ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 13 ต้องหนี
“ไม่เป็นไร จั่งกุ้ยนำทางข้าไปก็พอ”
จั่งกุ้ยรับคำ ขณะเดินนำทางเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนขึ้นไปบนชั้นสองของห้องพ่อลูกตระกูลหลี่ ก็แอบยกแขนเสื้อขึ้นซับเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก “นายท่าน มีคนมาขอเข้าพบขอรับ”
“เป็นผู้ใดกัน ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!”
หลี่เหล่าซานที่นอนเสพสุขอยู่บนพื้นกับห้องพักราคาสองร้อยตำลึงด้วยความปวดใจ จะยอมลุกขึ้นง่ายๆได้เช่นไร
จั่งกุ้ยกระวนกระวายใจ เคาะประตูแล้วเคาะประตูอีก ขณะที่กำลังจะเอ่ยเรียกอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มและขวางเขาเอาไว้ จั่งกุ้ยมองหน้านางอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรด้วยร่างที่เย็นเฉียบไปทั้งร่าง ขาทั้งสองข้างก็เริ่มสั่นริก
“อี้เอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางประตูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เรียกหาคน
หวงฝู่อี้รีบรุดหน้ามาตามเสียงเรียก ยกขาขึ้นถีบประตูให้เปิดออก
หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานตกใจรีบลุกขึ้นจากพื้น พึมพำว่า “บ้าเอ๊ย เป็นผู้ใดกัน รนหาที่ตายหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ
แม้ว่าจะไม่ได้พบกันนานหลายสิบปี แต่หน้าตาของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงชัดเจนในความทรงจำของทั้งสองคน เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นนาง ทั้งสองคนก็เบิกตาโตจนแทบจะถลนออกมา
“เจ้า เจ้า เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองไปทางหลี่เหล่าฮั่นที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มมองพวกเขาทั้งสอง แย้มรอยยิ้มกว้างทักทาย “ท่านทั้งสอง ไม่พบกันนาน คิดถึงพวกท่านมากเลย”
หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พลันเอ่ยเรียก “ท่านพ่อ!” และคลานเข่าไปหาหลี่เหล่าฮั่นที่นอนอยู่บนเตียง
หลี่เหล่าฮั่นไม่รู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ดูจากการแต่งตัวของนางและท่าทีของลูกชายทั้งสองคน ก็เดาได้ว่านางเป็นใคร จึงรีบยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ชี้ไปที่นางเหมือนลูกชายทั้งสอง “เจ้า เจ้า เจ้า…”
“ในชีวิต ข้าเกลียดการที่คนเอานิ้วชี้ข้าที่สุด หากเจ้าไม่ต้องการนิ้วมือเจ้าแล้ว ข้าจัดการแทนเจ้าได้นะ”
หลี่เหล่าฮั่นตัวสั่นเทิ้ม รีบเอามือหลบไปด้านหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองพวกเขาทั้งสามคนแวบหนึ่ง มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่เจอกันสิบกว่าปี ข้าก็คิดว่าตระกูลหลี่จะเป็นล่ำเป็นสัน มั่งคั่งร่ำรวยเสียอีก ถึงได้กล้ามาหาชิงเอ๋อร์ถึงเมืองหลวง แต่ไม่คิดเลยว่าจะยังเหมือนเดิม ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ระหว่างทางมานี้ได้ขอข้าวขอน้ำหรืออาศัยเดินตามรถม้าเศรษฐีที่ใดมากัน”
เมื่อฟังจบ หลี่เหล่าซานก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้า เจ้าพูดว่าอะไรนะ ตอนนี้พวกข้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พวกข้านั่งรถม้ามาเมืองหลวง”
“ไม่เหมือนแต่ก่อน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้งราวกับว่าได้ยินเรื่องตลก “ดูจากเสื้อผ้าของพวกเจ้าแล้ว ขอทานยังไม่ใส่เดินบนถนน ยังจะกล้าพูดว่าไม่เหมือนแต่ก่อนอีกหรือ”
“แต่งตัวแย่หน่อยแล้วจะทำไมหรือ พวกข้าใส่แล้วสบาย เจ้าดูของกินของใช้และที่อยู่ มีสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยว ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นพระชายาซื่อจื่อแล้วจะทำอันใดก็ได้ ก่อนมาที่นี่พวกข้าได้สืบมาแล้วว่ารัฐอู่แห่งนี้มีขื่อมีแป หากเจ้าอาศัยโอกาสนี้แก้แค้นพวกข้าล่ะก็ พวกข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม!”
หลี่เหล่าซานที่พยายามวางมาด ตะโกนพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แต่น่าเสียดายที่กลบเกลื่อนเสียงสั่นคลอที่แสดงถึงความหวาดกลัวของเขาเหล่านั้นไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวนัยน์ตาเป็นประกาย “เป็นความคิดที่ดี”
นางเอ่ยพร้อมกับก้าวขึ้นไปข้างหน้า ยิ้มหวานถามว่า “พวกเจ้ารู้จักสถานที่ตีกลองร้องทุกข์หรือไม่ จะให้คนของข้าไปส่งพวกเจ้าไหมเล่า ในฐานะที่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน ข้าจะบอกอะไรให้นะว่า รัฐอู่แห่งนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง หลังตีกลองร้องทุกข์ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอันใด ก็ต้องถูกโบยก่อนยี่สิบไม้ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้เตรียมใจกันไว้หรือไม่”
พวกเขาเคยเห็นเจ้าหน้าที่ในเมืองโบยคนไปแล้ว โดนไปยี่สิบไม้ก็หนังเปิดเนื้อแตก โชคดีหน่อยก็ยังคงมีชีวิตอยู่ โชคร้ายหน่อยก็สิ้นใจตายคาที่ เมื่อวานตอนกินข้าวที่ชั้นล่าง หลี่เหล่าซานได้ยินผู้คนในโรงเตี๊ยมพูดคุยกันหนาหู จึงนำมาขู่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลัว ใครจะไปคิดว่านางจะมาไม้นี้ ทำเอาหวาดกลัวหัวหดเสียจนไม่เป็นท่า กอดกันกลมจนไม่กล้าขยับอีกเลย
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลี่เหล่าเอ้อร์ที่ยังจำภาพในตอนที่โดนเมิ่งเชี่ยนโยวตีเกือบตายได้ติดตา กล้าเอ่ยพูดสักคำเสียที่ไหน หลบตัวไปอยู่หลี่เหล่าฮั่นตั้งนานแล้ว
เมื่อลูกชายพึ่งพาไม่ได้แล้ว หลี่เหล่าฮั่นก็กลืนน้ำหลายลงไปหลายอึก ตะเบ็งเสียงแข็งด้วยความอาวุโสกว่า “เจ้า เจ้าอย่ารังแกคนให้มากเกินไปนัก ดีชั่วอย่างไร พวก พวกข้าก็เป็นญาติสายนอกของชิงเอ๋อร์ เจ้า เจ้า เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง
หลี่เหล่าฮั่นเสียงหายไปในทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ มองไปทางเมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนมองไปที่พ่อลูกตระกูลหลี่ที่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้
หวงฝู่อี้ขยับไปยืนนิ่งอยู่หลังเมิ่งเชี่ยนโยว
“พูดมาสิว่าเป้าหมายในการมาเมืองหลวงของพวกเจ้าคืออะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจถามด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น
พ่อลูกตระกูลหลี่ที่รู้สึกได้ก็หวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก หลี่เหล่าฮั่นแทบจะทนรับไม่ไหว ตาเหลือกขาวตกใจจะเป็นลมหมดสติอยู่หลายครั้ง
หลี่เหล่าซานก็ลิ้นแข็ง ฟันสั่นกระทบกันจนพูดไม่ออก
หลี่เหล่าเอ้อร์แววตาทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง คลานออกมาจากข้างหลังหลี่เหล่าฮั่น และเอ่ยเสียงสั่นว่า “เศรษฐีหวังเป็นคนบังคับให้พวกข้ามา เขาอยากให้ชิงเอ๋อร์ช่วยหาตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงให้กับหลานทั้งสองคนของเขาจึงยั่วยุให้พวกข้าทั้งครอบครัวมาที่เมืองหลวง เงินที่ใช้สอยมาตลอดทางก็เป็นของเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เศรษฐีหวังหรือ”
หลี่เหล่าเอ้อร์รีบเอ่ยสำทับ “ก็น้องเล็กของพวกข้าคนนั้นไงเล่า สามีที่ชุ่ยฮวาแต่งด้วยในภายหลัง”
หลังจากหวงฝู่อี้มาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ก็ได้สืบเสาะเรื่องราวของทุกคนมาเป็นอย่างดี และรายงานให้เมิ่งเชี่ยนโยวทราบตามจริง สาเหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถามเช่นนี้ก็เพราะอยากให้ตระกูลหลี่เอ่ยออกมาด้วยปากตนเองเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นสามีชุ่ยฮวานั้นนางไม่เชื่อ ถึงแม้ว่าตอนนั้นนางจะไม่ได้ตามสืบเรื่องราวของหลี่ชุ่ยฮวา แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลกันมากนัก บางครั้งก็ได้ยินเรื่องราวของนางจากผู้อื่นบ้างเช่นกัน
“ข้าก็ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้กล้ามาเมืองหลวง ที่แท้ก็มีคนยุยงนี่เอง ไปตามมันมา ข้าจะดูหน่อยว่าเศรษฐีหวังผู้นี้เป็นผู้วิเศษมาจากที่ใด”
หลี่เหล่าเอ้อร์สบตากับหลี่เหล่าซาน ขาของทั้งสองคนนั้นไร้เรี่ยวแรง จะขยับไปที่ใดได้อย่างไรเล่า
“อี้เอ๋อร์ เจ้าไปเชิญเศรษฐีหวังมาที่นี่!”
เมิ่งเชี่ยนโยวเน้นเสียงหนักไปที่คำว่าเชิญ
หวงฝู่อี้น้อมรับคำสั่ง ก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เศรษฐีหวังที่รู้ข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาโรงเตี๊ยม ก็เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความร้อนใจ เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวมาเช่นกัน หากเห็นใครขัดหูขัดตาก็ลงไม้ลงมือทันที ตัวเขาที่ยุยงให้คนตระกูลหลี่มายังเมืองหลวง ตามนิสัยของนางแล้วคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเรื่องตำแหน่งขุนนางของหลานทั้งสองคนยังไม่สำเร็จ กลับต้องมาตายอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้หรอกนะ คิดถึงจุดนี้แล้วก็ยิ่งลนลาน รีบตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ข้างกายตนเอง คิดจะสั่งให้พาเขาและหลานทั้งสองคนหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้โดยเร็วก่อน ยิ่งไกลยิ่งดี