ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 10 บทที่ 297 ดั่งสายน้ำไหล
แม่ลูกทั้งสองต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง
เพียงแค่พวกเขาไม่แสดงออกมาให้เห็นก็เท่านั้น
“เรื่องนี้จะโทษเจ้าก็ไม่ถูก ต่อจากนี้ไปอย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เจ้าต้องจำเอาไว้ เสด็จพ่อของเจ้ากำลังประชวร ตอนนี้ทั้งในวังนอกวังล้วนมีคนจับตามองพวกเราอยู่”
คำพูดของฮองเฮาเสมือนคำพูดของแม่ที่เอ็นดูลูก ไท่จื่อที่ได้ยินรู้สึกประหลาดใจนัก
หมู่โฮ่ว…หมู่โฮ่วไม่โทษเขาเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปไม่ได้!
“หมู่โฮ่วไม่โกรธลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยั่งเชิงถาม ทว่าฮองเฮากลับยกยิ้มเอ็นดู
“ฮวงเอ๋อร์ทำผิดอันใดเล่า? คนเราไม่อาจหนีจากการกระทำของตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้มิต่างอันใดจากสุภาษิตที่ว่าวัวหายล้อมคอก ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก เจ้าเองก็เหนื่อยมาทั้งคืน ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เปิ่นกงขอมอบหมายหน้าที่ในการตามล่าหากลุ่มผู้กระทำความผิดให้แก่ฮวงเอ๋อร์ก็แล้วกัน”
ไท่จื่อมองฮองเฮาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางคือฮองเฮาที่มักจะเข้มงวดกับเขามาตั้งแต่เด็กจนโตจริงหรือ?
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
ถวายคำนับ ก่อนจะออกจากตำหนักชิงกงของฮองเฮา ไท่จื่อยังคงตกตะลึงอยู่
“ไท่จื่อ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่? ฮองเฮาว่ากล่าวท่านหรือไม่เพคะ?”
ที่ด้านนอก หญิงสาวหน้าตางดงามสวมชุดชาววังเดินเข้ามาถามไถ่ด้วยความกังวล
นางคือคนโปรดคนใหม่ของไท่จื่อ…หยุนจิ่นอี นางมาแทนที่ชายารองตู๋กู
เมื่อเทียบกับชายารองตู๋กูผู้เลื่องชื่อในเมืองหลวงแล้ว นางไม่เพียงมีใบหน้างดงาม แต่ยังมีความออดอ้อนอ่อนหวาน ซ้ำยังเอาใจใส่และเฉลียวฉลาด
เพียงเข้าวังมาได้ไม่นาน นางก็ได้รับความเอ็นดูจากไท่จื่อ
“จิ่นอี หมู่โฮ่วมิได้ตำหนิข้าแต่อย่างใด เจ้าคิดว่าหมู่โฮ่วไม่สนใจข้าและละทิ้งข้าแล้วหรือไม่?”
หญิงสาวผู้อ่อนโยนจับมือผู้ช่วยชีวิตของตนเองเอาไว้ ทว่าไท่จื่อกลับออกแรงดึงร่างของหยุนจิ่นอีเข้ามาสวมกอด
หมู่โฮ่วไม่อนุญาตให้เขาเข้าออกเผ่าเหยียนฮวา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีวันยอมปล่อยให้เขาพาหญิงสาวเผ่าเหยียนฮวาเข้าวังมาด้วย แต่เพราะเขาดึงดันจะพานางเข้ามา หมู่โฮ่วจึงนำเงินทองจำนวนมากไปมอบให้ครอบครัวของนาง
หยุนจิ่นอีเอื้อมมือโอบบ่าไท่จื่อ
ทั้งสองยืนสวมกอดกันอยู่นอกประตูตำหนัก
“บนโลกนี้ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกของตนเองหรอกเพคะ ช่วงนี้ไท่จื่อเหนื่อยเกินไป ฉะนั้นจึงคิดมาก บางทีอาจเพราะฮองเฮาเห็นว่าพระองค์เติบใหญ่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้าจิ้นเจียงซานจะต้องตกเป็นของพระองค์ ตอนนี้ถือเสียว่าพระองค์ฝึกฝนประสบการณ์ไปก่อนดีหรือไม่?”
หยุนจิ่นอีตอบเสียงอ่อนหวานปลอบโยนไท่จื่อ
ไท่จื่อหลงใหลในความงามของเหม่ยเหรินตรงหน้า เขาจ้องมองรอยยิ้มอ่อนโยนของนาง หัวใจพลันรู้สึกได้รับการปลอบประโลม
ถูกต้อง หมู่โฮ่วคงรู้แล้วว่านางเข้มงวดกับเขามากจนเกินไป
เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหมู่โฮ่ว เป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าจิ้น หมู่โฮ่วย่อมต้องฝากความหวังไว้ที่เขา
เขาคิดมากไปเองทั้งนั้น มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่
“ไท่จื่อ เสด็จแม่มีศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่? สู้พระองค์เอาเวลาไปกำจัดคนที่คิดจะแย่งตำแหน่งของพระองค์ไปไม่ดีกว่าหรือเพคะ?”
หยุนจิ่นอีโน้มน้าวเสียงอ่อนหวาน ไท่จื่อยกมือขึ้นโอบร่างบาง หัวใจพลันครุ่นคิดหาแผนการทำลายหลงเทียนอวี้
แม้หลงเทียนอวี้จะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ทว่าเหล่าญาติพี่น้องกลับต้องการคำอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น
เช่นนั้นเขาควรเติมฟืนเข้าไปในกองไฟทีละนิด แม้หลงเทียนอวี้จะเก่งขนาดไหน แต่ก็มิอาจทัดทานพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ยืมมีดฆ่าคน!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว หลังจากพ้นเดือนนี้ไป กองทัพสกุลหลินจะต้องกลับไปปกป้องชายแดนต่อ เมื่อถึงเวลานั้น ผู้หญิงคนนี้จะไม่มีทางหนีรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้
หลินเมิ้งหยาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังถูกไท่จื่อหมายหัว
นางในประจำตัวของฮองเฮานำทางนางมายังเรือนเล็กทรุดโทรมหลังหนึ่ง
กวาดสายตามองด้วยความตื่นตะลึง เหยียดยิ้มขมขื่นพร้อมทั้งส่ายหน้า ฮวงจุ้ยไม่ดีเลยจริงๆ
“นายหญิงยังจะหัวเราะได้อีก เกรงว่าแม้แต่หนูยังไม่วิ่งมาที่นี่เลย พวกเรายังไม่เท่าไร แต่ท่านจะทำเช่นไรเพคะ?”
ป๋ายจื่อส่งเสียงบ่นพึมพำ คิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาจะเป็นคนใจแคบเช่นนี้
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่ใส่ใจ นางทำเพียงกวาดสายตามองดูเท่านั้น
แม้จะทรุดโทรมเกินไปสักเล็กน้อย บรรยากาศวังเวง กำแพงเตี้ย แต่เมื่อมองออกไปจากทางหน้าประตูจะสามารถเห็นบริเวณรอบๆ ได้อย่างชัดเจน ซ้ำที่นี่ยังไม่ถูกจับตามองอีกด้วย
“ตอนนั้นพวกเราเองก็ปล่อยให้ซ่างกวนฉิงอาศัยอยู่ที่เรือนเล็กทรุดโทรมเหมือนกันนี่ ดูเหมือนนี่จะเป็นวิธีการล้างแค้นแทนน้องสาวของฮองเฮา ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเถิด”
แม้ภายในจะเก่าแก่ แต่อย่างน้อยก็สามารถอาศัยอยู่ได้
ห้องหับกว้างขวาง แต่กลับมีกลิ่นชื้นและเชื้อราขึ้นกระจัดกระจาย
“นายหญิงได้โปรดรอสักครู่ ร่างกายของท่านอ่อนแอ เดี๋ยวจะเกิดอาการแพ้เอาได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าข้างในนี้มีเตาถ่าน ท่านได้โปรดรอสักประเดี๋ยว ให้ห้องอุ่นขึ้นหน่อยแล้วท่านค่อยเข้ามา”
ป๋ายจีและป๋ายซูเดินนำเข้าไปข้างในก่อน หลินเมิ้งหยาอยากเดินตามพวกนางเข้าไป แต่กลับถูกป๋ายซ่าวจับตัวกดลงบนเก้าอี้
เก้าอี้หินถูกหุ้มด้วยผ้า ไม่หนาวแต่ก็ไม่นิ่ม หลินเมิ้งหยาสวมใส่ชุดค่อนข้างหนา แต่ถึงกระนั้นก็ยังสัมผัสถึงความเย็นได้
“ตอนนี้ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว ไม่ทราบว่านี่คือชายาอวี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จู่ๆ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านนอก หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นเป็นชายในชุดสีเทากำลังเดินเข้ามา
“เชิญกงกงตามสบาย นายหญิงของพวกเราคือชายาอวี้ สกุลหลิน ไม่ทราบว่ากงกงมีนามว่ากระไร?”
ป๋ายซ่าวรีบลุกออกไปต้อนรับ ก่อนจะถวายคำนับ
แม้จะอยู่ฝ่ายใน แต่กงกงตรงหน้ากลับสวมใส่เพียงชุดสีเทาธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางเคร่งขรึม ไม่มีท่าทางตุ้งติ้งเหมือนขันทีคนอื่น
“เป็นสาวใช้ที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ชายาอวี้สั่งสอนพวกนางได้ดีเหลือเกิน กระหม่อมถูกไหว้วานให้นำของใช้มาส่งให้พระชายา วังหลวงแห่งนี้มีค่ำคืนอันแสนยาวนาน นี่คือสิ่งที่ทุกข์ทรมานที่สุดแล้ว”
หลินเมิ้งหยามองสำรวจกงกงตรงหน้า แม้จะมีเส้นผมสีขาว แต่เขายังดูมีกำลังวังชา
เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังติดกระดุมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แม้ในมือจะถือตะกร้าใบใหญ่ แต่ไหล่กลับสง่าผ่าเผย หลินเมิ้งหยาเข้าใจในทันที ดูเหมือนกงกงคนนี้จะต้องเป็นยอดฝีมือ
“ขอบคุณกงกงที่ชื่นชม ทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ แต่กลับยังต้องรบกวนกงกงให้นำของมามอบให้ ข้าเกรงใจยิ่งนัก แต่เมิ้งหยาเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ดังนั้นจึงมิได้ตระเตรียมชาร้อนๆ เอาไว้ กงกงอย่าได้ตำหนิเมิ้งหยาเลย”
นางแสดงท่าทางใจกว้างอย่างไม่ถือตัว
สายตาของกงกงพลันปรากฏความชื่นชม มุมปากยกขึ้น
“พระชายาอย่าได้เกรงพระทัยเลย ข้าน้อยสกุลอวี้ นามว่าเฉียง ต่อจากนี้ไปพวกเราคงได้เจอกันบ่อยขึ้น พระชายาได้โปรดรีบพักผ่อนเถิด แม้อากาศยามค่ำคืนจะหนาว แต่ลมในช่วงเวลากลางวันเย็นจัดจนทิ่มแทงกระดูก มา มา มา สาวใช้ทั้งหลาย รีบเอาของเหล่านี้ไปเก็บให้นายหญิงของพวกเจ้า อย่าทำหล่นเชียว หากขาดเหลือสิ่งใดโปรดส่งคนไปแจ้งกระหม่อมที่ฝ่ายในเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”
ตะกร้าใบใหญ่ถูกอวี้เฉียงวางลงบนพื้น
เขาโค้งคำนับ ก่อนจะเดินออกจากเรือนเล็กของหลินเมิ้งหยา
“ขอบคุณกงกง”
นางเอ่ยขอบคุณไล่หลัง
ไม่ต้องเดานางก็พอจะรู้ว่าของที่อยู่ภายในคือของใช้ประจำวัน
เกรงว่าคนคนนี้จะต้องเป็นคนของท่านพ่ออย่างแน่นอน
“ไอหยา นี่มันถ่านเงินที่ดีที่สุดนี่ นายหญิงดูสิเจ้าคะ มีเสื้อกันหนาวและน้ำแกงด้วยเจ้าค่ะ แปลกจังเลย นายหญิงกำลังมองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
หันหน้ากลับไปมองตะกร้าในมือของป๋ายจื่อ ก่อนจะเห็นถ่านเงินจำนวนมาก
นอกจากของสิ่งนี้แล้ว นางเห็นจี้หยกเล็กๆ อันหนึ่งอีกด้วย
หลินเมิ้งหยารีบรับมาจากมือของป๋ายจื่อ ดวงตาเปล่งประกาย โชคดีที่บริเวณรอบๆ ไม่มีใครอื่น
“ชู่ ต่อจากนี้ไปห้ามพูดกับใครเรื่องนี้เด็ดขาด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตข้า เข้าใจหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาทำหน้าดุป๋ายจื่อ อีกฝ่ายเบิกตากว้าง ก่อนจะยกมือปิดปากแล้วพยักหน้าลง เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของนาง หลินเมิ้งหยาจึงหลุดขำพรืดออกมา
แม้เด็กคนนี้จะบ้าๆ บอๆ แต่ก็รู้เรื่องเป็นอย่างดี
ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของนาง นางไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้กับใครแม้แต่คนเดียว
“เอาล่ะ พวกเราอย่าเอาแต่รอเลย หากปล่อยให้พวกนางสามคนทำความสะอาดกันเอง เกรงว่าคืนนี้คงจะไม่ได้นอน ไป พวกเราไปช่วยพวกนางกัน”
หญิงสาวทั้งห้าร่วมแรงร่วมใจทำความสะอาดเรือน
เรือนหลังนี้ค่อนข้างทรุดโทรม แต่ถึงกระนั้นก็ดูไม่เก่ามากนัก เมื่อจุดไฟในเตาฟืนแล้วความอบอุ่นก็เพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าผ้าห่มมิอาจใช้คลุมร่างได้ โชคดีที่อวี้เฉียงมาได้ถูกจังหวะ ดังนั้นพวกนางจึงมีผ้าห่มเอาไว้คลุมร่างยามนอนด้วยกัน
“เฮ้อ ถ้ามีมันเทศกับเกาลัดก็คงดี จู่ๆ ข้าก็นึกได้ว่าเมื่อก่อนข้ากับนายหญิงเองก็เคยนอนด้วยกันเช่นนี้เมื่อสมัยยังเด็ก”
ป๋ายจื่อย่นจมูกเล็กน้อยขณะเอ่ย
แม้วังหลวงจะหรูหรา แต่ก็ไม่อบอุ่นเหมือนบ้าน
“อย่าพูดอะไรโง่ๆ ไปหน่อยเลย ใช่ว่าจะมีใครเข้าออกวังหลวงได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ รุ่งสางวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าทั้งสามจงรีบเก็บของออกจากวังหลวงไปเถิด”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงอ่อนโยน ทว่าสาวใช้ทั้งสามกลับเงียบกริบ