ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 11 บทที่ 314 แผนการสำเร็จ
วางยาพิษ จมน้ำ หรือแม้แต่ไข้ทรพิษก็ล้วนเป็นวิธีที่สามารถเอาชีวิตองค์ชายน้อยได้ในขณะที่เขายังเป็นทารก แต่เพราะเหตุใดหลังจากอิงฮวาอายุห้าขวบปีแล้ว เขาจึงถูกวางแผนสังหารอย่างอุกฉกรรจ์เช่นนั้น?
หากมิใช่เพราะพวกเขาเป็นคนโรคจิต เช่นนั้นคนเหล่านี้จะต้องวางแผนการที่ยิ่งใหญ่อยู่อย่างแน่นอน
เหตุเพราะเวลาบีบบังคับ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลงมือให้เร็วที่สุด
กำจัดหนามยอกอกทิ้งให้หมด จากนั้นแผนการจึงเริ่มต้นขึ้น
อันที่จริงแผนการในคราวนี้ควรสำเร็จหมดจด แต่น่าเสียดายที่ถูกหลินเมิ้งหยาทำลายจนหมดสิ้น
พระสนมเสียนเฟยกำลังสร้างความกดดัน หลงเทียนอวี้เองก็คิดจะเปลี่ยนหมอหลวงทั้งสำนัก ฉะนั้นคนพวกนั้นจะต้องปวดหัวอยู่เป็นแน่
มีเพียงการเคลื่อนกำลังพลบนความเสี่ยงเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้คู่ต่อสู้มิอาจรับมือได้ทัน
“นั่นสิเจ้าคะ ดูเหมือนอีกไม่นานนายหญิงก็จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วเจ้าค่ะ”
ป๋ายซูรู้เรื่องทุกอย่างดี แต่สิ่งที่หลินเมิ้งหยากำลังกังวลก็คือหากฮ่องเต้ใกล้จะสิ้นพระชนม์จริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นนางจะปกป้องสกุลหลินและหลงเทียนอวี้ได้เช่นไร?
สามวันผ่านไป
สำนักหมอหลวงถูกกดดันอย่างหนัก ดังนั้นรุ่งเช้าของวันนี้ ใต้เท้าซูจึงพาคนของตนเองมาเชิญหลินเมิ้งหยาถึงที่
แม้ใต้เท้าซูจะไม่พูด แต่เขาจะต้องรู้สึกรำคาญนางมากอย่างแน่นอน ทว่าหลินเมิ้งหยายังคงแสดงท่าทีปกติไม่ทุกข์ร้อน
“เหตุที่กระหม่อมมาในวันนี้ก็เพราะอยากให้พระชายาลงโทษ เมื่อหลายวันก่อนเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของกระหม่อม ดังนั้นจึงเกิดเรื่องราวเข้าใจผิดมากมาย กระหม่อมสมควรได้รับโทษ แต่เพราะตอนนี้อาการประชวรของฮ่องเต้ยิ่งทรุดหนักลงจึงมิอาจเสียเวลาได้อีกแล้ว ดังนั้นพระชายาได้โปรดเมตตาและเสด็จไปที่สำนักหมอหลวงเพื่อร่วมกันวินิจฉัยยากับกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้านชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาสีขาวบริสุทธิ์บนโต๊ะด้วยท่วงท่าสง่างามขึ้นมาจิบ
“ไม่ต้องรีบร้อน พระโอสถของฮ่องเต้จำเป็นต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ข้าเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัด ดังนั้นความสามารถยังมิอาจเทียบหมอหลวงในวังได้ เช่นนั้นเชิญใต้เท้ากลับไปปรึกษากับหมอหลวงทุกท่านดีกว่า ส่วนข้า…จะหาโอกาสกราบทูลฮองเฮาเพื่อกลับออกจากวัง”
หากคำพูดเหล่านี้หลุดออกจากปากผู้อื่นคงอวดดีเหลือคณา
แต่เมื่อออกจากปากหลินเมิ้งยา กลับฟังดูจริงใจจนมิอาจมีสิ่งใดเทียบได้
ใต้เท้าซูเริ่มทุกข์ใจ ตอนแรกเขาคิดว่าชายาอวี้เป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นพวกลอบแทงข้างหลังผู้อื่นเช่นนี้
เหงื่อผุดซึมบนหน้าผาก คำพูดของหลินเมิ้งหยาเรียบง่ายและชัดเจน เขามิอาจคัดค้านคำพูดของนางได้
“พระชายาถ่อมตัวเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้พวกกระหม่อมจะรับใช้งานในวังหลวงมาอย่างยาวนาน แต่กลับไม่มีใครมีฝีมือด้านการฝังเข็มเทียบเท่าพระชายา พระพลานามัยของฮ่องเต้ล้วนเกี่ยวข้องกับความสุขของใต้หล้า พระชายาได้โปรดอย่าปฏิเสธเพื่อเห็นแก่ความสุขของราษฎรด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ นางคงเก่งเรื่องชักแม่น้ำทั้งห้าไม่ได้เท่าใต้เท้าซูผู้นี้
เมื่อเห็นว่ามิอาจเอาชนะนางได้ เขาจึงอ้างเหล่าราษฎรมากดดัน ช่างน่าขันเหลือเกิน พวกเขากล้าพูดถึงประโยชน์สุขของราษฎร ทั้งๆ ที่ตนเองทำเรื่องอัปยศอดสูไปตั้งมากมายอย่างนั้นน่ะหรือ
ก็ดี ถึงอย่างไรเป้าหมายของนางก็สำเร็จแล้ว หากยังกดดันพวกเขาต่อไป เกรงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะกลับตาลปัตร
เลิกคิ้วขึ้นสูง หลินเมิ้งหยาแสร้งทำท่าครุ่นคิด
แสดงท่าทีเหมือนกำลังลำบากใจ ก่อนจะฝืนพยักหน้าลง ทว่ายังไม่ทันที่ใต้เท้าซูจะโห่ร้องด้วยความดีใจ นางชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ข้าอายุยังน้อย ซ้ำยังไม่รู้เรื่องรู้ราว หากพูดสิ่งใดผิดไป เช่นนั้นอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ใต้เท้าซู ท่านว่า…”
คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา หากไม่รู้จักนางแล้วล่ะก็ ใต้เท้าซูคงคิดว่าหญิงสาวผู้มีลักษณะท่าทางอ่อนโยนแต่กลับสร้างเรื่องจนทำให้สำนักหมอหลวงวุ่นวายราวถูกไฟแผดเผา จะต้องกำลังรู้สึกอึดอัดใจอยู่อย่างแน่นอน
เขาทำได้เพียงก้มหน้า ก่อนจะเอ่ยปาก
“พระชายาอย่าคิดมากเลย ก่อนจะถวายพระโอสถแด่ฮ่องเต้ได้ พระองค์จะต้องตรวจชีพจรของฮ่องเต้ก่อน หลังจากตรวจชีพจรเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถถวายการรักษาได้ ฉะนั้นหากพระชายาและกระหม่อมปรึกษาร่วมกัน คาดว่าคงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
แม้จิ้งจอกเฒ่าจะฉลาด แต่ก็มิอาจเอาชนะนักล่ามากความสามารถได้
หลินเมิ้งหยารู้สึกพอใจยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นดวงตากลับยังแสดงท่าทางกังวล ถอนหายใจเล็กน้อยราวกับได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว
“เอาเถิด ในเมื่อข้าเข้าวังมาเพื่อรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้ เช่นนั้นก็คงปฏิเสธไม่ได้ ท่านอ๋องของข้าดีหมดทุกอย่าง เพียงแต่อารมณ์รุนแรงเกินไปเล็กน้อย เวลาที่เขาตัดสินใจแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ”
แสร้งแสดงท่าทีอึดอัดใจ แม้หลินเมิ้งหยาจะเหยียดยิ้มในใจอยู่นานแล้วก็ตาม
ตอนนี้หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก หลงเทียนอวี้ใช้วิธีใดกัน เหตุใดพวกเขาจึงว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะต้องเรียนรู้วิธีการกำราบสัตว์ร้ายจากเขาบ้างเสียแล้ว
หลังจากโน้มน้าวหลินเมิ้งหยาสำเร็จ ใต้เท้าซูก็พาคนของตนเองกลับไปยังสำนักหมอหลวงด้วยความดีใจ
หลินเมิ้งหยาตอบตกลงแล้ว วันพรุ่งนี้นางจะไปยังสำนักหมอหลวง เพียงแต่…เรื่องจะปล่อยพวกเขาไปหรือไม่นั้นหาใช่สิ่งที่นางจะตัดสินใจคนเดียวได้
หลังจากส่งพวกใต้เท้าซูกลับ หลินเมิ้งหยานั่งดื่มชาในห้อง อยู่ๆ มือเล็กคู่หนึ่งก็ยื่นเข้ามาจับชายกระโปรงของนางแล้วกระตุกเบาๆ
นางก้มหน้าลงมองหลงอิงฮวา
ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น คาดว่าในจังหวะที่นางสังเกตเห็น เขาจะต้องแอบเข้ามาฟังอยู่ใต้โต๊ะอย่างแน่นอน
เด็กคนนี้มีไหวพริบยิ่งนัก ประสาทสัมผัสต่อคนภายนอกค่อนข้างไว ซ้ำยังไม่ร้องไห้หรือโวยวาย มีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบจะใช้ถ้วยฟาดศีรษะเจินจูจนแตก
หลินเมิ้งหยาแทบไม่เชื่อสิ่งที่แม่นมหลิวเล่าให้ฟัง
เขามีพรสวรรค์ในการแสดงยิ่งนัก พวกนักแสดงในสมัยปัจจุบันมิอาจเทียบเขาได้เลย
“คิก คิก คิก การเล่นของเราจบลงแล้ว”
หลินเมิ้งหยาปรบมือสามครั้ง นี่คือสัญญาณมือที่นางบอกกับเขาเอาไว้
เวลาที่ไม่มีใครอยู่ อิงฮวาสามารถหยุดการเล่นได้ชั่วขณะ ถึงอย่างไรเด็กก็ยังคงเป็นเด็ก
องค์ชายน้อยแย้มยิ้มกว้าง ขยับปากที่ไม่ได้ส่งเสียงมานาน ก่อนจะปีนขึ้นมานั่งบนตักของหลินเมิ้งหยา
“พี่สะใภ้สาม ข้าแสดงเป็นอย่างไรบ้าง? มิได้ทำผิดกติกาใช่หรือไม่? เช่นนั้นของรางวัลของข้าเล่า?”
การแข่งขันนี้ดำเนินอย่างต่อเนื่องมานานหลายวัน เขาสามารถปรับตัวได้ไม่เลว
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่ได้พูด แต่หลงอิงฮวาสามารถรับรู้ได้ว่าการเล่นเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องเขา ดังนั้นเขาจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทว่าของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ของหลินเมิ้งหยาเองก็เป็นแรงจูงใจเช่นเดียวกัน
“มีแน่นอนอยู่แล้ว เจ้ามากับข้าสิ”
เดินนำหนูน้อยเข้าไปในห้องชั้นใน นางหยิบวงแหวนทองแดงออกมา
นางสั่งให้คนทำของชิ้นนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ จิ่วเหลียนหวนเป็นของเล่นฝึกสมองชนิดหนึ่ง มันคือของเล่นที่คนธรรมดานิยมกัน แต่กลับเห็นได้น้อยมากในวังหลวง
เด็กน้อยเบิกตากว้าง มองดูวงแหวนที่เชื่อมต่อกัน แต่ถึงกระนั้นนัยน์ตาก็ยังเจือความรู้สึกดูแคลน เขาคิดว่าพี่สะใภ้สามกำลังหลอกลวงเขาอยู่ ของชิ้นนี้ทั้งไม่สวยงามและไม่น่ากิน เช่นนั้นนางให้เขาทำไมกัน?
“อย่าได้ดูถูกของชิ้นนี้เชียว ข้าจะสอนเจ้าเล่น”
มองดูหลินเมิ้งหยาแสดงฝีมือ เวลาเพียงชั่วอึดใจ นางสามารถถอดวงแหวนออกจากกันได้จนหมด เด็กน้อยจ้องมองด้วยความประหลาดใจ
เขาลองหยิบมาเล่นด้วยตนเอง แต่กลับพบว่ามันช่างยุ่งยากและสลับซับซ้อน เขามิอาจทำได้สำเร็จ ดังนั้นจึงเริ่มรู้สึกสนุกจึงหยิบมันไปนอนเล่นบนเตียง
เหตุเพราะเด็กน้อยกำลังสนอกสนใจของเล่น ดังนั้นเขาจึงอยู่ในอาการสงบ
หลินเมิ้งหยาเป็นคนคิดค้นวิธีนี้เพื่อฝึกสมองของอิงฮวา ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้คนอื่นมิเกิดความสงสัย ได้ยินมาว่าเด็กในวังหลวงในวัยนี้ล้วนเข้ารับการศึกษากันหมดแล้ว
เพื่อไม่ทำให้เป็นจุดสนใจ ดังนั้นนางจึงพยายามหาวิธีพัฒนาสมองของหลงอิงฮวา
นางคิดว่าการสอนด้วยของเล่นฝึกสมองเช่นนี้มิได้ด้อยไปกว่าการเรียนในห้องเลยแม้แต่น้อย
อิงฮวานอนเล่นอยู่บนเตียงของนางอย่างสนุกสนาน แต่กลับมีสายตาหนึ่งจ้องมองทางเขาอย่างไม่ประสงค์ดี
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นยืนตรงที่หน้าประตูเพื่อขวางสายตาของเจินจูเอาไว้
หลังจากถูกสั่งสอนไปเมื่อหลายวันก่อน เจินจูสงบเสงี่ยมขึ้นมาก แต่นิสัยหูไวตาไวกลับแก้ไม่หาย
เพียงได้เห็นสายตาเย็นชาของหลินเมิ้งหยา บ่าของนางหดเข้าหากัน ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปด้านนอก
“ต่อจากนี้ไปห้ามมิให้เจินจูเข้ามาในห้องของพวกเราเป็นอันขาด ข้าว่าหมาหน่าวรู้ความกว่านางมาก ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นนาง ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย”
หลินเมิ้งหยากระซิบออกคำสั่งกับป๋ายซู มิรู้ว่าเพราะเหตุใด เจินจูมักจะมองนางด้วยสายตาเกลียดชังราวกับงูพิษอยู่ทางด้านหลังเสมอ
แต่เมื่อนางหันหน้ากลับไปมอง เจินจูกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นว่านอนสอนง่ายอีกครั้ง
ป๋ายซูพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปมองเจินจูซึ่งกำลังตากผ้าปูที่นอนขององค์ชายสิบอยู่ในสวน
“ข้าเองก็รู้สึกว่าแม่นางคนนี้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน นายหญิง หรือนางจะเสียสติเพราะความหวาดผวาจากเรื่องคราวก่อนเจ้าคะ?”
อาจจะมีส่วน แต่หลินเมิ้งหยากลับคิดว่าวิชาควบคุมเข็มทำให้ร่างกายของนางดีขึ้น มิได้แย่ลงเลยแม้แต่น้อย
แต่สายตาของนางเสมือนคนกำลังเกลียดชังและโกรธแค้น
นางเคยเห็นสายตาเช่นนี้ที่ไหนกันนะ?
นางคิดไม่ออกว่าเป็นสายตาของใครกันแน่
บางทีอาจเพราะนางมีศัตรูมากมาย ดังนั้นจึงมีประสาทสัมผัสไวเป็นพิเศษต่อสายตาเช่นนี้
หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นนวดขมับ การเป็นชายาในวังหลวงมิได้น่ารื่นรมย์เลยแม้แต่น้อย แม้แต่นางที่เป็นคนใจดียังกลายเป็นพวกอาอี้จอมวางแผน ดูเหมือนนางจะต้องหาเวลาต้มน้ำแกงกินเพื่อให้ใจสงบลงสักหน่อยแล้ว
มองดูประตูห้องของเจ้านายที่ปิดลง เจินจูรีบวางผ้าปูเตียงในมือลง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องของตนเองและหมาหน่าว
ตอนนี้หมาหน่าวได้รับคำสั่งให้ไปรับชุดกันหนาวขององค์ชายสิบ ดังนั้นห้องนี้จึงเหลือเพียงเจินจูคนเดียว