ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 84 ตระหนกตกใจ
จูจือหมิงออกจากจวนฮั่วมา ปาดเหงื่อที่หน้าผาก เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุสาดลงมาที่ตัวเขา แต่แปลกที่เขาไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด แค่รู้สึกอุ่นๆ เท่านั้น แล้วหันหลังกลับมามองจวนฮั่วที่โอ่อ่าใหญ่โต แล้วนึกในใจว่าภายภาคหน้าคงต้องลงเรือลำเดียวกันกับตระกูลฮั่วจริงๆ แล้วล่ะ เม้มปาก ขึ้นรถม้า สั่งให้ไปริมแม่น้ำ
ในห้องรับแขก ฮั่วเจี่ยนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากสั่งให้พ่อบ้านไปส่งจูจือหมิง มองเขาลับไป ตาของเขาหรี่ลง และมีความร้ายกาจแอบแฝงอยู่ในนั้น เพราะไม่ว่าจูจือหมิงคนนี้ เป็นขุนนางมานานนมเพียงใด แต่ก็ไร้เดียสาขนาดนี้ ถึงได้เชื่อคำสัญญาของตนได้ เขาไม่คิดดูหน่อยหรือว่าชีวิตของฮั่วเจี่ยคนนี้ ที่ไม่เคยต้องเป็นรองใคร พอทำสำเร็จแล้ว เขาจะไว้ชีวิตเขาหรือ
คิดได้เช่นนี้ ก็มองไปที่เงินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วคิดถึงสายตาละโมบโลภมากของจูจือหมิงเมื่อครู่นี้ แสยะยิ้มออกมา เรียก “พ่อบ้าน!”
บ่าวรับใช้ก็เดินเข้ามา
“ไป เรียกฮั่วต้ามาพบข้า”
ฮั่วต้าเป็นหัวหน้าองครักษ์เงา ปกติไม่ออกมาให้ใครเห็น ขนาดคนในจวนด้วยกันยังไม่ค่อยจะได้เห็น มีหน้าที่คอยขจัดเสี้ยนหนามของฮั่วเจี่ย
พอได้รับคำสั่ง ฮั่วต้าก็เข้ามาทันที โค้งคารวะ “นายท่าน!”
“มีเรื่องหนึ่งข้าต้องการให้เจ้าไปทำ เอาหูมานี่”
ฮั่วต้าเดินเข้ามา โค้วตัวที่สูงใหญ่ลงมา เอาหูเข้าไปใกล้ๆ หน้าของฮั่วเจี่ย
แล้วฮั่วเจี่ยก็บอกกับเขา
ฮั่วต้าฟังจบ ยืนตัวตรง “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
“เจ้าไปเตรียมตัวก่อน สามวันผ่านไปค่อยลงมือ ไม่ว่าใครหน้าไหนที่มาขวางแผนการของเรา ฆ่าทิ้งให้หมด!”
“ขอรับ!”
ณ โรงเตี๊ยม
หลังจากจูจือหมิงออกไป ท่านอ๋องฉีก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด พระชายาฉีจึงเดินมาจากห้องข้างๆ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฮั่ว ไม่รู้ว่าจูจือหมิงคนนี้จะเต็มที่กับเรื่องนี้หรือไม่นะเจ้าคะ”
“เขาเป็นขุนนางท้องถิ่น เขาจะร่วมมือกับคนที่เขาเกลียด แล้วไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้านเลยงั้นรึ” ท่านอ๋องฉีพูด
พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วไม่พูดอะไรอีก
สามวันนี้ จูจือหมิงไม่มีความสุขเลย จิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่า การร่วมมือกับตระกูลฮั่วจัดการกับท่านอ๋องฉี มันไม่มีจุดจบที่สวยแน่ แต่ในความคิด กลับเบนไปทางข้อเสนอของฮั่วเจี่ย โลภในเงินหนึ่งแสนตำลึงและหน้าที่การงานมั่นที่คงในอนาคตนั้นไปเสียแล้ว หลังจากที่ทรมานอยู่สามวัน เช้าวันที่สี่ เขาที่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ก็มองไปที่ท้องฟ้าที่สดใส แล้วตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ในขณะเดียวกัน ม้าเร็วก็ถึงเมืองหลวงแล้ว เข้าไปที่กรมข้าราชการพลเรือน ลงจากม้า ถือรายงานเดินเข้าไป
พอฮ่องเต้สืบทอดตำแหน่ง หลังจากที่ทำการปฏิวัติมาหลายปี บ้านเมืองสงบสุข กองกำลังกล้าแกร่ง เลยไม่ค่อยมีเรื่องเร่งด่วนอะไรมากนัก เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนเลยว่างเป็นอย่างมาก เรื่องด่วนที่สุดขนาดนี้ยิ่งไม่เคยมีมาก่อน พอมาวันนี้ได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก พอเปิดออกดู เห็นว่ามาจากเจียงหนาน แล้วพออ่านดู ก็ตกใจจนหน้าสีเปลี่ยน รีบถือรายงานนี้เข้าวังหลวง มาที่ห้องทรงพระอักษรทันที
หวงฝู่ซวิ่นกำลังอ่านฎีกาอยู่ พอได้ยินเสนาบดีกรมข้าราชพลเรือนถือรายงานด่วนมาเข้าเฝ้า ก็เรียกตัวเข้ามาโดยทันที
เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนถวายรายงาน แล้วยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะทรงงาน
หวงฝู่ซวิ่นเปิดออก พออ่านจบ ก็ตกใจจนลุกขึ้น แล้วออกคำสั่ง “รีบไปเรียกตัวซื่อจื่อกับพระชายาซื่อจื่อเข้ามาเดี๋ยวนี้”
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนประชุมเช้าเสร็จ กลับจวนมา ยังไม่ทันได้นั่ง ก็มีคนจากวังหลวงมา
เขาขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นรึ”
“บ่าวก็ไม่ทราบ รู้เพียงแต่ฮ่องเต้ได้รับรายงานด่วน พออ่านจบ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เลยเรียกซื่อจื่อเข้าวังโดยทันที” ขันทีกล่าว
รายงานเร่งด่วนงั้นรึ? หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน ลุกขึ้น ออกจากจวนไป รีบขี่ม้ามาวังหลวงโดยทันที ยื่นเชือกผูกม้าให้ขันทีที่อยู่หน้าประตู แล้วรีบเดินมาที่ห้องหนังสือทันที
เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนออกไป หวงฝู่ซวิ่นกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือด้วยความกระวนกระวาย พอเห็นทั้งสองคนเข้ามา ก็ยื่นรายงานด่วนนั้นให้กับหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าดูนี่”
หวงฝู่อี้เซวียนรับมา เปิดอ่าน เป็นลายมือของท่านอ๋องฉี เนื้อหาเขียนเล่าเรื่องราวที่ทุกคนได้เจอมาอย่างละเอียด และเรื่องที่สะพานขาด ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย แล้วก็เอาความกังวลของตนกับพระชายาฉีเขียนลงไปในนั้นด้วย
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีพาเด็กสองคนออกไปเที่ยว ไม่ได้มีเป้าหมาย ไปตามใจของตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาไปที่ไหนยังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงเจียงหนาน แต่ว่าเขาได้จัดองครักษ์ลับติดตามสิบกว่านายเพื่อคุ้มกันอันตราย แต่ตอนนี้ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในขณะที่พวกเขากำลังชะล่าใจ เย่ว์เอ๋อร์เกือบโดนคนข่มเหงแล้วจับตัวไป ส่วนเขาและพระชายากับเมิ่งเอ๋อร์ก็เกือบโดนทำร้าย และคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่างนี้ ก็คือบ้านแม่ยายของจวนอู่โหวนั่นเอง เป็นบ้านของฮูหยินจวนอู่โหว และตระกูลฮั่วยังมีอิทธิพลมากในเจียงหนานอีกด้วย
พอปะติดปะต่อได้ถึงความแค้นที่จวนอู่โหวมีต่อพวกเขา หวงฝู่อี้เซวียนจึงรู้สึกไม่ดี พูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ ข้ากับโยวเอ๋อร์จะออกเดินทางไปเจียงหนานเดี๋ยวนี้ ท่านรีบเรียกตัวอู่โหวเข้ามา หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาล่ะก็ ท่านให้เขาล้มเลิกเดี๋ยวนี้ กลับตัวตอนนี้ยังไม่สาย แต่ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจวนอู่โหวจริงล่ะก็ ท่านก็ถามให้แน่ชัด ว่าฮั่วเจี่ยทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “พวกเจ้าไปคนเดียวไม่เหมาะสม ข้าจะส่งขุนนางตัวแทนของข้าไปด้วย สั่งให้เขาเดินทางไปกับพวกเจ้า แล้วมอบอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก แล้วเสนอว่า “ให้ชิงเอ๋อร์ไปเถอะ เขามีวรยุทธ์ติดตัว เดินทางไปกับพวกเราได้ ถ้าเป็นขุนนางคนอื่นๆ คงไม่ไหว”
เรื่องเร่งด่วน พวกเขาต้องขี่ม้าไปทั้งวันทั้งคืน ขุนนางบางคนก็มากเรื่อง พอหมดวันก็ต้องหาที่พัก กว่าจะเดินทางถึงเจียงหนานอย่าพูดว่าจะถึงภายในสามวันเลย หวงฝู่ซวิ่นจึงพยักหน้า “ได้ พวกเจ้ากลับจวนไปก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะเรียกเมิ่งชิงเข้าวัง”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากวังหลวงมา รีบกลับจวนไป หวงฝู่อี้เซวียนไปเตรียมตัว ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวไปหาเจียงจิ่น “เกิดเรื่องกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ข้ากับท่านพี่จะรีบไปเจียงหนาน หลังจากอวี้เอ๋อร์กลับมา บอกเขาว่าไม่ต้องออกไปไหนแล้ว ปิดจวนให้สนิท ไม่ว่าใครมา ห้ามให้เข้าพบเด็ดขาด”
หวงฝู่อวี้ไปตรวจตราร้านค้ามา หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยไปกั๋วจื่อเจี้ยน เหลือแต่เจียงจิ่นที่อยู่จวน พอฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็ตกใจ รีบถามว่า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังปลอดภัยใช่ไหมเจ้าคะ”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลมาก บางทีอาจจะแค่การข่มขู่เท่านั้นก็ได้”
เจียงจิ่นอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินไปที่เรือนของนางเสียแล้ว
พอทั้งสองออกมา หวงฝู่ซวิ่นก็เรียกตัวเมิ่งชิง เสร็จแล้วก็ออกคำสั่งให้เขาไปสำเร็จราชการแทนฮ่องเต้พร้อมกับมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้แก่เขา บอกว่า “เจ้าต้องรับรองว่าพวกเสด็จอาจะต้องไม่เป็นอะไร เมื่อยามจำเป็น ก็ประหารก่อนแล้วค่อยมารายงาน”
เมิ่งชิงน้อมรับราชโองการ พอออกจากวังหลวงมา ก็รีบไปที่จวนอ๋องฉีทันที
แล้วหวงฝู่ซวิ่นก็สั่งให้คนไปเรียกตัวนายท่านและนายน้อยอู่โหวเข้าวัง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามพวกเขาตรงๆ เลยว่าได้ร่วมมือกับตระกูลฮั่วแห่งเจียงหนานทำร้ายครอบครัวท่านอ๋องฉีหรือไม่
อู่โหวทั้งสองตกใจจนเหงื่อตก นายท่านอู่โหวก็พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “ฝ่าบาท ท่านตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร แม้กระหม่อมจะมีปัญหากับท่านอ๋อง แต่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป จะมาลอบฆ่าทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นก็เอารายงานด่วนส่งให้เขาดู
นายท่านอู่โหวรับไป อ่านเนื้อหาทั้งหมด ก็ตกใจจนแทบเป็นลม รีบคุกเข่าลงทันที “ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ การกระทำของตระกูลฮั่วในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับจวนอู่โหวเลยสักนิดพ่ะย่ะค่ะ”
นายน้อยอู่โหวพออ่านแล้ว ก็ตกใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าตามลงไป แล้วพูดเหมือนนายท่านอู่โหวว่า “ฝ่าบาท แม้ว่าตระกูลฮั่วจะเป็นบ้านแม่ยายของกระหม่อม แต่นอกจากเวลาตรุษจีนที่จะส่งของขวัญไปให้ พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยพ่ะย่ะค่ะ การกระทำที่ชั่วช้าของพวกเขา เรื่องที่ทำร้ายชาวบ้าน พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะทำร้ายเสด็จอาด้วยเหตุใดกัน” หวงฝู่ซวิ่นไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด จึงถามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขราม
“เอ่อ… …” นายน้อยอู่โหวลอกแลก พูดตะกุกตะกักตอบไม่ได้
หวงฝู่ซวิ่นทุบโต๊ะ สีหน้ากริ้วโกรธ “นายน้อยอู่โหว เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำโทษพวกเจ้างั้นรึ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าริบตำแหน่งคืนงั้นรึ”
นายน้อยอู่โหวก้มกราบลงไปกับพื้น เหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ขนาดที่ว่าชุดราชการของเขาเปียกชุ่มไปหมด มือทั้งสองข้างสั่นรัว เอาหัวกระแทกพื้นลงไปหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย ปีที่แล้วกระหม่อมได้ส่งลูกสาวผู้โง่เขลาของกระหม่อมไปเจียงหนานพ่ะย่ะค่ะ บางที… …”
“บางทีอะไร”
หวงฝู่ซวิ่นถามด้วยความโกรธ
แล้วนายน้อยอู่โหวก็รีบตอบ “บางทีลูกสาวของกระหม่อมเจอกับพวกเขาเข้า เลยจำพวกเขาได้ก็ไม่แน่พ่ะย่ะค่ะ”
หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจวนอู่โหว การที่คุณชายจวนอู่โหวพูดเช่นนี้ ก็พอเข้าใจได้ หวงฝู่ซวิ่นก็ผ่อนลง “ท่านอู่โหวทั้งสอง อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าพวกท่านเลย แต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ตระกูลฮั่วอยู่ที่เจียงหนานมานาน แถมยังสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ในพื้นที่นั้นอีกด้วย คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของตนเสียหมด เห็นว่าชาวบ้านล้วนอยู่ในอำนาจของตน กล้าทำลายสะพานด้วยความแค้นส่วนตัว วางแผนลอบฆ่าพวกเสด็จอา แล้วยังพรากชีวิตชาวบ้านไปมากมายอีกด้วย หากไม่จัดการ ชาวบ้านก็จะอยู่อย่างไม่สงบ ดังนั้น ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง เพราะไม่เพียงแต่มันจะรักษาเกียรติของจวนอู่โหวได้ แถมยังรักษาชีวิตอีกหลายร้อยชีวิตในจวนอู่โหวของเจ้าได้อีกด้วย”
พอได้ยินเขาพูดดังนั้น นายท่านจวนอู่โหวก็โล่งใจ ก้มกราบเอาหัวกระแทกลงไปอย่างแรง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วยเถิด จวนอู่โหวของเราภักดีต่อฝ่าบาท ไม่คิดการอื่นแน่นอน เรื่องวันนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแน่นอน ส่วนตระกูลฮั่วแห่งเจียงหนาน ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ สมควรฆ่าล้างตระกูลเก้าชั่วโคตรพ่ะย่ะค่ะ”
คำทุกคำพูดออกมาอย่างฉะฉาน ไม่มีความลังเลเลยสักนิด
หวงฝู่ซวิ่นจึงวางใจลงได้เล็กน้อย พยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ท่านอู่โหวทั้งสองลุกขึ้นเถิด ข้าได้ยินมาว่าเสด็จอากำลังลำบาก เลยร้อนใจ อาจจะพูดจาแรงไปหน่อย ขอท่านอู่โหวทั้งสองอย่าได้ถือสา”