ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 77 ตระกูลฮั่วแห่งเจียงหนาน
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 77 ตระกูลฮั่วแห่งเจียงหนาน
ชุนเซียงตอบรับ แล้วลงสะพานไปอีกครั้ง หาที่หลบอยู่ไม่ห่างจากพวกท่านอ๋องฉีมากนัก เพื่อสอดส่อง
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่นกันอยู่พักหนึ่ง พระชายาฉีก็รู้สึกเหนื่อย แล้วทั้งหมดก็กลับขึ้นนั่งที่รถม้า แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยม
บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน คนรถกลัวว่าจะชนเข้ากับใคร จึงไม่กล้าขับเร็วนัก
ชุนเซียงถือชายกระโปรงเดินตามอยู่ห่างๆ มาจนถึงโรงเตี๊ยม พอเห็นพวกเขาลงจากรถม้าแล้ว ก็จำชื่อโรงเตี๊ยมเอาไว้ แล้วเดินกลับไปรายงานหลิวอวี้เอ๋อร์ทันที
พอพวกท่านอ๋องฉีไปแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ได้แต่คิดว่าจะแก้แค้นพวกเขาอย่างไรดี ไม่มีกะจิตกะใจจะดูการแข่งเรืออีกต่อไป เลยพาเหล่าสาวใช้กลับขึ้นรถม้า กลับจวนของท่านตาไป
ตระกูลท่านตาของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นแซ่ฮั่ว เป็นตระกูลดังของพื้นที่นั้น ค่อนข้างมีฐานะ มีหน้ามีตาพอสมควร เพราะฉะนั้นจวนที่อยู่อาศัยก็ค่อนข้างแตกต่างจากคนทั่วไป ดูโอ่อ่าใหญ่โตกว่าขุนนางท้องถิ่นเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ตอนที่หลิวอวี้เอ๋อร์โดนส่งมาแรกๆ นางก็ยังคงไม่ยินยอมมาอยู่ที่นี่อยู่ดี เจียงหนานแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นจวนที่สวยที่สุด ใหญ่ที่สุด แต่ในสายตาของนางก็เป็นแค่จวนเก่าๆ ไม่ได้เศษเสี้ยวจวนอู่โหวของนางเลยแม้แต่น้อย แต่ทำอย่างไรได้ เสียน้อยดีกว่าเสียมาก ต่อให้นางจะไม่ยินยอมอย่างไร ก็ต้องมาอยู่ที่นี่อยู่ดี ยังดีที่ตากับยายของนางยังอยู่ รักและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก นี่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
หลิวอวี้เอ๋อร์ลงรถม้ามา หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ไปที่เรือนของฮั่วเจี่ยซึ่งเป็นตาของนาง
ฮั่วเจี่ยชรามากแล้ว แต่สุขภาพจิตแข็งแรงดี ไม่มีความชราภาพเหมือนกับคนแก่ทั่วไป
หลังจากที่หลิวอวี้เอ๋อร์และบ่าวขออนุญาตเสร็จ ก็เดินเข้าไปด้านใน ทำความเคารพฮั่วเจี่ยและนางเหล่าฮั่วซื่อ “อวี้เอ๋อร์ขอคารวะท่านตา ท่านยาย”
ตอนนั้นลูกสาวแต่งออกไปไกล ฮั่วเจี่ยและภรรยาอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก แต่ความเป็นเพื่อนของเหล่าอู่โหว แล้วก็ลูกสาวของตนไปเป็นฮูหยินจวนอู่โหว ต่อให้ทั้งสองคนไม่อยากให้ไปอย่างไร ก็ต้องให้ลูกสาวตนแต่งออกไปอยู่ดี เป็นภรรยาก็ต้องปรนนิบัติสามี นับตั้งแต่ฮูหยินจวนอู่โหวแต่งออกไปแล้ว จึงไม่ค่อยกลับมาที่นี่ เลยทำให้ฮั่วเจี่ยและภรรยาคิดถึงเป็นอย่างมาก จนกระทั่งปีที่แล้ว ฮูหยินจวนอู่โหวพาอวี้เอ๋อร์กลับมาที่นี่ด้วยตนเอง บอกว่าจะให้อวี้เอ๋อร์อยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง ส่วนเพราะอะไรนั้น นางไม่ได้บอกไว้ ฮั่วเจี่ยและภรรยาก็ไม่ได้มากความถามเพิ่ม ยินดีให้นางอยู่ที่นี่อย่างยิ่ง
หลิวอวี้เอ๋อร์คล้ายกับฮูหยินจวนอู่โหวมาก เพราะฉะนั้นฮั่วเจี่ยและภรรยาเห็นนางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ มากกว่าหลานในตระกูลฮั่วของตนเสียอีก เพราะฉะนั้น นางมักจะถูกเด็กๆ ในเจวนนินทา หลิวอวี้เอ๋อร์โดนฮูหยินแห่งจวนอู่โหวตามใจเสียจนเคยตัว มาอยู่นี่ก็ไม่รู้จักเจียมตัว แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายชี้นิ้วสั่งนั่นนี่ ราวกับนางเป็นเจ้าของเรือนนี้อย่างใดอย่างนั้น จึงทำให้เด็กๆ ในเรือนนี้เกลียดขี้หน้านางเป็นอย่างมาก ขนาดฮั่วฉงหมิงและภรรยาที่เป็นลุงแท้ๆ ของหลิวอวี้เอ๋อร์ ยังไม่ชอบนางเลย
นางเหล่าฮั่วซื่อพยักหน้า ยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้ออกไปเที่ยวเล่นมา อารมณ์ดีขึ้นหรือยังล่ะ”
ต่อให้จะกินดีอยู่ดีอย่างไร ฟุ่มเฟือยแค่ไหน หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยังคิดถึงบ้านอยู่ดี จึงมักอารมณ์เสียโดยไร้สาเหตุ สิ่งนี้เลยทำให้ฮั่วเจี่ยกับภรรยาเจ็บปวดใจเป็นที่สุด พยายามทำให้นางพอใจให้ได้มากที่สุด ต่อให้นางอยากได้ดวงดาวบนฟ้า ก็จะหามาให้ได้ แต่ไม่เลย วันนี้นางอารมณ์เสีย เลยอยากออกไปเดินเล่น พวกเขาก็ตอบรับ เลยส่งคนตามนางออกจากจวนไป ถ้าหากไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของตนล่ะก็ พวกเขาคงไม่ตามใจเช่นนี้หรอก
พอได้เห็นพวกท่านอ๋องฉี หลิวอวี้เอ๋อร์อารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ แต่พอคิดได้ว่าพวกเขามาใกล้แค่เอื้อมแล้ว มีโอกาสแก้แค้นเสียที นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก บนใบหน้ามีรอยยิ้มผลิบาน ขนาดที่ว่าตั้งแต่มาที่นี่ ยังไม่เคยยิ้มเช่นนี้มาก่อน “ท่านยาย วันนี้อวี้เอ๋อร์อารมณ์ดีมากเจ้าค่ะ”
หลิวอวี้เอ๋อร์เป็นหญิงสาวหน้าตาดี ยิ้มนี้ ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กระชากใจเสียเหลือเกิน
เป็นครั้งแรกที่นางเหล่าฮั่วซื่อเห็นรอยยิ้มของหลานสาว จึงดีใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงลูกสาวของตนด้วยเช่นกัน เลยใช้มือตบลงที่ข้างๆ ตน เป็นการบอกให้หลิวอวี้เอ๋อร์มานั่งข้างๆ ยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้อวี้เอ๋อร์มีความสุขเช่นนี้ ไปทำอะไรมางั้นหรือ หรือว่าเจอคนที่ถูกใจเข้าแล้ว”
ความหมายของคำถามนี้ก็คือ ถ้าหากว่าเจอเรื่องอะไรที่น่าสนใจมา ก็คงจะพูดให้นางฟังได้ แล้วนางจะได้ใช้โอกาสนี้ในการใกล้ชิดกับหลานสาวของตนมากขึ้น แต่ถ้าหากเจอคนที่สนใจ นี่เป็นสิ่งที่พวกนางสองคนอยากให้เป็นแบบนั้นที่สุด จะได้ใช้โอกาสนี้ในการให้อวี้เอ๋อร์แต่งงาน นางจะได้อยู่ที่นี่ เป็นตัวแทนของลูกสาวของนางที่ไม่ได้อยู่ข้างกายพวกเขา
อวี้เอ๋อร์เม้มปาก ยิ้มแล้วบอกว่า “ท่านยาย เป็นเพราะหลานเจอทั้งเรื่องที่น่าสนใจและเจอคนที่ถูกใจเจ้าค่ะ”
“หืม” นางเหล่าฮั่วซื่อรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “ไหนว่ามาสิ”
“ท่านยายรู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านแม่ของข้าถึงส่งข้ามาอยู่ที่นี่” หลิวอวี้เอ๋อร์เอ่ยปากถาม
สองสามีภรรยาก็มองหน้ากัน แล้วนางเหล่าฮั่วซื่อก็ส่ายหน้า “ยายเคยถามแล้ว แต่แม่ของเจ้าไม่ได้บอก”
“ท่านแม่ไม่บอกพวกท่าน เพราะกลัวว่าพวกท่านจะเป็นห่วง แต่อวี้เอ๋อร์จะเล่าให้ฟังว่าเป็นเพราะอะไร”
มาอยู่เกือบปี หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงเลย แต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายไปบอกพวกเขาก่อน ฮั่วเจี่ยรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันมีลับลมคมนัย เลยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าว่ามาสิ”
“เป็นเพราะตอนที่ข้าเรียนอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยน… …” หลิวอวี้เอ๋อร์ใส่สีตีใข่เรื่องที่ตนมีปัญหากับเด็กๆ จวนอ๋องฉีในขณะที่เรียนอยู่กั๋วจื่อเจี้ยน บอกว่าตนโดนพวกเขาหมาหมู่ ตนโดนทำร้ายไม่เท่าไร ขนาดพี่ชายที่มาประนีประนอมด้วยกับพวกเขายังไม่รอดพ้นเงื้อมมืออันโหดร้ายของพวกเขาเลย และที่แค้นคือ หลังจากที่เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นติดต่อกันมากมาย จวนอู่โหวไม่เพียงแต่เสียเกียรติและศักดิ์ศรีเท่านั้น แม่ของนางยังโดนเมิ่งเชี่ยนโยวขู่อีก เลยต้องส่งตนมาอยู่ที่เจียงหนานนั่นเอง
ฮั่วเจี่ยฟังจบ ก็ทุบโต๊ะ “ท่านอ๋องฉีนั่นมันน่ารังเกียจนัก กล้ามาดูหมิ่นจวนอู่โหว ถ้าหากอยู่เจียงหนานล่ะก็ ตาจะให้มันตายโดยไม่มีแม้กระทั่งที่ฝังศพมันเลยคอยดู!”
ไม่แปลกใจที่เขากล้าพูดเช่นนี้ เพราะเจียงหนานเป็นที่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก ฮ่องเต้ในสายตาพวกเขา ก็เป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น อย่าพูดถึงราชวงศ์เลย ตระกูลฮั่วของพวกเขามีฐานะและหน้าตา อยู่กันมารุ่นสู่รุ่นในเจียงหนานแห่งนี้ สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นนี้ไปเรียบร้อย ขนาดขุนนางท้องถิ่นเจอหน้าพวกเขายังต้องทำความเคารพ จึงไม่เคยประสบเรื่องอะไรเช่นนี้มาก่อน
นางเหล่าฮั่วซื่อก็โกรธเช่นเดียวกัน “มิน่าล่ะ ตอนที่พวกเราถามแม่ของเจ้า ให้ตายนางก็ไม่บอก ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง”
พอเห็นทั้งสองคนโกรธเช่นนี้ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ใส่ไฟอีกว่า “วันนี้เรื่องที่ข้าสนใจกับคนที่ข้าสนใจก็คือพวกอ๋องฉีมาที่เจียงหนาน ข้าเจอพวกเขาโดยบังเอิญเจ้าค่ะ”
ฮั่วเจี่ยชะงักไป เลยถามต่อว่า “เจ้าพูดจริงงั้นรึ”
หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้ารับ “ข้าอยู่เมืองหลวงตั้งหลายปี จำไม่ผิดแน่นอน โดยเฉพาะนังหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่น ต่อให้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำพวกมันได้”
“พวกเขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด” ฮั่วเจี่ยถามต่อ
หลิวอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้า “หลานไม่รู้ หลานได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว เดี๋ยวอีกไม่นานก็คงกลับมา”
ชุนเซียงวิ่งกลับมาที่จวน แล้วไปรายงานที่เรือนของหลิวอวี้เอ๋อร์ แต่ในห้องมีไม่มีใคร สาวใช้ที่ทำความสะอาดเลยบอกกับนางว่า ไม่เห็นคุณหนูกลับมา เลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชุนเซียงจึงมาขอเข้าพบฮั่วเจี่ยและภรรยาที่เรือน
ทั้งสามคนกำลังรอนางอยู่พอดี หลิวอวี้เอ๋อร์เลยเรียกให้นางเข้ามา
ชุนเซียงบอกชื่อโรงเตี๊ยมและที่ตั้งกับฮั่วเจี่ย
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ตะโกนเรียกคนเข้ามา บอกชื่อโรงเตี๊ยมกับเขา “เจ้าไปสืบดูที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ว่ามีคนจากเมืองหลวงมาเข้าพักหรือไม่ แล้วก็ พวกเขาจะกลับเมื่อใด มากันกี่คน สืบมาให้ละเอียด แล้วกลับมารายงานข้า”
บ่าวตอบรับ แล้วไปโรงเตี๊ยม
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังเพ่งเล็งอยู่ หลังจากกลับมาโรงเตี๊ยม ก็แยกย้ายกันเข้าไปพักที่ห้องของตนเอง
เซี่ยเฟิงก็พาองครักษ์ลับเข้าไปพักด้วยเช่นกัน พักอยู่ทางชั้นหนึ่ง แต่ว่า ตอนนี้เซี่ยเฟิงขมวดคิ้วอย่างแรง เพราะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกเช่นกัน
หลังจากที่คนของตระกูลฮั่วเข้าโรงเตี๊ยมไป ก็กวาดสายตามองไปที่แขกที่มาเข้าพักในโรงเตี๊ยม อีกทั้งยังแอบฟังพวกเขาคุยกันอีกด้วย แต่ก็ไม่พบคนที่พูดสำเนียงเมืองหลวงเลย เลยเดินมาที่โต๊ะบริการ ในขณะที่เถ้าแก่กำลังจะเอ่ยปากถามนั้น เขาก็หยิบป้ายประจำตัวออกมาให้เถ้าแก่ดู
สีหน้าของเถ้าแก่เปลี่ยนไป เพราะไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้กับจวนฮั่วตอนไหน พวกเขาถึงได้ส่งคนมาเช่นนี้
บ่าวคนนั้นเก็บป้าย แล้วกดเสียงต่ำ ขู่เถ้าแก่ว่า “ข้าถามเจ้า เจ้าต้องตอบตามจริง มิเช่นนั้นเจ้าคงรู้ว่าจะพบจุดจบเช่นไร”
พอพูดถึงเจ้าเมืองเจียงหนาน ผู้คนไม่รู้จักหรอก แต่พอพูดถึงตระกูลฮั่ว ขนาดเด็กเพิ่งหัดเดินยังรู้จัก เพราะเขาคือฮ่องเต้ของพื้นที่นี้ ใครก็ห้ามไปมีเรื่องกับเขาเด็ดขาด
บ่าวคนนั้นพูดเช่นนี้ เหงื่อของเถ้าแก่ก็ไหลออกมาเต็มหน้าผาก พยักหน้าพร้อมโค้งเอว บอกว่า “ขอแค่ท่านถามมา หากข้ารู้ ข้าจะไม่ปิดบังเลยขอรับ”
“เช่นนั้น โรงเตี๊ยมของเจ้ามีคนพูดสำเนียงเมืองหลวงไหม”
เถ้าแก่พยักหน้า “มีๆ อยู่ด้านบนน่ะ”
“กี่คน”
“สี่คน เป็นสามีภรรยาสูงอายุ แล้วก็ยัยหนูอีกสองคน”
“มีคนอื่นอีกหรือไม่”
เถ้าแก่กระซิบบอก แล้วชี้ไปทางสองห้องนั้น “ยังมีอีกสี่คนที่เป็นคนเมืองหลวง เข้าพักพร้อมกับพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน”
บ่าวคนนั้นก็มองไปทางสองห้องนั้น จำตำแหน่งห้องไว้ แล้วสั่งว่า “พาข้าขึ้นไปข้างบน แล้วชี้ตำแหน่งห้องให้กับข้าหน่อย”
เถ้าแก่ตอบรับทันที แล้วออกมาจากโต๊ะบริการ พาเขาขึ้นไปด้านบน ชี้ห้องของพวกท่านอ๋องฉีให้กับเขา
หลังจากดูเสร็จ ก็หันหลังเดินกลับลงมา แล้วหยิบเงินก้อนเล็กๆ โยนไว้บนโต๊ะบริการ “จับตาดูพวกมันให้ดี ถ้าหากว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร ให้ไปรายงานกับนายประตูจวนฮั่วทันที”
พูดจบ ก็หันเดินออกไป
เถ้าแก่มองไปที่เงินก้อนนั้น แล้วมองบ่าวคนนั้นที่เดินจากไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นไปทำอะไรให้ตระกูลฮั่ว ถึงได้โดนเพ่งเล็งเช่นนี้ เกรงว่าคงจบไม่สวยเป็นแน่