ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 17 อาศัยความตายมาบีบบังคับ
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 17 อาศัยความตายมาบีบบังคับ
เดิมเมิ่งชิงที่ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าเนื้อดี บวกกับรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างไม่มีใครเทียบได้นั้น ก็ดึงดูดสายตาผู้คนให้มองมาทางนี้นับไม่ถ้วนอยู่แล้ว
แต่การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของหลี่ชุ่ยฮวา กลับยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้มากยิ่งขึ้น ชาวบ้านที่อยู่บนถนนหนทางทั้งหมดล้วนหยุดยืนอยู่ที่เดิม และเบิกตามองดูเรื่องสนุกที่อยู่ตรงหน้านี้ไปชั่วครู่หนึ่ง
การพุ่งตัวพรวดพราดออกมาของหลี่ชุ่ยฮวา สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ม้าตัวที่เมิ่งชิงขี่อยู่ เสียงร้องแหลมสูงของมันดังขึ้น เท้าหน้าขยับไปมา ดูเหมือนจะมีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา เมิ่งชิงรีบออกแรงดึงบังเหียนที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว
หลังจากเสียงร้องฮี้ของม้าดังขึ้น อารมณ์ก็สงบลง และยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่มีอาการเตลิดอีก
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หลี่ชุ่ยฮวาก็ตกใจจนล้มลงไปนั่งกับพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด มือกุมอยู่ที่บริเวณหน้าอกที่ได้รับความตื่นตระหนกของตัวเอง แหงนหน้าขึ้นมองเมิ่งชิงด้วยความตื่นเต้น
เมิ่งชิงจับบังเหียนเอาไว้แน่นกว่าเดิม มองหลี่ชุ่ยฮวาด้วยสีหน้าทะมึน โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่ชุ่ยฮวายังคงคิดว่าตัวนางไม่ได้ทำอะไรผิด หลังจากสูดลมหายใจลึกไปหลายรอบแล้ว ก็ค่อยๆตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ยืนอยู่ข้างหน้าม้าตัวนั้น ในน้ำเสียงมีความยินดีและความตื่นเต้นที่เก็บเอาไว้ไม่มิด “ชิงเอ๋อร์ ในที่สุดแม่ก็ได้พบเจ้าแล้ว เหตุใดหลายวันมานี้ เจ้าถึงไม่มาเยี่ยมแม่ที่โรงเตี๊ยมกัน แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
เสียงของนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็เกิดความวุ่นวายกับเหล่าชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่รอบๆ
หลายวันก่อนหน้านี้ก็ได้ยินมาว่ามารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊มาเยือนเมืองหลวง ดูท่าเรื่องที่จอหงวนฝ่ายบู๊ไม่ยอมรับนางจะเป็นความจริงเสียแล้ว เมื่อมองดูหลี่ชุ่ยฮวาที่ร่างกายแบบบาง เส้นผมขาวหงอกเล็กน้อย เหล่าชาวบ้านก็เห็นอกเห็นใจ พากันกรูเข้ามา ชี้ไม้ชี้มือไปทางเมิ่งชิงและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ได้ยินว่ามารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊มานับญาติด้วย แต่กลับถูกปิดประตูปฏิเสธใส่ ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องจริงล่ะ”
“ใช่แล้วๆ ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน ตอนนั้นยังเดาอยู่เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“ล้วนพูดกันว่าบิดามารดาแยกทางกัน บุตรธิดายินยอมที่จะไปตกระกำลำบากกับมารดาแต่ก็มีความสุข แต่ไม่ยินยอมที่จะติดตามบิดาไปอยู่อย่างสุขสบาย เหตุใดเขาถึงได้ใจร้ายไม่ยอมรับมารดากันนะ”
“เฮ้อ ในสังคมนี้น่ะ คนแบบไหนก็ล้วนมีทั้งนั้น เดิมข้านึกว่าตระกูลเมิ่งสั่งสอนบุตรธิดาออกมาได้ไม่เลว ตอนนี้ดูๆ ไปแล้วก็แค่นี้เอง”
“ใช่แล้วๆ…”
รอบด้านคล้อยตามเป็นเสียงเดียวกัน
นอกฝูงชน คนที่เศรษฐีหวังสั่งให้ติดตามหลี่ชุ่ยฮวาอย่างใกล้ชิด เผยรอยยิ้มประสบความสำเร็จออกมาที่มุมปาก เมื่อได้ยินเสียงวิจารณ์ของเหล่าชาวบ้าน แผนการนี้ของนายท่านยอดเยี่ยมจริงๆ บีบบังคับกดดันให้เมิ่งชิงยอมรับหลี่ชุ่ยฮวาท่ามกลางสายตาผู้คน ถึงตอนนั้นคุณชายที่มีศักดิ์เป็นหลานทั้งสองท่านของตระกูลพวกเขาก็มีความหวังที่จะได้เป็นขุนนางแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพวกชาวบ้านแล้ว มือที่กำบังเหียนของเมิ่งชิงก็กำแน่นกว่าเดิม จนมีเส้นเอ็นปูดโปนออกมาบนมือ แววตาที่มองหลี่ชุ่ยฮวามีประกายโทสะพลุ่งพล่าน ในใจก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ถ้าหากว่านางไม่ใช่มารดาของตนเอง ยามนี้คงจะไม่เหลือชีวิตอยู่อีกแล้ว
หลี่ชุ่ยฮวายังคงจมอยู่ในความปีติยินดีที่ได้พบกับเขา โดยไม่รู้เลยว่าตัวนางได้สร้างปัญญาใหญ่ให้เมิ่งชิงมากเพียงใด “ชิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดไม่จา รู้สึกว่าแม่มากะทันหันเกินไปใช่หรือไม่ แม่ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ยามนี้แม่ไม่ได้มีอิสระอีกแล้ว อยากพบกับเจ้า ก็ยังต้องได้รับการเห็นด้วยจากเศรษฐีหวัง”
ประโยคนี้ของนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็มีความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นในกลุ่มชาวบ้านอีกรอบ
“ไม่ได้เป็นอิสระ” “ต้องได้รับการเห็นด้วยจากเศรษฐีหวัง”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ลอยเข้าหูชาวบ้านที่มุงดูอยู่รอบๆ ประกอบกับเห็นว่าอายุของนางที่แม้ว่าจะไม่มาก แต่กลับมีผมขาวบนศีรษะแล้ว ในใจชาวบ้านก็มีการคาดเดากันต่างๆ นาๆ และเอ่ยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติว่า
“ที่แท้มารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊ถึงกับขายร่างกายตัวเองเพื่อเลี้ยงดูเขา น่าสงสารจริงๆ”
“ใช่แล้วๆ ดูสภาพนางสิ คงได้รับความทุกข์ทรมานมาไม่น้อยเลย”
…
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนลอยเข้าหูเมิ่งชิงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จนถึงขั้นที่มีคนสงสัยว่า “ไม่ใช่พูดว่าจอหงวนฝ่ายบู๊ผู้นี้ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จากครอบครัวของพระชายาซื่อจื่อหรอกหรือ หรือว่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงกัน คนตระกูลเมิ่งใช้วิธีการมิชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศเช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เมิ่งชิงก็อดไม่ได้ที่จะตวาดเสียงสูงอย่างมีโทสะ “หุบปากให้หมด!” จะพูดอะไรเกี่ยวกับเขาล้วนได้หมด มีเพียงแค่เรื่องครอบครัวของเมิ่งเอ้ออิ๋นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เป็นเกล็ดย้อน[1]ของเขา
เสียงนี้ของเขาสอดแทรกกำลังภายในเพิ่มเข้าไป ไม่เพียงแต่ดังชัดเจนลอยเข้าหูทุกคน แต่ยังลอยออกไปได้ไกลมากอีกด้วย ฝูงชนถูกเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของเขาทำให้ตกใจ คนทั้งหมดจึงเงียบเสียงลงในทันที
บนถนนเงียบสงัด
เมิ่งชิงเอ่ยเนิบๆอย่างไม่ไว้หน้าหลี่ชุ่ยฮวา “ไม่ผิด ท่านคือแม่ของข้า แต่ว่าตั้งแต่ข้าอายุ 6 ขวบปี ท่านก็ทำเรื่องเลวร้าย น่ารังเกียจอย่างไม่ละอายแก่ใจ ตอนที่ถูกท่านพ่อข้าหย่า ท่านก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับข้า และไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเมิ่งแล้วเช่นกัน”
หลี่ชุ่ยฮวาน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย สะอื้นพลางส่ายหน้า “ชิงเอ๋อร์ แม่ผิดไปแล้ว เป็นแม่เองที่ทำไม่ถูกต้อง ความผิดมากมายใหญ่หลวงล้วนเป็นความผิดของแม่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ที่อุ้มท้องมาสิบเดือนและให้กำเนิดเจ้าออกมา มารดาและบุตรมีใจเชื่อมกันนะ หลายปีมานี้ หลายต่อหลายครั้งที่แม่แทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว หากไม่ได้นึกว่าจะมีสักวันหนึ่งที่แม่จะได้พบหน้ากับเจ้าสักครั้ง แม่ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ตั้งนานแล้ว”
“ดังนั้นล่ะ ท่านอยากให้ข้าทำเช่นไรหรือ”
เมิ่งชิงที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถามเสียงเย็นเยียบ
“ข้า ข้า ข้า…”
เมื่อเห็นเขายังมีท่าทีเย็นชาเหมือนกับครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน หลี่ชุ่ยฮวาก็ลนลาน เอ่ยออกมาไม่เป็นภาษา
เมิ่งชิงปล่อยบังเหียน คลายถุงบริเวณเอวออก หยิบตั๋วเงินออกมาจากด้านในหลายใบ ถามเสียงเย็นว่า “ห้าร้อยตำลึง พอหรือไม่”
หลี่ชุ่ยฮวาตะลึงค้าง
มุมปากเมิ่งชิงกระตุกเบาๆ ยิ้มเยาะ เก็บเงินห้าร้อยตำลึงเข้าไปในถุงเงินอีกครั้ง และโยนถุงเงินลงด้านหน้าหลี่ชุ่ยฮวา “ด้านในมีทั้งหมดแปดร้อยตำลึง ให้ท่านทั้งหมด มากพอที่จะให้ท่านใช้อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออย่างไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารแล้ว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ก็ทางใครทางมัน พวกเราไม่มีอันใดติดค้างต่อกัน และไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก”
เมื่อถุงเงินตกลงบนพื้น ก็มีเสียงหนักดังตุ้บ หลี่ชุ่ยฮวาได้สติกลับคืนมา มองดูถุงเงินที่อยู่บนพื้น และมองเมิ่งชิงที่มีสีหน้าเย็นชา น้ำตาก็ไหลพรากยิ่งกว่าเดิม ตะลีตะลานส่ายหน้า “ชิงเอ๋อร์ แม่ไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น แม่…”
เสียงของเมิ่งชิงยิ่งเอ่ยก็ยิ่งเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ “ท่านหมายความว่าเช่นไรเล่า อยากให้ข้ายอมรับท่าน หลังจากนั้นก็ให้พวกท่านสกุลหลี่สูบกลืนเหมือนกับปลิงดูดเลือด หรือว่าจะหาตำแหน่งขุนนางดีๆ ให้หลานชายทั้งสองคนของผู้นำตระกูลเศรษฐีหวังกันเล่า”
หลี่ชุ่ยฮวาส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”
“ถ้าหากว่าไม่ใช่ ท่านก็หลบไปเสีย วันนี้ข้ายังมีธุระ ไม่อยากจะเสียเวลาแล้ว”
หลี่ชุ่ยฮวาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของเขาแล้ว ก็ร้อนใจขึ้นมา ในใจมีความรู้สึกอย่างหนึ่งปะทุขึ้นมา ถ้าหากว่าวันนี้นางปล่อยให้เมิ่งชิงจากไป เช่นนั้น ในภายหลังก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแล้วจริงๆ นางคิดในใจแล้วลนลานกางแขนออก ขวางอยู่หน้าตัวม้า “ไม่ ข้าไม่อาจให้เจ้าจากไปได้ ไม่อาจให้เจ้าไปได้!”
สีหน้าของเมิ่งชิงเย็นเยียบยิ่งขึ้น จ้องมองนางตรงๆ
หลี่ชุ่ยฮวาลนลานมากกว่าเดิม ร้อนใจคิดอยากจะอธิบาย “ชิงเอ๋อร์ ข้า…”
“หลบไป!”
คำพูดของนางยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เมิ่งชิงก็เอ่ยเสียงเฉียบขาด
หลี่ชุ่ยฮวาตะลึงค้าง
“ข้าจะพูดอีกรอบว่า หลบไป!”
เมิ่งชิงเน้นเสียงหนักกว่าเดิม นัยน์ตานั้นมีเปลวเพลิงกำลังลุกโชนอยู่
หลี่ชุ่ยฮวามีอาการตกใจเล็กน้อย หลบไปอีกด้านด้วยความตะลึงงัน
เมิ่งชิงกระตุกบังเหียน บังคับอาชาให้เดินไปข้างหน้า โดยไม่หันหน้ากลับมามองนางเลยแม้แต่น้อย
เสียงกุบกับที่ดังขึ้นจากฝีเท้าม้าดึงหลี่ชุ่ยฮวาให้กลับมาจากความคิด เมื่อเห็นเมิ่งชิงจากไปโดยไม่หันหน้ากลับมา จึงลนลาน และตะโกนเสียงดังในยามคับขันว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น แม่จะตายอยู่ที่นี่…”
เมิ่งชิงทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ยังคงขี่อาชาเดินตรงไปข้างหน้า
หลี่ชุ่ยฮวาหวาดหวั่นเข้าแล้วจริงๆ เมื่อเห็นเสาขนาดใหญ่และแข็งแรงต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ก็พุ่งตัวเข้าไปโดยไม่ไตร่ตรองอันใดอีก
[1] เกล็ดย้อน หรือเกล็ดใต้คอมังกร เชื่อกันว่าหากผู้ใดไปแตะต้องเกล็ดนี้เข้า มังกรจะพิโรธ และฆ่าคนผู้นั้นเสีย ในอดีตจักรพรรดิเปรียบเสมือนกับพญามังกร คำๆนี้จึงหมายถึง การทำให้จักรพรรดิทรงพิโรธ ปัจจุบันเปรียบเทียบกับการทำให้ผู้มีอำนาจโกรธ