ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 7 ถึงเมืองหลวง
เมืองหลวง นั่นเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ หลี่เหล่าซานเคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่เคยไปปรารถนาที่จะไป เพราะเขารู้ว่า คนบ้านนอกอย่างเขา กระทั่งประตูใหญ่เมืองหลวงก็เข้าไม่ได้ มาวันนี้ เมื่อได้ยินเศรษฐีหวังพูดแบบนี้ จึงตาเบิกโตขึ้นในทันที “ท่าน ท่านพูดว่า พวก พวกเราสามารถ สามารถ ไป ไปเมืองหลวงได้หรือ”
“แน่นอนว่าได้” เมืองหลวงเป็นเมืองที่อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ แต่ไม่มีใครห้ามไม่ให้พวกเราไปสักหน่อย”
เศรษฐีหวังยิ้มตาหยี พลางเอ่ย
หลี่เหล่าซานยิ่งติดอ่างมากขึ้นแล้ว “แต่ แต่ว่า…”
เศรษฐีหวังตบบ่าของเขา “ไม่มีแต่ ถ้าหากพี่ชายสามยินยอมที่จะไป ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้นมีข้าเป็นผู้รับผิดชอบ”
นัยน์ตาเขาหดวูบทันที “ท่าน ท่านพูดจริงหรือ”
“แน่นอนว่าจริง ไม่เพียงเท่านี้ ถ้าหากว่าท่านพ่อตา พี่ชายใหญ่ และพี่ชายรองก็ยินยอมที่จะเดินทางไปด้วย เงินที่ต้องใช้ทั้งหมด ข้าก็เป็นผู้รับผิดชอบเช่นกัน”
หลี่เหล่าซานตบขา “ตกลงแบบนี้แล้วกัน ข้าจะกลับไปบอกพวกเขาเดี๋ยวนี้”
พูดจบแล้ว ก็ไม่รอให้เศรษฐีหวังรู้สึกตัวขึ้นมา วิ่งจากไปอย่างรวดเร็วทันที
มุมปากเศรษฐีหวังเผยรอยยิ้มเจ้าแผนการออกมา เมิ่งชิงผู้นี้หนีไปได้ชั่วขณะ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหนีปัญหานี้ไปได้ตลอด เขาไม่เชื่อว่า คนสกุลหลี่ยกพวกพากันไปหาแล้ว เมิ่งชิงที่อยู่เมืองหลวงท่ามกลางขุนนางชั้นสูงมากมายจะยังไม่ยอมนับญาติ
หลี่เหล่าซานกลับไปถึงบ้านก็เล่าให้ทุกคนฟัง ไม่เพียงแค่ผู้เฒ่าหลี่เท่านั้น กระทั่งหลี่เซิ่งและหลี่เหล่าเอ้อก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน จึงรับปากในทันที
เรื่องนี้หลี่ชุ่ยฮวาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย รอจนนางรู้แล้ว ก็หลังจากนั้นมาหลายวัน ขณะอยู่ระหว่างเดินทางไปยังเมืองหลวงแล้ว
ในฐานะที่หลี่ชุ่ยฮวาเป็นอนุของเศรษฐีหวัง จึงต้องอยู่บนรถม้าคันเดียวกับเขาเป็นธรรมดา นอกจากพ่อลูกสกุลหลี่สี่คนนั้นแล้ว ก็ยังมีหลานชายสองคนที่เศรษฐีหวังภาคภูมิใจมากที่สุด และบ่าวรับใช้อีกยี่สิบสามสิบคนตามมาด้วย
หลี่ชุ่ยฮวางอตัวแนบอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้า มองไปทางเศรษฐีหวังด้วยอาการสั่นไปทั้งร่าง
เศรษฐีหวังคล้ายกับว่ามองไม่เห็น กวักมือเรียกเธอ “ชุ่ยฮวาเอ๋ย เจ้ามานี่สิ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
นับตั้งแต่หลี่ชุ่ยฮวากลับบ้านภรรยาพร้อมกับเศรษฐีหวังในครั้งนั้น ก็ไม่ได้กลับไปเลย ได้ยินคำพูดของเศรษฐีหวังแล้ว ก็นึกว่าเขาจะลงโทษนาง จึงรีบคุกเข่า เอ่ยพูดผ่านฟันที่สั่นกระทบกัน “นายท่าน ท่านอนุญาตให้ข้าพักอาศัยอยู่ที่บ้านข้าเองนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเศรษฐีหวังแข็งค้าง พยายามควบคุมตัวเอง ถึงไม่ได้ถีบอนุที่ไม่รู้จักดูสถานการณ์ตรงหน้านางนี้ นางก็ไม่คิดเสียบ้างเลยว่า พ่อลูกสกุลหลี่สี่คนล้วนมาด้วยแล้ว ถ้าหากว่าให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้ หลี่ชุ่ยฮวายังคุกเข่าให้ตัวเอง หลังจากถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ช่วยเอ่ยถึงเรื่องดีๆ ของเขาต่อหน้าเมิ่งชิงแล้ว
เมื่ออดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้แล้ว เศรษฐีหวังก็เอ่ยพูดขึ้นด้วยท่าทีที่อ่อนโยน “ชุ่ยฮวาเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย ข้าเพียงแค่อยากจะถามเจ้าว่า ลูกชายคนนั้นของเจ้ามีนิสัยเป็นเช่นไร คุยด้วยง่ายหรือไม่”
หลี่ชุ่ยฮวาชะงักค้าง ในปีที่นางถูกทิ้งแล้วกลับมาบ้านนั้น ชิงเอ๋อร์เพิ่งจะอายุหกขวบ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว กระทั่งหน้า นางก็ยังไม่ได้พบสักครั้ง จะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้นิสัยของเขาเป็นเช่นไร
มองสีหน้าของนางแล้ว เศรษฐีหวังก็รู้ว่าคำถามนี้ของตัวเอง ถามพลาดไปแล้ว แต่หลี่ชุ่ยฮวาเป็นถึงมารดาแท้ๆ ของเมิ่งชิง ถึงแม้ว่าจะเลี้ยงดูเขาจนถึงอายุไม่กี่ขวบ ก็น่าจะรู้ลักษณะนิสัยใจคอบ้าง ดังนั้น จึงถามต่อว่า “ลักษณะนิสัยในตอนเด็กของเขาเป็นอย่างไร เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย”
ใบหน้าหลี่ชุ่ยฮวาเผยสีหน้าโหยหายออกมา ตอนเมิ่งชิงยังเล็ก ชิงเอ๋อร์ในตอนนั้น อายุยังน้อย เมิ่งเสียวเถี่ยก็ไม่อยู่บ้าน จึงติดนางมาก ทั้งยังเฉลียวฉลาดน่ารักเช่นกัน ตลอดทั้งวันล้วนเล่าเรื่องสนุกให้นางฟัง ปลอบให้นางอารมณ์ดี ข้อเสียเพียงข้อเดียวก็คือ นิสัยเหมือนกับเมิ่งเสียวเถี่ย เมื่อเชื่อในเรื่องใดแล้ว ก็จะไม่หันหลังกลับ เหมือนกับนางในตอนแรกที่วิงวอนขอร้องให้เมิ่งเสียวเถี่ยให้อภัยอย่างไร เขาก็ไม่ยอมรับปาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ชุ่ยฮวาก็นึกออกทันทีว่า นิสัยของชิงเอ๋อร์ตรงไปตรงมาอย่างที่สุด หลายปีมาแล้วล้วนไม่เคยไปที่หมู่บ้านสกุลหลี่สักครั้ง ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ไม่ยอมรับนางผู้เป็นมารดาคนนี้แล้ว ในตอนนี้พวกเขายังบุ่มบ่ามไปเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจหรือไม่”
สีหน้าความรู้สึกทั้งหมดของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของเศรษฐีหวัง จึงขมวดคิ้วตามไปด้วยเช่นกัน “ทำไมหรือ ลูกชายของเจ้า…”
“ไม่ๆ ๆ …ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
หลี่ชุ่ยฮวาลนลานโบกมือ ถึงแม้ว่าชิงเอ๋อร์จะไม่ยอมรับนาง แต่นางก็อยากไปเมืองหลวง เพื่อที่จะได้เห็นเขาสักครั้ง แม้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นเพราะเหตุนี้ นางก็จะไม่เสียใจในภายหลัง
คิ้วของเศรษฐีหวังขมวดเป็นปมลึกมากขึ้น มองไปที่นางด้วยสายตาคมกริบ
หลี่ชุ่ยฮวางอตัวลุกขึ้น และถอยกลับไปยังมุมมุมหนึ่งโดยไม่เอ่ยพูดอะไร
เศรษฐีหวังก็ไม่สะดวกที่จะบีบบังคับมากเกินไป จึงทำได้เพียงแค่ละทิ้งความคิดที่จะสืบถามข่าวต่อไป
เนื่องด้วยเป็นห่วงร่างกายของเศรษฐีหวัง รถม้าจึงไม่ได้วิ่งเร็วเกินไปนัก ยามบ่ายวันที่เจ็ด คนทั้งขบวนก็มาถึงประตูหนานเฉิง
“ท่านพ่อ ท่านมาดูเร็วเข้า นี่ก็คือเมืองหลวง”
หลี่เหล่าซานยกผ้าม่านขึ้นสูง มองไปยังกำแพงที่สูงตระหง่านโดดเด่นแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น
ผู้เฒ่าหลี่รีบยื่นศีรษะออกไป เบิกตาโตมองไปรอบๆ “โอ้! สวรรค์! ไม่รู้ว่ากำแพงเมืองของเมืองหลวงสูงกว่าเมืองชิงซีของพวกเราเท่าไรกันนะ”
“ไม่เพียงเท่านี้”
หลี่เหล่าซานชี้ไปที่ทหารรักษาการณ์ที่ประตูเมืองอย่างตื่นเต้น “ท่านดูสิ กระทั่งทหารพวกนี้ ก็ยังแข็งแรงมากกว่าทหารที่เมืองชิงซีของพวกเราไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร”
ผู้เฒ่าหลี่ตีมือเขาลงดัง เพียะ และถลึงตาใส่เขาทันที “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่า ทหารรักษาการณ์ประตูเมืองหลวงนั้นล้วนมีตำแหน่งสูงกว่าท่านนายอำเภอเสียอีก ถ้าหากถูกพวกเขาพบว่าเจ้าใช้นิ้วชี้ไปที่พวกเขา จะไม่ตัดมือเจ้าทิ้งได้อย่างไร”
หลี่เหล่าซานที่ถูกฝ่ามือหนึ่งซัดเข้าใส่อย่างไม่มีสาเหตุ กำลังจะโหวกเหวกโวยวายด้วยความไม่พอใจ เมื่อฟังคำพูดผู้เฒ่าหลี่จบแล้ว ก็ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลท่วมร่าง รีบซ่อนมือของตัวเองไว้ในเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ พลางถามอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านพ่อ เมื่อครู่นี้พวกเขาไม่เห็นใช่ไหม”
ผู้เฒ่าหลี่กลอกตาใส่เขา “แน่นอนว่าไม่ มิฉะนั้นเจ้าจะยังนั่งอยู่อย่างปลอดภัยตรงนี้ได้หรือ”
หลี่เหล่าซานโล่งใจ ดึงมือของตัวเองออกมา ยิ้มระรื่น พูดว่า “ท่านพ่อพูดได้ถูกต้อง ข้าล้วนฟังท่าน”
คำพูดของพวกเขาลอยไปเข้าหูของเศรษฐีหวัง เศรษฐีหวังเบ้ปาก เผยรอยยิ้มเยาะ คนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยพบเจอโลกกว้าง ถ้าหากไม่ได้มีเรื่องต้องขอร้องพวกเขา แม้ว่าจะมีคนมอบเงินให้เขา เขาก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันกับพวกเขาหรอก ทำตัวน่าขายหน้าไปทุกที่
คนทั้งขบวนเข้าไปในเมืองแล้ว ก็หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อเข้าพัก
พ่อลูกสกุลหลี่นั้นประหลาดใจไม่หยุด มองทางนี้ที จับทางนั้นที จนทำให้ผู้คนทั้งหมดในโรงเตี๊ยมพากันมองมาทางพวกเขาแปลกๆ
เศรษฐีหวังมีสีหน้าทะมึน กระแอมไออยู่หลายครั้ง ส่งสัญญาณให้คนเหล่านี้เก็บอาการหน่อย
เหล่าคนที่กำลังตื่นเต้น จะมีเวลาว่างมาสังเกตเห็นอาการบอกใบ้ของเขาเสียที่ไหนกัน จึงยังมีท่าทางประหลาดไม่เลิก โดยเฉพาะหลี่เหล่าซาน ที่ถึงกับกอดเสาในโรงเตี๊ยม วางแผนที่จะลองปีนขึ้นไปบนชั้นสอง
เศรษฐีหวังสีหน้าทะมึนถึงขีดสุด จึงไม่สนใจอะไรต่อไปอีก ตวาดคนเหล่านี้ว่า “ถ้าหากว่าพวกเจ้ายังทำท่าทางไม่เข้าท่าเช่นนี้อีก ก็อย่าโทษว่าข้าทิ้งพวกเจ้าเอาไว้แล้วไม่สนใจ”
คนเหล่านี้ถึงได้เก็บอาการได้ เพียงแต่ว่าหลี่เหล่าซานยังคงแค่นเสียงเอ่ยว่า “เจ้าอย่ามาขู่พวกข้า ตอนนี้ถึงเมืองหลวงแล้ว พวกข้าก็จะได้พบหน้าชิงเอ๋อร์ในไม่ช้า แม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจไยดี แต่พวกข้าก็มีที่ให้ไป”
เศรษฐีหวังถูกทำให้พูดไม่ออกเสียแล้ว
ถือว่าหลี่เซิ่งนั้นมีสมอง จึงตวาดใส่หลี่เหล่าซานในทันที “เหล่าซาน อย่าพูดเพ้อเจ้อ ตอนนี้ชิงเอ๋อร์เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ พวกเราคิดอยากจะเจอก็เจอได้ที่ไหนกัน”