพระชายาแล้วไปที่ห้องหนังสือทันที
เด็กๆ ไม่อยู่ บรรยากาศในจวนเงียบเชียบ ท่านอ๋องฉีไม่รู้จะทำอะไร เลยไปห้องหนังสือฝึกฝนการเขียนพู่กันเพื่อฆ่าเวลา
เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ท่านอ๋องฉีก็ประหลาดใจนัก วางพู่กันลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นรึ”
ที่ถามเช่นนี้ เพราะว่าเวลาเมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านไปในช่วงตรุษจีนของแต่ละปี หากอยู่ไม่เต็มวันนั้น ไม่มีทางกลับมาแน่นอน บางทีถ้าหากที่จวนไม่มีเรื่องอะไร ก็จะอยู่ยันตรุษจีนวันที่หกถึงจะกลับ วันนี้กลับมาเร็วเช่นนี้ จะต้องมีเรื่องแน่นอน
“ฮ่องเต้เรียกข้ากลับมาขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ
ท่านอ๋องฉีที่กำลังล้างมือก็ชะงัก ถามว่า “เรื่องอันใด”
“บอกว่าฮ่องเต้แห่งรัฐอิงมาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ด้วยตนเองขอรับ”
ผ้าขนหนูในมือของท่านอ๋องฉีตกลงไปในอ่างทองเหลือง จนน้ำกระเซ็นไปทั่วทั้งตัวของเขา หันกลับมา แล้วถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่า “มาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์งั้นรึ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ด้วยสีหน้าหนักใจ
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด ท่านอ๋องฉีก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินออกไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนตามหลังออกมา “วันนี้มีทูตจากหลายรัฐมาด้วยขอรับ เสด็จพ่อเปลี่ยนชุดก่อนค่อยไปเถิด”
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เดินออกนอกจวนไปทันที แล้วสั่งว่า “จูงม้ามา”
องครักษ์ตอบรับ แล้วรีบจูงม้ามาทันที
“โยวเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับเสด็จแม่ ข้าจะไปกับเสด็จพ่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ ก็รีบตามไปทันที
ออกมาจากจวน ขึ้นม้า แล้วรีบควบม้ามาที่หน้าประตูพระราชวังทันที
พอลงม้า ท่านอ๋องฉีก็มุ่งหน้าไปตำหนักที่หวงฝู่ซวิ่นใช้รับแขกโดยทันที ตำหนักชิงเหอ
มีเสียงดนตรีจากด้านในตำหนักชิงเหอดังออกมา
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลได้นำขันทีและคนรับใช้รออยู่ด้านนอก พอเห็นท่านอ๋องฉีเดินมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ก็กรีดร้องกันในใจ แต่หน้าก็ยังยิ้มออกไปต้อนรับ “ขอคารวะท่านอ๋องฉี ขอคารวะซื่อจื่อ”
ท่านอ๋องฉีหยุด ความโกรธที่กำลังปะทุได้ดังก้องอยู่ในน้ำเสียง “ไปรายงานฝ่าบาท บอกว่าข้าขอเข้าพบ”
“เอ่อ… …” หัวหน้าขันทีผู้ดูแลคิดหนัก
“ทำไม ตำแหน่งของท่านสูงขึ้นแล้วสิ ข้าสั่งท่านไม่ได้แล้วงั้นรึ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ท่านอ๋องฉีไม่เคยพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน เลยทำให้หัวหน้าขันทีผู้ดูแลเหงื่อออกเต็มตัวไปหมด โค้งคำนับลงต่ำกว่าปกติ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ขอท่านอ๋องโปรดอภัย เดี๋ยวกระหม่อมจะเข้าไปรายงานให้ขอรับ”
น่าขัน ขนาดฮ่องเต้ยังกลัวเสด็จอาคนนี้ แล้วขันทีตัวเล็กๆ อย่างเขาล่ะ ถ้าหากผิดใจกับเขาล่ะก็ อย่าว่าแต่จะรักษาเกียรติและเงินทองที่สั่งสมมาทั้งชีวิตไม่ได้ แม้แต่หัวของตนก็คงรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน
คิดได้ดังนั้น ก็รีบเดินเข้าไปรายงานในตำหนักทันที
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลอุตส่าห์ไปยืนดักที่หน้าประตู แต่ไม่เพียงรับหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาไม่ได้แล้ว ยังเห็นเขาสองคนกลับจวนอ๋องไปต่อหน้าต่อตาอีก หลังจากที่หวงฝู่ซวิ่นฟังรายงานเสร็จ ก็ใจเต้นรัว แต่พอได้รับรายงาน ก็แอบถอนหายใจ เงยศีรษะที่ปวดจี๊ดของตนขึ้น แล้วโบกมือ ให้คณะดนตรีหยุดบรรเลง แล้วออกคำสั่ง “เรียกตัวเสด็จอาเข้าเฝ้า”
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ประกาศเรียก
ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในตำหนัก ทำความเคารพโดยการก้มคำนับศีรษะจรดพื้น ไม่ผิดธรรมเนียมเลยแม้แต่นิดเดียว ถือว่าให้เกียรติหวงฝู่ซวิ่นเป็นอย่างมาก
ใจของหวงฝู่ซวิ่นยิ่งเต้นแรงเข้าไปใหญ่ เขานั่งตรงนี้มาสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับความเคารพเต็มยศเช่นนี้จากท่านอ๋องและหวงฝู่อี้เซวียน แต่เขากลับอยากให้ไม่ต้องมีจะดีกว่า เพราะเขารู้ว่าถ้าท่านอ๋องให้เกียรติเขามากเมื่อใด อีกประเดี๋ยวก็จะก่อเรื่องใหญ่เป็นแน่
เลยเงยหน้าขึ้นพูดว่า “เสด็จอา ซื่อจื่อ ลุกขึ้นเถิด”
หลังจากนั้นก็สั่ง “ยกเก้าอี้มาให้เสด็จอาและซื่อจื่อด้วย”
ท่านอ๋องฉีลุกขึ้นขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่ไม่จำเป็นหรอก กระหม่อมยืนเอาก็ได้”
พูดจบ ก็มองไปรอบตำหนักด้วยสายตาน่าเกรงขาม
หวงฝู่ซวิ่นรู้ว่าเขากำลังมองหาฮ่องเต้แห่งรัฐอิงอยู่ ท่าป๋าหั่นหลิน และที่ยืนก็เพื่อจะได้เข้าไปตีคนได้ง่ายๆ อย่างไรล่ะ เขาทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เสด็จอา ซื่อจื่อ ข้าเรียกพวกท่านเข้าวังมา เพราะฮ่องเต้แห่งรัฐอิงได้แสดงเจตจำนงค์ต่อเหล่าขุนนางทั้งหลายว่าจะมาสู่ขอท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ไปเป็นฮองเฮา ข้าเลยสั่งให้คนไปตามพวกท่านมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ”
ท่านอ๋องฉีมองหน้าของเหล่าทูตทั้งหลาย ในใจนึก ให้หวงฝู่ซวิ่นได้พูดจบเสียก่อน เสร็จแล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่ทราบท่านใดคือฮ่องเต้แห่งรัฐอิงพ่ะย่ะค่ะ ช่วยออกมาแสดงตนให้ข้าเห็นหน่อยได้หรือไม่”
น้ำเสียงปกติของเขา ทำให้หวงฝู่ซวิ่นยิ่งใจเต้นแรงเข้าไปอีก ในใจหวังว่าท่าป๋าหั่นหลินจะรู้จักประณีประนอม อย่าได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาเลย ในตำหนักแห่งนี้ ถ้าหากโดนตีจนเละคาที่ล่ะก็ ตัวเขาเองก็มิอาจช่วยได้
แล้วก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบห้าสิบหกลุกขึ้นมา คารวะท่านอ๋องฉีตามความอาวุโส แล้วพูดภาษาอู่ว่า “ขอคารวะท่านอ๋องฉีผู้สูงศักดิ์แห่งรัฐอู่”
ท่านอ๋องฉีก็ไม่นิ่งดูดาย รับการคารวะของเขา แล้วมองเขาอย่างละเอียด
อายุราวสิบห้าสิบหก ผิวขาวราวสำลี โดดเด่นเหนือผู้ใด ไม่เหมือนคนรัฐอิงที่สูงใหญ่หยาบกระด้าง แล้วรูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนกับท่าป๋าหั่นมู่ มองไปมองมา เหมือนคนรัฐอู่แท้ จึงพยักหน้า พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะสงสัย แต่ก็ยังคงปกติอยู่ว่า “ข้าเคยพบองค์ชายใหญ่ท่าป๋าหั่นมู่ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ทราบว่าเหตุใดฮ่องเต้แห่งรัฐอิงผู้นี้ถึงได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนรัฐอู่นัก”
คำพูดของเขา ทำให้ตำหนักเงียบสงัด
ท่าป๋าหั่นหลินไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้ จึงชะงักไป หน้าแดงฉาด ทั้งเจ็บปวด ทั้งละอาย อีกทั้งยังโกรธอีกด้วย อารมณ์ต่างๆ นาๆ ประเดประดังเข้ามาในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเขาคงโกรธจนระเบิดออกมา จะสะบัดชายเสื้อเดินออกไปนั้น แต่เขากลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ข่มอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ แล้วทำการคารวะท่านอ๋องฉีอีกครั้ง “ท่าป๋าหั่นหลินขอเป็นตัวแทนเสด็จพี่ขอประทานโทษกับท่านอ๋องด้วย เขาอาศัยโอกาสตอนที่เสด็จพ่อป่วย ไม่ฟังการอะไรทั้งสิ้น นำทหารออกไปรบเอง เทำให้เขาต้องพบจุดจบคือความตาย เรื่องนี้มิอาจโทษผู้ใด นอกจากตัวเขาเอง ส่วนข้านั้น เสด็จแม่ของข้าเป็นคนรัฐอู่ ตอนนั้นที่สองรัฐยังเป็นมิตรต่อกัน เสด็จพ่อของข้ายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ได้มาเที่ยวเล่นที่รัฐอู่ จึงทำให้ได้พบกับเสด็จแม่ แล้วรับนางไปอยู่ด้วยกัน และรูปลักษณ์ของข้าค่อนข้างที่จะไปทางเสด็จแม่ขอรับ”
“อ่อ” ท่านอ๋องฉีพยักหน้าเข้าใจ ในขณะที่ทุกคนโล่งอก ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ฮ่องเต้องค์ก่อนช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้ายกตำแหน่งให้กับบุตรที่มีสายเลือดของรัฐอู่ ไม่กลัวหรือว่าเขาจะพารัฐของเขาไปสู่จุดจบ”
คำพูดนี้ ทำให้ตำหนักชิงเหอเงียบยิ่งกว่าเดิม เงียบเสียจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ท่าป๋าหั่นหลินก็แอบเสียหลักเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังคงอยู่ในท่าโค้งคำนับไม่ขยับ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ท่านอ๋องล้อข้าเล่นแล้วล่ะ ตอนนี้รัฐอิงเป็นรัฐในครอบครองของรัฐอู่ ถ้าหากฮ่องเต้รัฐอู่ต้องการ จะเอาไปเมื่อใดก็ย่อมได้ ต่อให้ข้ามาร้องขออ้อนวอนมันจะไปมีประโยชน์อันใด”
เสียงพูดที่ปกติ ไร้ซึ่งอารมณ์ข้องเกี่ยว ถ้าหากว่าเขาไม่ได้มาขอหลานสาวของตนล่ะก็ ท่านอ๋องล่ะอยากจะชมเขาเสียด้วยซ้ำ วีรบุรุษเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย ที่เขามาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ เลยต้องเป็นศัตรูกับเขา อย่างไรเสียก็ขัดลูกหูลูกตาของเขาอยู่ดี
มิอาจให้เรื่องราวดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเสด็จอาจะงัดไม่เด็ดอะไรออกมาอีก หวงฝู่ซวิ่นเลยรีบพูดขึ้นมาว่า “เสด็จอา ท่านนั่งลงก่อนเถิด มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่า”
ผู้ดูแลนำเก้าอี้มาวางไว้ตรงด้านหลังของอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียน
ฮ่องเต้ประทานเก้าอี้ให้ หากไม่นั่งถือว่าไม่ให้เกียรติ
ท่านอ๋องฉีถกชายเสื้อขึ้น นั่งลง ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ด้านหลัง
ส่วนท่าป๋าหั่นหลินยืนตรงอยู่นิ่งกับที่
“เรื่องที่ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงจะมาสู่ขอหลานสาวของข้า จริงหรือไม่” ท่านอ๋องฉีถามต่อ
“เหล่า[1]อ๋องเข้าใจถูกแล้ว ข้าเป็นคนบอกเองขอรับ” ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้เรียกแทนตนเองตามตำแหน่ง แต่เรียกแทนตนเองตามลำดับอาวุโสว่าข้า
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจบอกว่า “เหล่าอ๋องงั้นหรือ ข้าแก่ตรงไหน ฮ่องเต้รัฐอิงกล่าวเช่นนี้หรือว่าอยากประลองกับข้าอย่างนั้นรึ”
นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ หวงฝู่ซวิ่นอยากทำลายสถานการณ์ตรงหน้านี้ กระแอมไอเบาๆ ออกมาสองที พอกำลังเอ่ยปากพูด ท่าป๋าหั่นหลินก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าพูดผิดไปแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”
“ดูท่าแล้ว ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงองค์ก่อนคงจะเลือกผิด มิเช่นนั้นคงไม่เลือกบุตรชายที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีวาทศิลป์ อีกทั้งยังเป็นบุตรนอกสายเลือดมาเป็นฮ่องเต้หรอก”
เกิดเป็นชายเสียชีพได้ แต่จะมิให้ใครมาเหยียดหยามดูหมิ่นเด็ดขาด เสด็จพ่อเพิ่งสวรรคตไปเมื่อหลายเดือนก่อน แต่กลับโดนคนในระดับอ๋องมาวิภาควิจารณ์เช่นนี้ ท่าป๋าหั่นหลินทนไม่ไหวอีกต่อไป
เงยหน้าขึ้น มองจ้องไปที่อ๋องฉี มีคำพูดมากมายอยากจะกล่าวย้อนกลับไปเต็มที
[1] เหล่า ในภาษาจีนแปลว่า แก่ หรือใช้เรียกผู้ที่อาวุโสกว่า