ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 11 บทที่ 306 องค์ชายน้อยผู้แสนน่ารัก
นางมิได้พาเจินจูหรือหมาหน่าวมาด้วยแม้แต่คนเดียว เหตุเพราะที่นี่คือตำหนักชิงกงของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาเดินเล่นในยามนี้
วังหลวงหรูหราสง่างามกว่าจวนอวี้มาก กระเบื้องเคลือบเอาไว้ด้วยทอง กำแพงสีแดงงดงาม
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง สายตาหยุดลงที่เหล่าทหารองครักษ์ซึ่งยืนอยู่ไกลๆ
“ข้าตรวจสอบมาแล้วเจ้าค่ะ องครักษ์เปลี่ยนเวรยามทั้งหมดสี่ครั้ง ตลอดสิบสองชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากหมอหลวงแล้วก็ไม่มีใครเข้าไปข้างใน ส่วนพวกสนมล้วนมาถวายพระพร แต่ถึงกระนั้นก็ได้อยู่แต่เพียงด้านหน้าตำหนักและมอบสิ่งของให้กับขันทีนำเข้าไป”
ป๋ายซูกระซิบข้างหู หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง
องครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา ดูเหมือนนางจะไม่มีโอกาสแอบเข้าไปในนั้นได้
“มีช่องว่างระหว่างช่วงที่องครักษ์เปลี่ยนเวรยามหรือไม่?”
สีหน้าป๋ายซูเคร่งขรึม นางส่ายหน้า องครักษ์ในวังหลวงเข้มงวดและมีความสามารถกว่าจวนอวี้มาก แม้วิทยายุทธของนางจะไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจย่างกรายเข้าใกล้ได้
“เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด ตอนนี้พวกเราถูกขังอยู่ในวังหลวง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสบโอกาสเข้าไปอย่างแน่นอน ช่วงนี้เจ้าเลิกตรวจสอบเรื่องนี้ไปก่อน จะได้ไม่ผิดสังเกต”
เรื่องภายในวังหลวงซับซ้อนกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก ตอนนี้นางหาวิธีจัดการกับต้นโต่วเทียนได้แล้ว ขอแค่นางปรุงยาออกมา จากนั้นนำไปราดลงบนยาสมุนไพรใกล้ๆ กับต้นโต่วเทียน ฤทธิ์ของยาจะค่อยๆ แพร่กระจายสู่ต้นโต่วเทียนสุดท้ายยาพิษที่รากของมันก็จะสลายไป
นางจะต้องกระทำอย่างรอบคอบ โชคดีที่ตอนนี้ยาสมุนไพรที่เหลืออยู่ไม่มากเท่าไร ซ้ำต้นโต่วเทียนยังอยู่ในสภาพใกล้ตาย มิเช่นนั้นแผนการนี้คงไม่สำเร็จ
หลังจากสบายใจแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงกินอาหารเย็นได้เยอะกว่าเดิม แต่ถ้าท้องของนางเต็มไปด้วยอาหารแล้วล่ะก็ นางจะนอนไม่หลับ
ดังนั้นนางจึงพาป๋ายซูออกมาเดินเล่น
ล้วนมีคนบอกว่าวังหลวงงดงามหรูหรา แต่ในสายตาของหลินเมิ้งหยาที่นี่ไม่ต่างอันใดจากคุกที่เอาไว้คุมขัง
หลังจากเดินไปสักพัก หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนกันไปหมด ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ ดังนั้นนางจึงพาป๋ายซูกลับไปยังเรือน
ทว่าเพียงหมุนตัวกลับมา เอวของนางก็ถูกลูกตะกร้อกระแทกใส่
ก้มหน้า มองดูลูกตะกร้อหลากสีสันเหมือนของเด็กเล่นตรงหน้า
หยิบขึ้นมา หลินเมิ้งหยามองดูด้วยความประหลาดใจ แม้จะเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่ถึงกระนั้นก็มองออกว่าของเล่นชิ้นนี้ถูกทำขึ้นอย่างประณีต ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เสียงเจื้อยแจ้วเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“นั่นหนู่ปี้ที่ไหนกัน เหตุใดเก็บลูกตะกร้อของเปิ่นฮวงจื่อได้แล้วจึงไม่ส่งกลับมา หรือคิดจะเก็บเอาไปเป็นของตัวเอง?”
ช่างหยิ่งผยองนัก หลินเมิ้งหยาหมุนตัว ก่อนจะจ้องมองเด็กน้อยตัวเตี้ยกว่าเอวของตนด้วยความรู้สึกขบขัน
ใบหน้าเล็ก ผิวพรรณเนียนละเอียด ดวงตาเปล่งประกาย ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ท่าทางบึ้งตึงเหมือนกำลังไม่พอใจ
สวมชุดสีแดงดั่งพุทรา ทว่าเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เขาไม่เหมือนองค์ชาย แต่เหมือนลิงจอมซนเสียมากกว่า
รูปร่างหน้าตาน่ารักราวถอดแบบจากหลงเทียนอวี้ แม้บุตรชายสกุลหลงจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่เด็กคนนี้เหมือนกับหลงเทียนอวี้ที่สุด
หลินเมิ้งหยารู้สึกสนใจยิ่งนัก ย่อตัวลงตรงหน้าเขา ก่อนจะโยนลูกตะกร้อเล่น
“เจ้าบอกว่าลูกตะกร้อนี้เป็นของเจ้าอย่างนั้นหรือ แต่ข้าเป็นคนเก็บได้ เช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานอะไรมาแสดงว่ามันเป็นของเจ้ากันเล่า?”
ราวกับถูกหยิกแก้ม หลินเมิ้งหยาพยายามหลบหลีกฝ่ามือของเขา เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเริ่มแดงก่ำ นางรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก ความรู้สึกนี้มิต่างอันใดจากการได้กลั่นแกล้งหลงเทียนอวี้
“เจ้า…ไม่มีใครในวังหลวงไม่รู้ว่าตะกร้อลูกนี้เป็นของเปิ่นฮวงจื่อ เจ้ารีบส่งคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะบอกให้หมู่เฟยลงโทษเจ้า”
พยายามอดทนอดกลั้นไม่ยอมร้องไห้ ซ้ำยังเอ่ยวาจาข่มขู่หลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาอดใจไม่ไหว ยื่นมือเข้าไปหยิกแก้มนวลเนียนนุ่มนิ่มของเขา นางอยากจะอุ้มเด็กคนนี้กลับบ้านเหลือเกิน
“เจ้าทำอะไร? นังสารเลว! เจ้าบังอาจเสียมารยาทกับเปิ่นฮวงจื่อ!”
องค์ชายน้อยคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะกล้าหยิกแก้มของตนเอง ปกติทั้งนางในและขันทีล้วนทำความเคารพเมื่อเห็นเขา
ขณะเดียวกันความคับข้องใจก็ปะทุออกมา คนสกุลหลงหาใช่คนที่จะยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางยอมจำนนอย่างแน่นอน
ฉะนั้น เมื่อเห็นว่าความดื้อรั้นที่แสดงออกมานั้นไร้ประโยชน์ เขาจึงเลือกที่จะอ้าปากแล้วกัดลงบนแขนของหลินเมิ้งหยา
ไอหยา หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะมองดูหมาป่าตัวน้อยที่กำลังกัดแขนของนาง
แม้จะไม่ได้เจ็บมาก แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยที่น่ารักน่าชังเหมือนหลงเทียนอวี้คนนี้จะหัวแข็งขนาดนี้
“รีบปล่อยเดี๋ยวนี้ ผู้หญิงตรงหน้าหาใช่สาวใช้ไม่ แต่นางคือชายาอวี้!”
ป๋ายซูรีบเข้ามาช่วยหลินเมิ้งหยา
หนูน้อยกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะชะงักไป เขาอ้าปากและไม่กัดนางอีก
“เป็นอะไรไป? ไม่กัดแล้วหรือ เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้ากัดเสียเต็มแรงเลยนี่นา”
หลินเมิ้งหยาชักแขนกลับมาดูรอยฟัน
คิดเสียว่าถูกหมาน้อยกัดก็แล้วกัน อยู่ๆ ก็คิดถึงสัตว์เลี้ยงที่น่ารักทั้งสองของตนเองขึ้นมา
รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย นับตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่ นางต้องพบเจอกับเรื่องมากมายจนนางพลาดช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตไปหลายอย่าง
เหยียดยิ้มเยาะเย้ยวาสนาอันแสนอาภัพของตนเอง นางเสมือนคนไร้ความรับผิดชอบ
“เจ้าเป็นพี่สะใภ้สามจริงๆ เหรอ?”
ดวงตากลมโตจับจ้องหลินเมิ้งหยา ริมฝีปากเล็กอ้าค้างเหมือนกำลังตกตะลึง
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักเหลือเกิน นางยื่นมือเข้าไปหยิกแก้มเขาอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงหยอกล้อ
“ใช่แล้ว ข้าคือพี่สะใภ้สามของเจ้า เมื่อครู่ข้าจำได้ว่าเจ้าถามว่าข้าคือนังสารเลวใช่หรือไม่? ดูเหมือนข้าต้องกลับไปเล่าให้พี่สามของเจ้าฟังหน่อยแล้วว่าเจ้าด่าข้าเช่นไร”
นางเพียงแค่อยากแกล้งเด็กเล่นเท่านั้น ทว่าหนูน้อยกลับส่งเสียง “ว๊าก” ร้องไห้ขึ้นมา เสียงสะอึกสะอื้นของเขาน่าสงสารยิ่งนัก
“เอาล่ะ เอาล่ะ เมื่อครู่ยังมีท่าทางไม่ต่างอะไรจากหมาป่าอยู่เลย ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น ข้าไม่บอกพี่สามของเจ้าหรอก แต่เจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร?”
สีหน้าของหนูน้อยเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ดวงตายังคงมีน้ำตาคลอเต็มเบ้า เขาก้มหน้าลงครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย
“ข้าชื่อหลงอิงฮวา เป็นองค์ชายลำดับที่สิบ พี่สะใภ้สามห้ามบอกพี่สามเด็ดขาด…ได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยากระหยิ่มยิ้มย่อง คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะทำให้เด็กน้อยกลัวได้มากถึงขนาดนี้
นางแสร้งทำท่าลังเลก่อนจะพยักหน้าลง เด็กคนนี้น่าสนใจหลือเกิน เขาน่าจะอายุเพียงหกเจ็ดปีเท่านั้น แต่อาจเพราะอายุยังน้อย จึงไม่ถูกสภาพแวดล้อมในวังหลวงกดดันกระมัง
“ขอบคุณพี่สะใภ้สามมาก ข้ายกตะกร้อลูกนี้ให้ท่านก็แล้วกัน”
อิงฮวาส่งเสียงอ่อนหวานทว่าดวงตาสีดำคู่นั้นกลับเผยให้เห็นความเสียดาย
หลินเมิ้งหยามิใช่คนชอบรังแกเด็ก ยื่นลูกตะกร้อส่งคืนให้เขา ก่อนตบศีรษะของเขาเบาๆ
“ข้าคืนให้เจ้าดีกว่า ข้าไม่อยากได้ของเด็กเล่นหรอก วางใจเถิด ข้าไม่บอกพี่สามของเจ้าอย่างแน่นอน แต่เจ้าจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ห้ามทำตัวไร้มารยาทกับผู้อื่นอีก”
อิงฮวารีบพยักหน้ารับคำ กอดลูกตะกร้อเอาไว้แน่นเพราะกลัวจะโดนแย่งไป
ทว่าดวงตาของเขาแอบชำเลืองมองพี่สะใภ้สามตรงหน้า
“เอาล่ะ เวลาไม่คอยท่าแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ดูเหมือนเจ้าจะมาคนเดียวใช่หรือไม่ เจ้าไม่มีแม่นมคอยรับใช้หรือ?”
นางแปลกใจตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แม้เสื้อผ้าของเด็กคนนี้จะสวมใส่อย่างรัดกุม แต่ทั้งที่นางกับเขาคุยกันอยู่พักหนึ่งแล้ว ทว่านางกลับยังไม่เห็นนางในคนไหนออกมาตามหาเขาเลยสักคน
อิงฮวามองซ้ายมองขวา ดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
หลินเมิ้งหยาเริ่มวิตก แม้วังหลวงจะมีองครักษ์มากมายคอยคุ้มกัน แต่เด็กหายไปทั้งคน พวกเขาจะต้องร้อนใจอย่างแน่นอน
ยื่นมือไปทางอิงฮวา ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยน
“มาเถิด ข้าจะส่งเจ้ากลับตำหนัก”
อิงฮวาลังเลเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยื่นมือนุ่มนิ่มของตนเองไปจับมือของหลินเมิ้งหยา
ทั้งผู้ใหญ่และเด็กมีป๋ายซูคอยคุ้มกันขณะเดินเข้าไปในฝ่ายในของวังหลวง
แม้จะไม่รู้ว่าอิงฮวาพักอยู่ที่ใด แต่สนมส่วนใหญ่ล้วนอยู่ตำหนักฝ่ายใน ส่วนเรือนที่นางอยู่นั้นอยู่ชั้นนอก
ทว่าแม้จะเดินมาจนถึงประตูสามแล้ว แต่ก็ยังไม่พบใครสักคน
คบไฟถูกจุดขึ้นแล้ว แม้ตอนนี้จะมีแสงสลัวสีเหลืองส่องสว่าง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย
ความสงสัยของหลินเมิ้งหยายิ่งเพิ่มมากขึ้น ผิดปกติ ปกติด้านหน้าประตูตำหนักจะต้องมีขันทีและเหล่านางในคอยเฝ้าอยู่
แต่นี่ฟ้าเพิ่งจะมืด ทว่ากลับไม่มีใครเลยสักคน
สัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิดทำให้นางจับมือของอิงฮวาแน่นขึ้น เหตุใดเด็กน้อยที่เป็นถึงองค์ชายจึงบังเอิญเดินจากตำหนักมาตั้งไกลและพบกับนางเข้า?
“อิงฮวา มีใครติดตามเจ้าตอนออกมาหรือไม่?”
วังหลวงหาใช่สถานที่ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะกับองค์ชายที่ยังไม่โต
เด็กน้อยครุ่นคิด ก่อนจะตอบ
“แม่นมถูกหมู่เฟยสั่งให้อยู่ที่ตำหนัก ข้าไม่ชอบคนอื่น ดังนั้นเลยตั้งใจแอบหลบออกมา พอพวกเขาไปหมดแล้ว ข้าจึงโผล่ออกมานี่แหละ”
เด็กคนนี้จะต้องไม่โกหกอย่างแน่นอน หัวใจของหลินเมิ้งหยาเต้น “ตึกตัก” ดังลั่น หันไปสบสายตากับป๋ายซู ก่อนจะอุ้มอิงฮวาขึ้นมา
“เช่นนั้นพวกเรามาเล่นอะไรสนุกๆ กันดีหรือไม่ ข้าจะพาเจ้าซ่อนแอบจนกว่าจะกลับไปถึงตำหนักของหมู่เฟยเจ้าเป็นอย่างไร?”
เด็กน้อยพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ หลินเมิ้งหยามองซ้ายทีขวาที ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในความมืดด้วยการคุ้มกันของป๋ายซู
ดวงตาของอิงฮวาเบิกกว้างขึ้นอย่างนึกสนุก
“นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าพวกเราจะเจอใครก็ห้ามส่งเสียงเข้าใจหรือไม่? มิเช่นนั้นพวกเราจะแพ้”