ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 76 อยู่ๆ ก็ได้เจอ
หวงฝู่ซวิ่นเบะปาก ทำท่าไม่เชื่อ ในมือของเจ้ามีองครักษ์ลับอยู่สามพันนาย จะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่รู้ว่าเสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้และเด็กทั้งสองคนไปที่ใด นี่มันไม่อยากบอกข้าชัดๆ คิดได้ดังนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ไม่สบายใจ
พอเห็นเขาท่าทีเช่นนั้น ก็เข้าใจความรู้สึกของเขาทันที หวงฝู่อี้เซวียนทำท่าทางเบื่อหน่ายใส่เขา “ข้าไม่รู้จริงๆ เพราะตอนที่เสด็จพ่อเดินทาง ได้บอกกับข้าไว้ว่า เขาไม่มีจุดหมาย อยากจะไปไหนก็ไป ขอแค่เสด็จแม่ดีใจก็พอ อีกทั้งองครักษ์เงาก็ไม่ได้เอาไปด้วย ข้าได้ส่งองครักษ์ลับออกตามก็จริง แต่ข้าสั่งพวกเขาไว้ว่าถ้าไม่ถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ห้ามออกมา ถ้าหากไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องมารายงาน ตอนนี้องครักษ์ลับไม่มีรายงานอะไรทั้งนั้น ดูท่าแล้วพวกเขาคงไม่เป็นไรหรอก”
พอฟังเขาอธิบายเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นก็สบายใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าแล้ว ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้างได้เยี่ยงไรไร เช่นนี้นี่เอง แต่ว่า เจ้าส่งองครักษ์ลับไปกี่นายกันแน่ ถ้าหากพวกเขาไปไกลแล้วเกิดเรื่องขึ้น กำลังไม่พอจะทำเช่นไร”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่อย่างใดอย่างนั้น ขณะนั้นหวงฝู่ซวิ่นกำลังโกรธ จึงยิ้มแล้วพูดแซะไปว่า “ฝ่าบาทที่กระหม่อมเคารพรัก ท่านลืมว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นใครแล้วงั้นหรือ ตอนที่เจออันตราย ยังมีขุนนางท้องถิ่นที่ให้ความช่วยเหลือได้พ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป แล้วถอนหายใจออกมา “ข้ามันทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ข้าแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเสด็จอาเท่านั้น เจ้าจะแซะข้าหาพระแสงอะไร หาว่าข้าแส่รึไง”
“น้องไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น ทำมือคารวะอย่างเต็มยศ “น้องแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ฝ่าบาทจะขี้หลงขี้ลืม น่าจะแก่ก่อนวัยนะพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นโมโหลุกยืนขึ้น ชี้ที่หน้าตัวแล้วตะคอกใส่หวงฝู่อี้เซวียนด้วยอารมณ์โกรธว่า “ข้าขี้หลงขี้ลืมงั้นรึ แก่ก่อนวัยงั้นรึ การบ้านการเมืองบนหัวข้ามันหนักมากนะ ข้า ข้าก็เหนื่อยเป็นนะโว้ย!”
“ใช่ๆ ฝ่าบาททรงอุตสาหะ ก็ต้องมีหลงลืมบ้างเป็นธรรมดา น้องผิดไปแล้ว กระหม่อมพูดผิดเองพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! ให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่เช่นนั้นเจ้าลองมานั่งบนบัลลังก์นี้ดูไหมล่ะ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าทำไมข้าถึงดูแก่กว่าเจ้านัก” ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่แทงใจดำของหวงฝู่ซวิ่นเสมอมา เขาแก่กว่าหวงฝู่อี้เซวียนแค่ปีสองปี แต่ทำไมถึงได้ดูแก่กว่าเป็นสิบปี อีกทั้ง หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งอายุมากก็ยิ่งดูดี
พูดจบ เหมือนหวงฝู่ซวิ่นจะนึกอะไรบางอย่างออก ตาเบิกออกเป็นประกาย รีบเดินมาหาหวงฝู่อี้เซวียน กดเสียงต่ำถามว่า “น้องเซวียน พวกเรามาปรึกษากันหน่อยไหม เจ้าทำงานแทนข้าสักวันสองวัน ข้าจะทำเหมือนเสด็จอาบ้าง ออกไปเที่ยวเล่น ได้พักกายพักใจ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ แล้วมองออกไปด้านนอก
หวงฝู่ซวิ่นก็มองตามไป แต่ก็ไม่เห็นอะไร เลยถาม “เจ้ามองอะไรรึ”
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมา ตอบกลับไปหน้าตายว่า “ตอนนี้ก็ยังกลางวันแสกๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ทำไมฝ่าบาทถึงได้ฝันอยู่ล่ะ หรือว่าหลายวันนี้จะเหนื่อยเกินไป หรือจะให้น้องเรียกหมอหลวงมาตรวจดูอาการหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
“หวงฝู่อี้เซวียน!” หวงฝู่ซวิ่นโมโหมาก จนเรียกชื่อเต็มของเขาออกมา “ข้าพูดจริงนะ เจ้าอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย”
“กระหม่อมก็พูดจริง พระพลานามัยของฝ่าบาทเป็นสิ่งสำคัญ เป็นอะไรไปไม่ได้ อย่างไรก็เรียกหมอหลวงเข้ามารักษาไม่ดีกว่าหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเขาอย่างช้าๆ
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว หันเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบพู่กันขึ้นมา ฝนหมึก แล้วพูดพึมพำว่า “ข้าจะออกราชโองการ ให้เจ้ามาสำเร็จกิจแทนข้าเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงเฉย แล้วพูดเตือนขึ้นมาช้าๆ ว่า “ฝ่าบาท ท่านคิดให้ดีนะ ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงซื่อจื่อเฟยล่ะก็ ท่านจะรับมือกับความโกรธของนางได้หรือไม่”
พอพูดถึงเมิ่งเชี่ยนโยว ก็คิดถึงรอยยิ้มอันน่าสยดสยองของนางที่ทำให้คนตายมาแล้วไม่รู้เท่าไร มือที่ถือพู่กันอยู่ดีๆ ก็เขียนไม่ออก
แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็เข้ามา หยิบพู่กันในมือของเขาวางลงแท่นวางอย่างช้าๆ พับเก็บกระดาษบนนั้น เอาตัวหวงฝู่ซวิ่นไปนั่งลงให้ดี แล้วค่อยๆ พูดว่า “พี่ใหญ่ บัลลังก์นี้เป็นของท่าน ท่านต้องทำมันให้ดี”
หวงฝู่ซวิ่นนั่งลง แล้วถอนหายใจออกมา ไม่พูดอะไรอีก
พวกท่านอ๋องฉีท่องเที่ยวแถบทางใต้ ดื่มด่ำบรรยากาศทางนั้นจนพอใจ กำลังจะเตรียมเดินทางไปที่อื่น ก็ได้ยินคนในโรงเตี๊ยมเขาพูดกัน จึงหยุดฟัง ไม่ได้เป็นเพราะอะไรหรอก เพราะที่นี่กำลังจะมีการจัดงานแข่งเรือมังกร
แข่งเรือมังกร! เป็นประเพณีของทางเจียงหนานที่มีมาตั้งแต่โบราณ ท่านอ๋องฉีเคยได้ยินแต่ขุนนางทางใต้รายงานเท่านั้น ส่วนเป็นอย่างไร เขาไม่เคยเห็นกับตามาก่อน
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เคยได้ยินมาก่อน อยากจะดูมาตั้งนานแล้ว วันนี้ได้ยินพวกแขกเขาพูดกัน เลยขอร้องท่านอ๋องฉีให้หยุด รอดูแข่งเรือมังกรกันก่อน
ท่านอ๋องฉีพยักหน้าตอบรับ ส่วนพระชายาฉีก็ดีใจเป็นที่สุด
พอไปถามเถ้าแก่มา ว่าเขาแข่งเรือมังกรกันที่ไหน แล้วทั้งสี่คนก็นั่งรถม้า ไปดูสถานที่ว่าเป็นอย่างไร อยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนัก ในแม่น้ำที่แสนกว้างใหญ่ มีสะพานไม้พาดผ่าน คนสามารถขึ้นไปดูในมุมสูงได้ หรือว่าจะไปที่ริมฝั่ง ไปให้กำลังใจอยู่กับพวกคนที่มาดูแข่งเรืออย่างแน่นขนัด
แล้วทุกคนก็เลือกไปบนสะพาน ยืนที่สูง มองได้ไกล ไม่เพียงแต่จะเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดแล้ว ยังไม่ต้องไปเบียดเสียดกับกลุ่มคนอีกด้วย
พอมาถึง ก็ลงจากรถม้า ท่านอ๋องฉีกับพระชายาพาหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เดินที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อจะได้สัมผัสถึงความเย็นสบายและความสดชื่นจากแม่น้ำ
ไม่ไกลกันนัก มีหญิงสาวใส่ชุดสวยงาม รุมล้อมไปด้วยสาวใช้ที่คอยดูแล จับกระโปรงแล้วเดินขึ้นไปบนสะพานไม้นั้น มองออกไป แล้วพูดออกมาด้วยความตื่นตาว่า “แม่น้ำนี้ใหญ่จัง มองได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ที่ใส่ชุดสวยๆ ก็ยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู สวยกว่าทะเลสาบชิงหยางในเมืองหลวงอีกเจ้าค่ะ เพราะเช่นนี้ถึงได้มีการจัดงานแข่งเรือมังกรทุกปีไงเจ้าคะ”
พูดถึงทะเลสาบชิงหยาง รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็หายไป แล้วหันไปเขม็งตาใส่สาวใช้คนนั้น
สาวใช้ก็นึกเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงออก ใจเต้นแรง รีบคุกเข่าลงขอร้องว่า “คุณหนูไว้ชีวิตบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวสมควรตาย”
และหญิงสาวผู้นั้นก็คือคุณหนูแห่งจวนอู่โหวนั่นเอง เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวขู่เอาไว้ หลิวอวี้เอ๋อร์จึงถูกฮูหยินจวนอู่โหวส่งกลับมาที่บ้านยายนั่นเอง
ฮูหยินแห่งจวนอู่โหวเกิดที่เจียงหนาน ชาติตระกูลของพ่อแม่นางก็มีชื่อเสียงทางใต้ไม่น้อย เป็นเพราะนายท่านแห่งจวนอู่โหวและพ่อของฮูหยินจวนอู่โหวเป็นสหายสนิทกัน จึงมีความคิดให้ลูกชายของตนแต่งงานกับนาง จนนางได้เป็นฮูหยินจวนอู่โหวอยู่ทุกวันนี้
เมื่อพูดถึงอดีต หลิวอวี้เอ๋อร์ก็โกรธแค้นมาก จวนอ๋องฉีใช้อำนาจรังแกคน บังคับให้แม่ของตนส่งนางมาอยู่เจียงหนาน ความแค้นนี้นางคิดจะชำระมาโดยตลอด ส่วนสาวใช้ที่คอยติดตามตน พูดเรื่องอะไรไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้ ทำให้นางอยากจะถีบนังสาวใช้คนนี้ตกลงน้ำไปเสียด้วยซ้ำ คนที่ขึ้นมาบนสะพานไม้ก็มาก พอเห็นสาวใช้นั่งคุกเข่า เลยอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดกันไปต่างๆ นาๆ แล้วคาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ท่ามกลางสายตาของผู้คน หลิวอวี้เอ๋อร์ต้องทำท่าทางเป็นคุณหนูผู้ดีสูงศักดิ์ ห้ามใช้อารมณ์ เลยถลึงตาใส่สาวใช้คนนั้น เป็นความหมายว่ากลับไปเจอดีแน่ แล้วแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าเองก็พูดโดยไม่ทันคิด ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก”
สาวใช้อยู่กับนางมาหลายปี จะไม่รู้นิสัยนางได้อย่างไร หลังจากเห็นสายตาของนางแล้ว ก็กลัวเข้าไปใหญ่ รีบเอามือขึ้นมาตีที่ปากของตนอย่างแรง แล้วบอกว่า “บ่าวพูดพล่อยๆ เอง สมควรโดนทำโทษเจ้าค่ะ”
นั่นทำให้ตนดูแย่ สีหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์เริ่มไม่ดี พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ทำไม ที่ข้าพูดเจ้าไม่ฟังงั้นรึ”
พอได้ยิน ก็รู้ถึงนัยยะในคำพูดนาง จึงมองไปที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ สาวใช้ก็รู้ตัวทันที สีหน้าซีดเซียว รีบลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างนางตามเดิม แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่สนใจนางอีก มือจับที่ราวสะพาน มองออกไป แต่แล้วก็ดันไปเห็นพวกท่านอ๋องฉีเดินเล่นอยู่ที่ริมน้ำ จึงเบิกตาโตขึ้นมาทันที
เสร็จแล้วก็ขยี้ตาของตนเองดูอีกทีหนึ่ง เพราะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แล้วมองไปอีกที ใช่แล้ว เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย
“ชุนเซียง เจ้าดูสิ นั่นคือยัยหวงฝู่สือเมิ่งกับยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์หรือเปล่า” หลิวอวี้เอ๋อร์ลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ไปโดยทันที แล้วเรียกสาวใช้คนเมื่อกี๊มาดู
ชุนเซียงที่หน้าซีด กำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปตามที่นางชี้ แล้วก็แปลกใจ พยักหน้า “คุณหนูเจ้าคะ ใช่เจ้าค่ะ พวกนางจริงๆ ด้วย”
“เจ้ารีบไปสืบมา ว่าพวกเขามาทำอะไรที่เจียงหนาน แล้วคนที่ตามมามีใครบ้าง” หลิวอวี้เอ๋อร์รีบสั่ง
ชุนเซียงตอบรับ แล้วรีบเดินลงจากสะพานไป
หลิวอวี้เอ๋อร์เอาแต่มองจ้องไปที่หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่กำลังยิ้มแย้มเบิกบานใจ แล้วกัดฟันโดยไม่รู้ตัว พูดขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าหาเรื่องเองนะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะ ไว้ปีหน้า ข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ก็แล้วกัน”
ส่วนสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เป็นคนที่ปู่ของนางส่งมาให้ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองหลวง เลยไม่เข้าใจว่าที่นางพูดนั้นหมายความว่าอะไร ได้แต่มองไปที่นาง แล้วก็มองไปที่ริมฝั่ง แล้วสงสัยในใจว่านางเห็นใครขัดลูกตานักหรือ แล้วแถมยังจะจัดการเขาอีก
ส่วนทางท่านอ๋องฉีไม่รู้เลยว่ากำลังโดนจับตาอยู่ ได้แต่ยิ้มแล้วมองหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่นกัน ส่วนพระชายาฉีก็เหมือนกันสาววัยรุ่นอย่างใดอย่างนั้น ถือชายเสื้อของตนขึ้น โค้งตัวลงกวักน้ำในแม่น้ำอย่างช้าๆ บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้มอันมีความสุข
ชุนเซียงลงมาจากสะพานไม้ เข้าไปใกล้พวกเขา แล้วทำเป็นก้มหน้าหาของ
เขาเป็นเพียงแค่สาวใช้ หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เลยไม่ได้ใส่ใจนางนัก เลยจำนางไม่ได้
ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เลยมองไปด้วยสายตาดุดัน พอเห็นว่าเป็นเพียงผู้หญิงก้มหน้าหาของเท่านั้น เก็บสายตา แล้วไม่สนใจนางอีก
ในขณะที่หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังเล่นสนุกกันอยู่ หวงฝู่สือเมิ่งดันเซถอยหลังไปชนกับชุนเซียงเข้า เลยรีบปลีกตัวออก แล้วพูดขอโทษว่า “ขอโทษๆ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
ชุนเซียงก็จับไหล่ของตนที่เจ็บ แล้วส่ายหน้าว่า “ไม่เป็นไรๆ เพราะข้าไม่ระวังเอง ไม่เกี่ยวกับคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
เขาดูแลอวี้เอ๋อร์มาตั้งแต่เด็ก โตในเมืองหลวง เวลาพูดเลยพูดเป็นสำเนียงเมืองหลวง
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว
หวงฝู่สือเมิ่งจึงดีใจ ถามว่า “ฟังจากสำเนียงเจ้าแล้ว เป็นคนเมืองหลวงเหมือนกันใช่หรือไม่”
สีหน้าของชุนเซียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติ แล้วพูดเสียงสะอื้นออกมาว่า “ข้าโตที่เมืองหลวง เมื่อหลายปีที่แล้ว ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น ทำให้ข้าต้องมาเป็นคนใช้ที่นี่เจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่านางจะเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่สือเมิ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ชุนเซียงเลยรีบทำความเคารพทั้งสองแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ คุณหนูของบ่าวเดินเล่นอยู่แถวนี้ แล้วทำของตก เลยรีบสั่งให้บ่าวมาหา เช่นนั้นบ่าวไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็ก้มหน้ารีบเดินออกไปตามทาง ไม่รู้เป็นเพราะรู้สึกผิด หรือว่ารีบอะไร พอเดินออกไปไม่กี่ก้าว ขาแข้งก็อ่อนแรง เดินซวนเซไปมา
หวงฝู่สือเมิ่งเห็นเช่นนั้นเลยจะช่วยพยุงนาง แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ห้ามนางเอาไว้ แล้วส่ายหน้า
ท่านอ๋องฉีรู้สึกแปลกๆ จับตามองนางจนลับไป แล้วถึงเลิกมอง
บนสะพาน หลิวอวี้เอ๋อร์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เลยด่าว่า “สวะเอ้ย เกือบทำลายแผนการของข้าแล้วไหมล่ะ”
พอรู้สึกว่าสายตาที่มองมาได้หายไปแล้ว ชุนเซียงถึงได้โล่งอก ลูบหัวใจที่เต้นแรงของตน แล้วเดินขึ้นสะพานอีกทางหนึ่ง กลับไปหาหลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วรายงานว่า “คุณหนูเจ้าคะ จากที่บ่าวได้สืบมา มีแค่สี่คนเท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่ได้พาใครมาอีก”
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เชื่อ การที่ท่านอ๋องฉีกับพระชายาจะออกเดินทาง แถมยังพาหลานสาวทั้งสองออกมาอีก จะไม่มีคนคอยคุ้มกันเลยงั้นหรือ เลยสั่งว่า “เจ้าไปตามดูพวกเขาเอาไว้ ดูว่าพวกเขาพักที่ไหน เสร็จแล้วกลับมารายงานข้า”