ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 11 บทที่ 315 ความในใจที่ซ่อนเร้น
รอบด้านทั้งสี่ทิศไร้ซึ่งผู้คน เจินจูแอบเดินเข้าไปหยิบตุ๊กตารูปคนจากใต้ที่นอนขึ้นมา จ้องตุ๊กตาตัวนั้นเขม็ง แววตาเผยให้เห็นความเกลียดชัง
ควานมือเข้าไปใต้หมอน หยิบเข็มเย็บผ้าเล่มยาวออกมา ก่อนจะออกแรงทิ่มแทงไปยังบริเวณศีรษะและหน้าอกของตุ๊กตาตัวนั้นพลางพ่นวาจาหยาบคายน่าขยะแขยง
“ตายซะนังแพศยา! เจ้าต้องตาย! ตาย! ข้าจะแทงเจ้าให้ตาย!”
ภายในห้องอันแสนมืดมิด ท่าทางของเจินจูบ้าคลั่งเสียสติ
“เจินจู หมอนขององค์ชายสิบ…เจินจู เจ้าทำอะไรอยู่?”
เสียงของหมาหน่าวดังขึ้นมาจากทางด้านนอก เจินจูซ่อนไม่ทัน ตุ๊กตาที่ถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงพื้นหน้าประตู
“คืนให้ข้า! เอามันคืนมาให้ข้า!”
เจินจูแสดงสีหน้าตื่นตระหนก หมาหน่าวไม่ปล่อยของในมือไปง่ายๆ พลิกตัวตุ๊กตา ก่อนจะได้เห็นชื่อสามพยางค์ที่ถูกปักบนนั้น
“นี่เจ้าทำตุ๊กตาสาปแช่งอย่างนั้นหรือ? แล้วยังเป็นชื่อของพระชายาอีก เจ้าไม่อยากมีลมหายใจแล้วหรืออย่างไร?”
ในเมื่อถูกหมาหน่าวจับได้แล้ว เจินจูจึงเลิกแสดงท่าทางกระวนกระวาย
แย่งตุ๊กตาในมือของหมาหน่าวกลับมาก่อนจะซุกไว้ใต้ที่นอน
“ตายหรือไม่ตายมันแตกต่างกันอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ไม่มีสิทธิ์เลือก ตายเสียได้ก็ดี”
หมาหน่าวผงะ เอื้อมมือไปจับแขนของเจินจู
“เจินจู เจ้าอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ หากถูกจับได้ เจ้าจะต้องถูกโทษประหารเก้าชั่วโคตร เจ้ายังมีพี่น้องอยู่มิใช่หรือ? อีกไม่กี่ปีพวกเราก็สามารถกลับออกไปอยู่บ้านได้แล้ว เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องโง่ๆ นี่ด้วยเล่า? แม้วันนั้นพระชายาจะทำเรื่องเกินควรกับเจ้าไปบ้าง แต่…แต่ต่อมาเจ้าก็บอกว่าร่างกายของเจ้ามิได้ผิดปกติอันใดมิใช่หรือ?”
อยู่ๆ ความโศกเศร้าพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจินจู หมาหน่าวที่กำลังมองดูรู้สึกสงสารจึงเข้าไปประคองนางนั่งลงบนเตียง
“ไม่มีแล้ว หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หมาหน่าว ข้ามิอาจออกจากวังหลวงได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีที่ไหนให้ข้าไปอีก เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว”
หยดน้ำตารินไหลจากดวงตาของเจินจู หมาหน่าวมิรู้ว่าควรพูดปลอบใจนางเช่นไร นับตั้งแต่วันที่เข้ามาถวายการรับใช้ในวังหลวง พวกนางประคับประคองกันดั่งพี่น้องเสมอมา
การใช้ชีวิตในวังหลวงมิใช่เรื่องง่าย หากมิใช่เพราะพวกนางช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน เกรงว่าพวกนางคงมิอาจยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ได้
“เจินจู เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรจงเล่าให้ข้าฟังเถิด”
หมาหน่าวและเจินจูต่างพากันร้องไห้ ชะตาชีวิตของพวกนางขื่นขมยิ่งนัก มิเช่นนั้นคงไม่ถูกคนที่บ้านส่งตัวเข้าวัง
“ข้า…หมาหน่าว หากเจ้าเป็นพี่น้องกับข้า เช่นนั้นช่วยข้าเก็บความลับเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
เจินจูเอ่ยขอร้องทั้งเสียงสะอื้น หมาหน่าวรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก
“แต่…แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่านอกจากตุ๊กตาตัวนี้แล้ว เจ้าจะไม่ทำอะไรลับหลังพระชายาอีก เจ้าเองก็รู้ว่าพระชายาหาใช่คนธรรมดาอย่างเช่นพวกเรา หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เช่นนั้นหัวของพวกเราคงหลุดออกจากบ่าอย่างแน่นอน”
เจินจูขบริมฝีปากแน่น หลังจากหมาหน่าวเอ่ยขอร้องนางอยู่หลายครั้ง นางจึงพยักหน้าตอบตกลง
เมื่อเห็นเจินจูกลับมามีท่าทางปกติแล้ว หมาหน่าวเองก็สบายใจ นางยื่นมือเข้าไปช่วยเช็ดน้ำตา หลังจากปลอบโยนนางแล้ว ทั้งสองจึงกลับมาสงบนิ่งดังเดิม
โชคดีที่ห้องของพวกนางอยู่ด้านข้าง ดังนั้นจึงมิได้ดึงดูดความสนใจของหลินเมิ้งหยา
ขณะเดียวกัน หลินเมิ้งหยากำลังต้อนรับใครคนหนึ่ง
“หนู่ปี้นามว่าซูหลาน ขอถวายพระพรพระชายา ขอให้พระชายามีอายุยืนหมื่นปี”
หลินเมิ้งหยาสำรวจสาวใช้ตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ อายุของนางราวสิบแปดสิบเก้าปี รูปร่างไม่สูงมาก ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่อิ่มเอิบ ทว่าท่าทางกลับสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่
เข้าไปยืนตรงหน้านางพร้อมทั้งแย้มยิ้มและเอ่ยต้อนรับด้วยตนเอง
“ลุกขึ้นเถิด เจ้าอายุเท่าไหร่? เมื่อก่อนทำหน้าที่อะไร?”
นางในคนนี้คือคนที่ผู้อาวุโสอวี้ส่งมาให้ ดังนั้นนางจึงมีความน่าเชื่อถือ แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ถามคำถามพอเป็นพิธี
“ทูลพระชายา แต่ก่อนหนู่ปี้ทำหน้าที่ดูแลต้นไม้ในวังหลวง หนู่ปี้ยังไม่มีวาสนารับใช้เหนียงเหนียงหรือเจ้านายคนไหนเลยเพคะ”
รู้จักรุกรู้จักรับ น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล หลินเมิ้งหยารู้สึกพอใจยิ่งนัก
“ดี ต่อจากนี้ไปเจ้าจงอยู่รับใช้ข้าที่นี่เถิด ข้าหาใช่คนเรื่องมาก ขอเพียงข้าสั่งและเจ้าทำตามได้ก็เพียงพอ นี่คือของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าเพื่อแสดงน้ำใจที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก เจ้าจงเก็บเอาไว้เถิด หากมีสิ่งใดไม่สบายใจสามารถบอกข้าได้ทุกเมื่อ”
หลินเมิ้งหยารู้สึกขอบคุณผู้อาวุโสอวี้ยิ่งนัก ช่วงนี้นางยุ่งกับเรื่องในสำนักหมอหลวงจนตัวเป็นเกลียว ป๋ายซูเองก็มิอาจทิ้งนางไปที่ใดได้
แม้องค์ชายสิบจะมีแม่นมคอยดูแลและช่วงนี้เขากำลังหลงใหลในการเล่นจิ่วเหลียนหวนจึงไม่ยอมออกจากห้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังขาดคนดูแลเรือน
“เพคะ พระชายา”
เอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค หลินเมิ้งหยาสั่งให้ป๋ายซูไปแนะนำงานที่ต้องทำ
คนที่อวี้เฉียงส่งมาคือคนที่สามารถพูดกันอย่างตรงไปตรงมาได้ ฉะนั้นด้วยเวลาเพียงไม่นาน ป๋ายซูก็สอนงานซูหลานเสร็จ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ยังดูจริงใจต่อกันมาก
“เข้าใจแล้วหรือไม่?”
ซูหลานยกน้ำชามาให้หลินเมิ้งหยาด้วยตนเอง
กลิ่นหอมอบอวล…ดูเหมือนว่าหากปล่อยให้แม่นางซูหลานคนนี้ทำงานเพียงดูแลต้นไม้ใบหญ้าต่อไปจะเป็นการเสียของเปล่า
ซูหลานและป๋ายซูอยู่ห้องเดียวกันกับหลินเมิ้งหยา แม้สามนายบ่าวจะยังไม่รู้จักมักคุ้นกันมากนัก แต่ซูหลานเป็นคนฉลาด นางเลือกเรื่องที่หลินเมิ้งหยาสนใจออกมาเล่าให้ฟัง
“จริงสิ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนดูแลต้นไม้ในวังหลวง ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าหากข้าไม่ต้องการให้สวนของข้ามีหญ้าขึ้น เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร?”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาเอ่ยถามโดยมิได้คิดอะไรมาก สมัยโบราณไม่มียาฆ่าหญ้า นอกจากใช้คนงานดึงพวกมันออกแล้ว นางก็คิดวิธีอื่นไม่ออก
ทว่าซูหลานกลับยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ ก่อนจะตอบ
“ท่านอาจารย์ของหนู่ปี้เป็นคนสวนของวังหลวง สมัยที่ฮองเฮาฉงหยุนซึ่งเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่สิ้นพระชนม์ พระองค์ชอบดอกเก๊กฮวยภูเขามาก ต้นเก๊กฮวยภูเขาพบได้มากในป่า การย้ายพวกมันมาปลูกจึงทำให้ต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น ต้นหญ้าเหล่านั้นยังแข็งแรงมาก แม้ปีนี้จะถอนออก แต่ปีหน้าก็งอกขึ้นมาอีก ต่อมาท่านอาจารย์ของหนู่ปี้จึงคิดหาวิธีกำจัดหญ้าเหล่านั้นโดยการเชิญท่านหมอหลวงของสำนักหมอหลวงมาค้นคว้ายาชนิดหนึ่ง หากผสมยาชนิดนี้กับดิน ต้นหญ้าจะเหี่ยวเฉาและตายลง แต่ต้นเก๊กฮวยจะยังอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังบานสะพรั่งสวยงามอีกด้วยเพคะ”
คำพูดของซูหลานทำให้ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย
ยาที่นางกำลังผสมล้วนมีผลต่อรากของต้นโต่วเทียน แต่ถ้าหากอยากกำจัดรากและทำให้ไม่สามารถปลูกต้นโต่วเทียนได้อีก เช่นนั้นวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่เหมาะสม
พวกนางคุยเล่นกันอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน
ตีห้าของเช้าวันถัดมา หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นจากที่นอน
ป๋ายซูยกมือขึ้นขยี้ตา ก่อนจะหันไปมองเจ้านายตนเองซึ่งแต่งตัวเสร็จแล้วและกำลังยืนอยู่หน้ากระจกด้วยความประหลาดใจ
“นายหญิง นี่ท่าน…”
นับตั้งแต่วันที่หัวใจของนายหญิงได้รับความเสียหาย เพียงสัมผัสกับอากาศเย็น นางแทบจะนอนขดอยู่บนเตียงราวกับลูกแมว แต่เพราะเหตุใดวันนี้จึงดูกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษกันเล่า?
“ก็ต้องทำงานนี่นาดังนั้นจึงต้องตื่นเช้าหน่อย ไปเถิด พวกเราไปสำนักหมอหลวงกันก่อนดีกว่า จริงสิ ซูหลาน วันนี้พวกเราจะกินอาหารเช้ากันที่สำนักหมอหลวง เจ้าจงดูแลองค์ชายสิบให้ดี ข้าเขียนสิ่งที่เขาไม่สามารถกินได้ลงในกระดาษแล้ว เจ้าจงระมัดระวังให้มาก เข้าใจหรือไม่?”
ซูหลานพยักหน้ารับคำ นางเข้าใจเรื่องนี้ดี ก่อนที่จะมาถวายงาน อวี้กงกงกำชับกับนางอย่างดิบดีแล้วว่าให้ระมัดระวังทุกย่างก้าว
ป๋ายซูติดตามหลินเมิ้งหยาไป แต่ถึงกระนั้นกลับยังคงจ้องนายหญิงของตนเองตาไม่กะพริบ
อันที่จริงนางเห็นความงามของนายหญิงจนชินตาแล้ว ต่อให้หลินเมิ้งหยาสวมชุดผู้ชาย นางก็ดูหล่อเหลาน่าหลงใหล
ท่อนบนสวมเสื้อสีขาว ท่อนล่างหาใช่กระโปรงไม่ แต่กลับเป็นกางเกงผ้าฝ้ายรัดรูปสีเดียวกันกับเสื้อ แม้จะดูเหมือนชาย แต่ก็ยังเหมือนผู้หญิง
เพียงแต่…แลดูแปลกตาเล็กน้อย
วันนี้นายหญิงมิได้สวมใส่เครื่องประดับ แต่รวบผมไว้ทางด้านหลัง นางไม่แม้กระทั่งผัดแป้ง ท่าทางกระปรี้กระเปร่าเปี่ยมไปด้วยพลัง
อันที่จริง นายหญิงในเวลานี้ดูแปลกประหลาดเหลือเกิน
“เหตุใดจึงจ้องข้าเช่นนี้เล่า?”
หลินเมิ้งหยามองสาวใช้ที่กำลังสำรวจตนเอง นางรู้ได้ทันทีว่าการแต่งตัวของนางในวันนี้ทำให้ป๋ายซูรู้สึกสงสัย
ก้มๆ เงยๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
อันที่จริงไม่ได้มีอะไรพิเศษ นางเพียงแค่รู้สึกว่าหญิงสาวสมัยโบราณแต่งกายงดงาม…แต่ไร้ประโยชน์
นางสั่งให้คนตัดเสื้อผ้าชุดนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษและเก็บเอาไว้ที่ห้องศิลาของท่านอาจารย์เพื่อที่จะนำมาสวมเมื่อถึงฤดูหนาว ดูเหมือนท่านอาจารย์จะยังคิดถึงนาง ดังนั้นจึงฝากให้หลงเทียนอวี้นำมามอบให้
แม้สูตรยาจะง่าย แต่ในสมัยโบราณไม่มีเครื่องชั่งปริมาณ ทว่ายาเหล่านี้ทุกกรัมทุกขีดล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งสิ้น โชคดีที่มีระบบเซินหนงคอยช่วย อันที่จริงระบบเซินหนงก็มิต่างอันใดจากไอเทมพิเศษในเกม
เมื่อคืนก่อนนอนนางนึกสนุกจึงเซ็ตระบบให้ตัวเองอยู่ในสภาวะของคนบ้างาน
ดังนั้นนางจึงถูกระบบเซินหนงปลุกแต่เช้า ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่งนักเหมือนได้ดื่มกาแฟเข้าไปสามแก้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าระบบเซินหนงจะใส่ใจในทุกรายละเอียด ดังนั้นนางจึงอารมณ์ดีตาม
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านคิดว่าสะดวกสบายก็เพียงพอแล้ว อันที่จริงข้ามักคิดเสมอว่าชุดของต้าจิ้นมิต่างอันใดจากชุดของผอผอ แตกต่างจากชุดของเมืองเลี่ยหยุนมาก หากมีโอกาสแล้วล่ะก็ ข้าเองก็อยากพานายหญิงไปยังเมืองเลี่ยหยุนของพวกเรา ที่เมืองเลี่ยหยุนแม้แต่เหล่าสนมก็ยังสามารถขี่ม้าล่าสัตว์ได้เจ้าค่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายซูเป็นฝ่ายพูดถึงบ้านเมืองของตนเองขึ้นมาก่อน
มองดูใบหน้ามีความสุขของนาง หลินเมิ้งหยาพลันนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนขึ้นมา