ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 1 บทที่ 26 ตบหน้า เพียะ เพียะ เพียะ
“บังอาจ กล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยพระนามอันสูงศักดิ์ของพระชายาเช่นนี้!” ทว่าขันทีซึ่งอยู่ข้างกายของหลงเทียนหยู๋กลับส่งเสียงเข้มออกมาจนผู้คนในห้องรับแขกต่างได้ยินเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่นี้
หลินเมิ้งหยาทำเพียงยืนอยู่อีกฝั่ง ไม่พูดแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม
“คุณหนูรองสกุลหลิน แม้ว่าท่านจะเป็นน้องสาวแท้ๆของพระชายา แต่ฐานันดรศักดิ์นั้นแตกต่างกัน คุณหนูรองยังไม่มียศศักดิ์ติดตัว การเรียกชื่อพระชายาโดยตรงนั้น นั่นเท่ากับว่าท่านมิให้เกียรติพระชายาเลยแม้แต่น้อย!”
หลงเทียนหยู๋ชายตามองภาพความวุ่นวายตรงหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ซินะ เมื่อย่ำรุ่งหลินเมิ้งหยาเรียกเสี่ยวเต๋อจื่อขันทีประจำตัวของเขาเข้าไปพบภายในห้องเพื่อคุยความลับบางอย่างอยู่นานสองนาน หรือจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน เสี่ยวเต๋อจื่อจึงแสดงท่าทีต่อต้านหลินเมิ้งหวู่เช่นนี้?
อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า นางเป็นคนฉลาดเฉลียว เล่ห์กลแพรวพราว ทว่าอุบายที่ใช้กลับไม่ได้เรื่อง
“ข้า…ข้าก็แค่….” ตั้งแต่เด็กจนโต หลินเมิ้งหวู่เป็นดั่งไข่ในหินของแม่ตนเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ ปากที่มักจะช่างพูดช่างจาถึงกับอ้าค้าง คำพูดติดขัด
“เหตุใดท่านขันทีต้องมีโทสะด้วยเล่า นี่เป็นเรื่องปกติ พวกนางสองพี่น้องมักจะทะเลาะและโวยวายใส่กันอยู่เสมอ นางจึงลืมกฎระเบียบไปชั่วครู่เท่านั้น หวู่เอ๋อร์เอ๋ย รีบขอโทษพี่สาวของเจ้าเสีย” น้ำเสียงของซ่างกวนชิงอ่อนโยน ดวงตาทั้งสองข้างเจือไว้ซึ่งความรักและเอ็นดู
ราวกับว่าแม่คนนี้ให้ความรักและเอ็นดูลูกสาวของนางจริงๆ ทว่าหลินเมิ้งหวู่กลับกัดฟัน นางไม่คิดที่จะก้มศีรษะลงเลยแม้แต่น้อย
ก้มหัวให้นังแพศยาคนนั้นน่ะหรือ? ฝันไปเถอะ!
สายตาของหลินเมิ้งหวู่วาวโรจน์ไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง จนเกือบจะแผดเผาหลินเมิ้งหยาให้มอดไหม้
พระชายาอะไรกัน ถ้าจะให้พูดจริงๆ นางก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของฮองเฮาแต่เพียงเท่านั้น
“ช่างเถิดเสี่ยวเต๋อจื่อ นางเป็นน้องสาวของข้า ข้าเชื่อว่านางคงลืมกฎระเบียบเพียงชั่วครู่เท่านั้น ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว ท่านอ๋องยังมีงานให้ต้องทำ ท่านแม่ เม่ยเม่ย หย๋าเอ๋อร์คงมิรบกวนพวกท่านแล้ว”
เอ่ยเพียงเท่านี้ ก่อนที่หลินเมิ้งหยาจะหมุนตัวแล้วเดินออกจากห้องรับแขกแห่งบ้านสกุลหลิน หลงเทียนหยู๋รีบสาวเท้าเดินตาม บรรดาข้าทาสบริพานเองก็เช่นกัน
เป็นภาพการเสด็จของเชื้อพระวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ทว่าหลินเมิ้งหวู่และซ่างกวนชิงทำได้เพียงคุกเข่าส่งผู้สูงศักดิ์ทั้งสองกลับเท่านั้น
“ท่านแม่ ดูนั่นซิเจ้าคะ นั่นนังหรู๋เยว่ข้าทาสประจำเรือนของหลินเมิ้งหยามิใช่หรือ? เหตุใดนางจึงเดินตามขบวนเสด็จไป ข้าจะไปตามนางกลับมา…” หลินเมิ้งหวู่ที่เพิ่งจะลุกขึ้นถูกซ่างกวนชิงรั้งเอาไว้พลางส่ายหน้า ดวงตาทั้งสองข้างเผยให้เห็นเปลวเพลิงแห่งโทสะ
แค่นหัวเราะเสียงเย็น เมื่อข้าทาสบริวารของตำหนักท่านอ๋องหยู๋ออกไปจนหมดแล้ว ซ่างกวนชิงจึงดึงตัวหลินเมิ้งหวู่ลุกขึ้น
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ให้แม่นมหลี่อยู่รับใช้ที่นี่แต่เพียงผู้เดียว” บ่าวไพร่ต่างพากันออกจากเรือน ไม่มีใครกล้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ภายในเรือน ตอนนี้เหลือเพียงเจ้าบ้านและแม่นมสามคนเท่านั้น ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเลือนหายไป สีหน้าของซ่างกวนชิงในเวลานี้มีเพียงความเกลียดชัง
“เพล้ง….” เสียงดังขึ้น แจกันแก้วบนโต๊ะที่หลินเมิ้งหวู่ถืออยู่ในมือแหลกละเอียด
“ท่านแม่ หวู่เอ๋อร์ยังไม่เข้าใจ เหตุใดท่านแม่ต้องแสดงกิริยานอบน้อมต่อหน้านังแพศยาด้วย! นางเป็นเพียงพระชายาที่ไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ท่านแม่เป็นถึงน้องสาวของฮองเฮา สถานะของท่านแม่สูงส่งกว่านางมาก แต่วันนี้นางรังแกลูก เหตุใดท่านแม่จึงไม่สั่งสอนนาง!”
ความน้อยใจและความอัดอั้นแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาคู่สวยของหลินเมิ้งหวู่ ใบหน้าของนางเปียกชื้นราวกับโดนฝนชโลม เสียงร้องไห้ดังลั่นอย่างน่าสงสาร
แต่ซ่างกวนชิงกลับทำเพียงมองหน้าลูกสาว นัยน์ตาแข็งทื่อ
“หวู่เอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดอยู่ๆหลินเมิ้งหยาก็ข่มเหงเจ้า?”
หลินเมิ้งหวู่กระพริบตา ก่อนจะตอบกลับพร้อมเสียงสะอื้น “นางก็แค่ต้องการแสดงอำนาจของพระชายา นางอยากจะให้คนทั้งบ้านสกุลหลินรู้ว่านางที่เป็นคนต่ำต้อยด้อยค่าปีนข้ามหัวข้าไปแล้ว”
เสียงขบฟันกรอดดังออกมาเนืองๆ ทางเดียวที่ความโกรธแค้นนี้จะหายไปได้นั่นก็คือการที่นางลงมือฆ่าหลินเมิ้งหยาด้วยตนเอง
ทว่าซ่างกวนชิงกลับส่ายหน้าให้กับลูกสาว นังเด็กชั้นต่ำคนนั้นตะเกียกตะกายปีนขึ้นมานิดเดียวก็ได้กลายเป็นพระชายา แต่เพราะเหตุใดลูกสาวของนางจึงโง่เขลาเช่นนี้?
หรือเพราะนางเติบโตมาภายใต้ปีกของตนเองตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรไปสู้กับหลินเมิ้งหยาได้?
การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในวังหลวงอันแสนดุเดือดจะต้องได้รับเพียงชัยชนะเท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้ ถ้าหากว่าหวู่เอ๋อร์ยังมีลักษณะเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปในภายภาคหน้าคงมิมีวันชนะหลินเมิ้งหยาได้อย่างแน่นอน
“นางอยากจะพาหรู๋เยว่ไปด้วยตั้งนานแล้ว แต่เพราะหรู๋เยว่เป็นทาสที่เกิดในเรือนเรา แม้นางจะยืนกรานอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากเราไม่ยอมปล่อยไป นางก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นวันนี้นางจึงตั้งใจปั่นประสาทของเจ้า เพื่อให้เจ้าสูญเสียสติ จากนั้นแสร้งทำเป็นให้อภัยเจ้า ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสนี้พาหรู๋เยว่ไปด้วย เท่านี้แม่เองก็ไม่อาจห้ามอะไรนางได้แล้ว คราวนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ซ่างกวนชิงเอ่ยออกมาไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ทว่ากลับทำให้หลินเมิ้งหวู่หยุดสะอื้น
“ท่านแม่ ท่านกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่หรือไม่? นังแพศยาจะเจ้าเล่ห์เพียงนั้นเชียวหรือ?” หลินเมิ้งหวู่ยังไม่อยากจะยอมรับ แม้หลินเมิ้งหยาจะฉลาดขึ้น แต่นางจะสู้พวกนางสองแม่ลูกได้อย่างไร?
ซ่างกวนชิงถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “แม่ของนางเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะ…… เอาเป็นว่าเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี ต่อจากนี้ไปห้ามทำอะไรอุกอาจเป็นอันขาด หลินเมิ้งหยาจะต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน ส่วนเจ้าต้องพยายามรักษาชื่อเสียงของตนเองเอาไว้ เจ้าต่างหากที่เป็นคุณหนูผู้เชิดหน้าชูตาให้กับสกุลหลิน จากนี้ไปเจ้าจะต้องปฏิบัติตนเป็นดั่งชูเฟย1 ทำอะไรอย่าให้ใครจับได้ เจ้าจะต้องปฏิบัติตัวให้เหมาะสมที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
หลังจากผ่านความล้มเหลวเมื่อคืนมาแล้ว ซ่างกวนชิงไม่อาจเห็นด้วยกับนิสัยของหลินเมิ้งหวู่อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ศึกแห่งการนองเลือดจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน นางจะต้องวางแผนอย่างรอบคอบเพื่ออนาคตของหวู่เอ๋อร์!
บนรถม้า ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง หลงเทียนหยู๋นั่งอยู่บนเบาะสีเขียวมรกต หลับตาแล้วงีบหลับไป
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะพาบ่าวรับใช้ขึ้นมาด้วย บางทีนางอาจจะเคยชินกับการกระทำเช่นนี้แล้ว ทว่า เมื่อหญิงสาวทั้งสองอยู่ด้วยกัน เสียงพูดคุยเจี้ยวจ้าวกลับดังไม่หยุด
“คุณหนูเก่งมากเลยเจ้าค่ะ! คุณหนูทำให้ฮูหยินสงบปากสงบคำไปได้ คุณหนูเห็นหน้าของคุณหนูรองมั้ยเจ้าคะ ข้าเกรงว่าป่านนี้เหล่าข้าทาสในเรือนคงต้องทุกข์ทรมานอยู่เป็นแน่!” หรู๋เยว่ตบหน้าอกตัวเองด้วยท่าทางยินดีปรีดา เมื่อครู่นางคิดว่าตนเองจะถูกฮูหยินดึงตัวกลับไปแล้วเสียอีก
ทว่าคุณหนูใหญ่กลับบอกให้นางวางใจแล้วรวบรวมความกล้าเดินออกมาพร้อมกับกลุ่มข้าทาส
หรู๋เยว่ในเพลานี้รู้สึกเคารพนับถือหลินเมิ้งหยาสุดหัวใจ
“เรื่องนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีก็เพราะท่านอ๋อง ถ้าหากเจ้าอยากขอบคุณก็ไปขอบคุณท่านอ๋องเถอะ” หลินเมิ้งหยาซึ่งนั่งขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้าถือคัมภีร์หลินอานเอาไว้ในมือ
แอบชำเลืองมองหลงเทียนหยู๋ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ นางจึงสบายใจ
เมื่อเช้านางใช้วาทศิลป์ในการพูดจาโน้มน้าวขันทีเพื่อให้ขันทีของท่านอ๋องหยู๋ตอบตกลงทำงานให้กับตนเอง
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหวู่จะเป็นอย่างที่นางคาดเดาเอาไว้ หลินเมิ้งหวู่ติดกับอย่างง่ายดาย แม้นางจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ราบรื่นจนผิดปกติก็ตาม
“แต่คุณหนูเจ้าคะ ทำไมท่านมั่นใจเหลือเกินว่าฮูหยินจะไม่รั้งพวกเราเอาไว้ล่ะเจ้าคะ?” ดวงตาของหรู๋เยว่กลมโต ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
มือของนางยกขึ้นปอกเปลือกส้มออกด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะส่งให้หลินเมิ้งหยา สิ่งที่นางได้เห็นคือใบหน้าและรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของคุณหนูตนเอง
คุณหนูนี่จริงๆเลย แม้แต่นางเองก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ความจริงเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น อยู่ๆรถม้าก็วิ่งเข้าสู่ทางขรุขระมีแต่หลุมบ่อ
และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใยหัวใจของหลงเทียนหยู๋จึงปรากฏร่องรอยแห่งความโกรธเกรี้ยว
แม้รถม้าจะกว้าง แต่เขาเป็นชายหนุ่มที่มีร่างสูงถึงเก้าฟุต เพียงแค่เอนตัวลงนอน ร่างกายของเขาก็กินพื้นที่ภายในรถไปเกินครึ่งแล้ว
แต่พระชายาของเขากลับเข้าไปนั่งหดตัวอยู่กับสาวรับใช้ที่มุมหนึ่ง
สายตาพลันชำเลืองมองผ่านม่านขนตาหนาทึบ ก่อนจะตกลงที่ร่างของหลินเมิ้งหยา ทว่าเขากลับได้เห็นใบหน้าเฉยชาและไม่แยแสของนาง
ทั้งที่นางมีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น แต่เพราะเหตุใดนางจึงมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร แต่เขากลับไม่เคยเห็นความกระวนกระวายในนัยน์ตาของนางเลย
ราวกับว่านางไม่เคยมีความกังวลใจเลย ขาของเขาขยับไปตามรถม้าที่กำลังตกหลุม จนกระทั่งไปกระแทกเข้ากับชายเสื้อของหลินเมิ้งหยา ทว่านางกลับทำเป็นไม่รู้สึกอะไรและหดตัวอีกครั้ง
เหตุใดวันนี้บรรยากาศภายในรถม้าจึงน่าอดสูเช่นนี้ แม้แต่เส้นทางยังมีแต่หลุมแต่บ่อ
“หยุดรถ” เสียงทุ้มถูกส่งออกมา รถม้าจึงจอดลงทันที
หลงเทียนหยู๋ไม่ลังเลเลยที่จะลงจากรถม้า สมองของเขาเต็มไปด้วยภาพความลุ่มหลงในตัวหลินเมิ้งหยาเมื่อคืน
เขา….แม้จะถูกวางยา แต่ก็มิควรปล่อยให้หัวใจของตนเองว้าวุ่นเช่นนั้น
ไม่ตามมาอย่างนั้นหรือ ความโกรธยิ่งคุกรุ่น ร่างสูงสาวเท้ายาวยาวเดินไปบนถนนและไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องเป็นอะไรไป?” หรู๋เยว่เอียงคอ ศีรษะของนางยื่นออกไปมองชายผู้ซึ่งอยู่นอกรถม้า นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อครู่ท่านอ๋องก็ยังปกติดีอยู่เลยนี่นา
“ข้าก็ไม่รู้ บางทีอาจเพราะรถม้าโคลงเคลงเกินไป ช่างเถอะ เจ้าสั่งให้คนคุมบังเหียนไปหาร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดหน่อย ข้าจะไปซื้อยา” ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาตัดสินใจไม่ตามไปถามหลงเทียนหยู๋
อารมณ์ของชายคนนี้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินก็เร็ว นางไม่อยากไปแหย่รังแตนตอนนี้
อีกอย่าง นางยังมีเรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จ
หนังสือในมือถูกพลิกไปอีกหน้า ในที่สุดนางก็สามารถยืดแข้งยืดขาได้เสียที หรู๋เยว่ทุบขาของนางเพื่อลดอาการชาและบวม สุดท้ายอาการเหล่านั้นก็หายไป
พิษในร่างกายของนางยังไม่ถูกกำจัดออกไปจนหมด ถ้าหากยังปล่อยให้พิษเหล่านี้กัดเซาะร่างกายของนางไปเรื่อยๆ เกรงว่าเวลายังไม่ทันจะครบสามขวบปี นางคงได้ไปนั่งดื่มชากับทวยเทพผมหงอกบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
“เพคะ พระชายา”
ณ ต้าตูว ร้านว่านเหย้าเก๋อ
เช้าตรู่ บนชั้นสองของร้านว่านเหย้าเก๋อ เจ้าของร้านยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างบานเล็กพลางมองดูฝูงชนหลั่งไหล
สายตาท่าทางแสดงออกถึงความพึงพอใจ
ทุกคนในต้าตูวล้วนรู้จักร้านว่านเหย้าเก๋อแห่งนี้ มีเพียงร้านยาของเขาเท่านั้นที่มียาแทบจะทุกชนิด
ไม่ว่าโสมพันปีหรือเห็ดหลินจือหมื่นปี ขอเพียงลูกค้ามีเงินมากพอ เขาก็พร้อมที่จะหายาเหล่านั้นมาให้จงได้
ทันใดนั้นรถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาของเขาไม่ใกล้ไม่ไกล แม้จะไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อมองการประดับตกแต่งทั้งสี่ทิศแล้วกลับ……………………
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลังรถม้ามีคนคอยคุ้มกันอยู่ทั้งแปดทิศ ดูท่าแล้ววันนี้เขาจะมีแขกชั้นสูงมาเยือน
[1] ชูเฟย คือว่าที่ชายาเอก