ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 10 บทที่ 276 เผยตัวตน
ภายในตำหนักหลิวซิน ทุกคนเข้ามายืนรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน
ตอนที่หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปในตำหนัก สายตาพลันเหลือบเห็นหลินจงอวี้และชิงหูกำลังกำดาบในมือแน่นเพราะต้องการจะออกไปช่วยเหลือนาง
โชคดีที่ได้เห็นว่านางกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ดวงตาพวกเขาเบิกกว้างจนเกือบจะเท่าระฆังทองแดง
“พี่สาว ท่าน…ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เสี่ยวอวี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมกอดของหลินเมิ้งหยาทันที
ดวงตาราวกับกวางน้อยเผยร่องรอยแห่งความโศกเศร้า หลินเมิ้งหยาหันไปมองชิงหูอย่างไม่เข้าใจ เด็กคนนี้กลายเป็นคนอ่อนไหวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกคนเลวถูกหลินขุยไล่ไปหมดแล้ว อย่าได้กังวลไปเลย ลองดูสิ ข้ายังอยู่ดีมิใช่หรือ?”
ทว่าศีรษะในอ้อมกอดกลับส่ายเบาๆ ไม่ไกลกันนั้น หวานเหยียนเลี่ยวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยบาดแผล เสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่นเล็กน้อย
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? หรือตำหนักหลิวซินของนางจะถูกโจมตี?
“นายน้อย ท่านได้โปรดรักษาตัวเองให้ดี อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก”
ทว่าเสี่ยวอวี้กลับจ้องหวานเหยียนเลี่ยเขม็ง ดวงตาเจือไว้ซึ่งความเกลียดชัง แม้แต่หลินเมิ้งหยายังรู้สึกตกตะลึง
นี่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“หาใช่กงการอะไรของเจ้าไม่! หวานเหยียนเลี่ย ข้าจะจดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ หากพี่สาวได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าแม้เพียงเล็กน้อย ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!”
เสี่ยวอวี้ตะคอก คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน สายตาหันไปมองทางหวานเหยียนเลี่ย แต่กลับไม่เอ่ยอันใดออกมา
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าเหนื่อยมากแล้วจึงอยากพักผ่อน ท่านหวานเหยียน ที่นี่คือจวนอวี้ ท่านลดดาบลงก่อนเถิด เหตุเพราะท่านอ๋องเห็นแก่หน้าเสี่ยวอวี้ เขาจึงยอมหลับตาข้างหนึ่งเพื่อให้พวกเจ้าเข้าออกจวนได้อย่างอิสระ แต่ถ้าหากพวกเจ้าดูแคลนอภิสิทธิ์เช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะบอกท่านอ๋องว่ามิต้องละเว้นพวกเจ้าอีก”
น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยวาจารุนแรงเช่นนี้ แต่ถ้าหากพวกหวานเหยียนเลี่ยมีความเกี่ยวข้องกับการโจมตีในคราวนี้จริง เช่นนั้นนางจะต่างอันใดจากการเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้
หวานเหยียนเลี่ยคิดไม่ถึงเลยว่าชายาอวี้ที่เคยพูดจาไพเราะอ่อนหวานจะเอ่ยวาจาไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้
สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ความไม่พึงพอใจฉายชัด
ขณะเดียวกัน คนที่ตามเขามาทางด้านหลังราวกับสุนัขถูกเหยียบหาง เขาแผดเสียงตวาดดังลั่น
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร! มีสิทธิ์อันใดมาพูดกับท่านหัวหน้าเลี่ยเช่นนี้ หากมิใช่เพราะเจ้ามีฐานะเป็นพี่สาวของนายน้อยแล้วล่ะก็ ข้าจะ…”
“จะทำอันใดหรือ?”
ดวงตาคู่สวยจ้องอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา
ทั้งๆ ที่นางกำลังยกยิ้ม แต่เพราะเหตุใดร่างกายจึงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
นางเป็นเพียงหญิงสาวรูปร่างบอบบาง แต่ท่าทางกลับน่าเกรงขาม จู่ๆ ความกล้าหาญที่เคยมีของหวานเหยียนเลี่ยพลันเหือดหายไป
“เจ้าจงจำเอาไว้ ที่นี่หาใช่เมืองเลี่ยหยุนของเจ้าไม่ แต่เป็นเมืองต้าจิ้นของข้า ข้าสามารถปล่อยให้เจ้าเข้ามาและไว้ชีวิตของเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ต้องฝากชีวิตไว้กับเสี่ยวอวี้หาใช่ข้าไม่ หวานเหยียนเลี่ย เจ้าจงฟังให้ดี นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจงพูดคุยกับลูกน้องของเจ้าให้ชัดเจน เรื่องใดที่มิควรทำก็อย่าได้ยื่นมือเข้าไปแตะต้อง มิเช่นนั้น ต่อให้เจ้าเป็นใครหรือมีฐานะเช่นไร แต่สุดท้ายพวกเจ้าจะต้องกลายเป็นผีเฝ้าต้าจิ้น!”
ประกาศกร้าวชัดถ้อยชัดคำ แม้แต่หวานเหยียนเลี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวตรงหน้าจะข่มขู่ผู้อื่นโดยไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ อย่าว่าแต่พวกเขาที่เป็นชายเลย ไม่ว่าใครก็คงไม่นึกสงสัยในคำพูดของนาง
ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
จนกระทั่งร่างสูงโปร่งเข้ามายืนตรงกลางระหว่างพวกเขา
“หวังว่าพวกเจ้าจะทำตามคำพูดของชายาข้า ต้าจิ้นหาใช่เลี่ยหยุน สกุลหวานเหยียนอย่าได้คิดยื่นมือเข้ามาแทรกแซง บางทีข้าอาจต้องเรียกเจ้าว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเลี่ยหยุน ท่านอ๋องสี่ใช่หรือไม่?”
หลงเทียนอวี้เอ่ยเสียงเรียบแทรกบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งคู่ หลังจากจ้องตากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหวานเหยียนเลี่ยก็เป็นฝ่ายยอมแพ้
หลงเทียนอวี้ในชุดสีดำมีใบหน้าเคร่งขรึม ทว่าดวงตาคมกริบกลับแฝงไว้ซึ่งความเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดเผยถึงฐานะตัวตนของตนเองจากปากหลงเทียนอวี้ ร่องรอยของความหวาดระแวงพลันวาดขึ้นในดวงตาของหวานเหยียนเลี่ย
แม้ฐานะของเขาจะมิใช่ความลับ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ตอนนี้หลงเทียนอวี้ไม่เพียงเปิดเผยออกมา แต่เขายังข่มขู่ตนเองอีกด้วย ดูเหมือนหลงเทียนอวี้จะฝังพวกเขาไว้ที่ต้าจิ้นดั่งปากว่าจริงๆ
หากหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนมีดที่สุ่มขว้างออกมา เช่นนั้นหลงเทียนอวี้ก็ไม่ต่างอะไรจากดาบที่กำลังจ่อคอของเขาอยู่
หวานเหยียนเลี่ยสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนั้นเขาประเมินคนทั้งคู่ต่ำจนเกินไป
เขายอมรับว่าเขาจัดการเรื่องทั้งหมดอย่างลับๆ หากมิใช่เพราะนายน้อยไม่คิดปิดบังชายาอวี้ เช่นนั้นเขาคิดมาตลอดว่าชายาอวี้จะไม่มีทางรู้เรื่องนี้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดจะตกอยู่ในสายตาของอ๋องอวี้
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ชี้แนะ”
หวานเหยียนเลี่ยกำมือทั้งสองข้างเข้าหากัน ท่าทางมิได้ยโสโอหังเหมือนเมื่อครู่
มองตามหลังเขาที่พาลูกน้องจากไป ความเย็นชาบนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาจึงคลายลง
เสี่ยวอวี้ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของนาง เขาไม่ยอมหันหน้ากลับไปมองหวานเหยียนเลี่ย นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวอวี้ ดูท่าหวานเหยียนเลี่ยคงจะคิดร้ายต่อนาง แต่เสี่ยวอวี้รู้เรื่องนี้เข้า ฉะนั้นเขาจึงบันดาลโทสะ
“เอาล่ะ ขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จบลงที่นี่ พวกเจ้าตามข้าเข้ามา”
ผอจื่อที่อยู่ในตำหนักหลิวซินล้วนเป็นคนเก่าแก่ ดังนั้นพวกนางรู้ดีว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด
เพียงพริบตาเดียว ตำหนักที่เคยมีเสียงอึกทึกพลันเงียบสงบลง
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องหลัก สายตาเสมือนคนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เสี่ยวอวี้นั่งลงข้างกายนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
บรรยากาศภายในห้องเย็นยะเยือก ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คนของตำหนักหลิวซินห้ามเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีคนตามตัวพวกเจ้าไปที่ใด จำเป็นต้องมาขออนุญาตจากข้าก่อนจึงจะไปได้”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งเสียงเข้มหลังจากเงียบอยู่นาน
นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นนวดขมับอย่างแผ่วเบา หัวใจของนางกำลังฟุ้งซ่าน
หากนางต้องการหลบหลีกจากแผนการร้ายของป๋ายหลี่อู๋เฉิน นางคงต้องใช้ชีวิตอยู่บนความกลัวไปตลอดกาล
เช่นนั้นสู้นางโจมตีกลับไปเลยเสียยังดีกว่า
ตอนนี้ทางฝั่งหลงเทียนอวี้มิอาจเคลื่อนไหวได้ หากถูกสายลับของป๋ายหลี่อู๋เฉินจับได้ เช่นนั้นจะมิต่างอันใดจากการแหวกหญ้าให้งูตื่น
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น แต่สาวใช้ทั้งสี่ก็สบตากันก่อนจะพยักหน้าลง
ขอบตาล่างของหลงเทียนอวี้ดำคล้ำ บางทีอาจเพราะเรื่องนี้ เขาจึงมิได้นอนหลับอย่างเต็มที่ตลอดหลายคืน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้ว่าเรื่องของป๋ายหลี่อู๋เฉินทำให้พระองค์รู้สึกยุ่งยากพระทัย แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องปล่อยลูกศรออกจากคันธนูแล้วเพคะ”
หลินเมิ้งหยารู้ดี หากคิดจะกำจัดการข่มขู่ให้หมดไป เช่นนั้นนางจะต้องได้รับความร่วมมือจากหลงเทียนอวี้
หันหน้าไปมองหลงเทียนอวี้ ดวงตาคู่สวยแสดงออกถึงความมุ่งมั่น
“ข้าจะหาวิธีจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน ข้าเป็นผู้ปล่อยตัวป๋ายหลี่อู๋เฉินไปด้วยตนเอง เช่นนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือข้า”
คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้คิ้วของหลินเมิ้งหยาเลิกขึ้นสูง
แม้หลงเทียนอวี้จะไม่เคยปิดบังเรื่องใดกับนางมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับเห็นถึงการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน
ทุกวันคุกใต้ดินมักมีนักโทษถูกส่งตัวเข้ามา แต่คนเหล่านี้ทำความผิดอะไร เหตุใดจึงถูกกักขัง หรือพวกเขามีฐานะเช่นไร หลงเทียนอวี้มิเคยบอกเล่าให้นางฟัง
แม้นางจะอยู่ในตำแหน่งชายา ทว่านางกลับมิอาจเข้าถึงแก่นแท้ของความลับเขาได้เลย
บางทีหลงเทียนอวี้อาจคิดว่ายิ่งนางรู้น้อยเท่าไร นางก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
แต่ตอนนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินกำลังมุ่งหน้าล้างแค้นนาง แผนการของเขาสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่จนนางมิอาจทำใจอยู่เฉยได้
หากนางยังปล่อยให้หลงเทียนอวี้ปกปิดเรื่องนี้ต่อไป สักวันหนึ่งคนของนางจะต้องถูกป๋ายหลี่อู๋เฉินทำร้ายอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้ดีว่าคนเหล่านี้ล้วนเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์มา แต่ตอนนี้เป้าหมายของพวกเขาคือหม่อมฉัน หม่อมฉันมิอาจนั่งรอคอยความตายได้ ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันตรวจสอบพวกเขาอย่างละเอียดด้วยเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ยแสดงออกถึงความภักดี ในเมื่อหลงเทียนอวี้มิอาจลงมือกับคนเหล่านี้ได้ เช่นนั้นนางจะเป็นคนลงมือเอง
“เจ้า…พำนักที่ตำหนักหลิวซินให้สบายใจเถิด ตอนนี้เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าขุนนางกำลังพยายามส่งตัวเจ้าเข้าวังหลวง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างนี้และกลายเป็นจุดอ่อนให้ฮองเฮานำมาเป็นเครื่องต่อรองได้แล้วล่ะก็ ข้าเกรงว่าเจ้าจะหมดโอกาสเข้าวัง”
“แต่ท่านอ๋อง…”
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ข้าจะสั่งให้หลินขุยวางกำลังปกป้องตำหนักหลิวซินอย่างเข้มงวด หากไม่มีเหตุอันใด เจ้าอย่าได้ออกจากตำหนักเป็นอันขาด เจ้าจะต้องเห็นความสำคัญของเรื่องส่วนรวมเป็นหลัก”
หลินเมิ้งหยาเพียงแค่อยากหาตัวคนเหล่านั้นด้วยตนเอง ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนนอก เรื่องแบบนี้ควรจะให้คนในวงนอกจัดการเป็นการดีที่สุด
พูดจบ หลงเทียนอวี้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องหลักของตำหนักหลิวซินไปทันที
“ท่านอ๋อง แม้การเข้าวังหลวงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นคนบ้าคลั่ง หากเขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์เล่าเจ้าคะ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ แม้นางจะไม่รู้ว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะเดินหมากเช่นไรต่อไป แต่นางรู้ว่าเขาจะต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เลิกเอะอะโวยวายได้แล้ว ข้าจะจัดการปัญหานี้เอง”
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน เขาตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาที่จ้องมองหลินเมิ้งหยาเสมือนคนหมดความอดทน ก่อนที่เขาจะเดินออกจากตำหนักหลิวซินไป
ความผิดหวังถาโถมเข้ามา ก่อนที่ความว่างเปล่าจะเกิดขึ้นในหัวใจ
นางเคยชินกับหลงเทียนอวี้ที่มักตามใจและรับฟังคำพูดของนาง ต่อให้นางจะเอะอะโวยวายหรือแสดงความเห็นแก่ตัวก็ตาม
ยืนชะงักอยู่หน้าประตู สายตามองตามแผ่นหลังของหลงเทียนอวี้ที่ค่อยๆ ลับหายไป เพียงคำพูดประโยคนั้นทำให้นางรู้สึกเสมือนถูกค้อนอันใหญ่ทุบเข้ามาที่สมองจนสติหลุดลอย