ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 11 บทที่ 316 คำถามเกี่ยวกับชีพจร
“ไม่รู้ว่าเสี่ยวอวี้เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเด็กคนนั้นไม่รู้จักส่งข่าวมาบ้างนะ”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยารู้ดี หากคำนวณเวลาและระยะทางดูแล้วล่ะก็ ตอนนี้หลินจงอวี้เพิ่งจะถึงเมืองเลี่ยหยุนได้เพียงไม่นาน
สถานการณ์ยังไม่ปลอดภัย ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้ส่งข่าวมาหานาง
เขาไม่ชอบทำให้นางกังวลใจ
“นายน้อยจะต้องฝากให้คนมาส่งข่าวแก่นายหญิงอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสเท่านั้น นายน้อยไม่อยากทำให้นายหญิงเป็นกังวล”
ป๋ายซูเข้าใจความรู้สึกระหว่างนายหญิงและนายน้อยดี การกลับไปของนายน้อยในคราวนี้อาจเกิดการนองเลือดขึ้น
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านหัวหน้าเลี่ยจะต้องคุ้มครองนายน้อยด้วยชีวิตอย่างแน่นอน
“ช่างเถิด ข้าก็แค่กังวลเท่านั้น ตอนนี้พวกเราเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หากเสี่ยวอวี้รู้เข้า เขาจะต้องกังวลอย่างแน่นอน ไปกันดีกว่า พวกหมอหลวงจะต้องตั้งตาคอยพวกเราอยู่อย่างแน่นอน”
เวลาล่วงเลยมาห้าวันแล้ว เหตุการณ์ในสำนักหมอหลวงจึงกลับมาเป็นปกติ
แม้พวกหมอหลวงจะไม่ต้องเข้าไปว่าการในราชสำนัก แต่ถึงกระนั้นสำนักหมอหลวงก็พิเศษกว่าที่อื่น พวกเขาจะต้องเข้าประจำตำแหน่งของตนเองแต่เช้า
ช่วงเช้าจะเป็นการพบปะกับเจ้าสำนักหมอหลวง จากนั้นจะมีการปรึกษากันเกี่ยวกับสถานการณ์ในวังหลวง
ทว่าเช้าวันนี้ทุกคนกลับทิ้งงานในมือและมารวมตัวกันหน้าประตู
ในที่สุดมือเล็กๆ ก็ผลักประตูเปิดเข้าไป จากนั้นร่างบางสองร่างพลันปรากฏต่อหน้าพวกเขา
“ถวายพระพรพระชายา”
เริ่มจากซูถง ก่อนที่ทุกคนในสำนักหมอหลวงจะถวายคำนับตามเขา หลินเมิ้งหยารีบสั่งให้ป๋ายซูเข้าไปประคองใต้เท้าซู
“ทุกท่านล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น อย่าได้มากพิธีเลย ลุกขึ้นเถิด”
แม้นางจะมีรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่ทุกคนรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้านวลงามเก็บซ่อนความดื้อรั้นที่มิอาจมีใครต่อกรได้เอาไว้
“แม้พระชายาจะทรงเป็นกันเอง แต่ถึงอย่างไรกฎก็ย่อมเป็นกฎ ต่อจากนี้เป็นต้นไปหมอหลวงทั้งหมดต้องแสดงความเคารพพระชายา โดยห้ามมิให้ละเลยบกพร่องเป็นอันขาด”
บางทีอาจเพราะถูกแรงกดดันจากหลงเทียนอวี้ ดังนั้นหมอหลวงทั้งหมดจึงมิอาจดูถูกหลินเมิ้งหยาได้อีกต่อไป เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว แม้แต่หมอเจียงเองก็ต้องกัดฟันอดทน
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ตกลงหลงเทียนอวี้ทำเช่นไรผลลัพธ์จึงเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?
“ใต้เท้าซูกล่าวเกินไปแล้ว ลุกขึ้นเถิด”
ไม่อยากอยู่ปะทะวาจากับพวกเขาที่นี่อีกต่อไป หลินเมิ้งหยาเดินไปยังห้องเล็กของตนเอง แต่นางต้องแปลกใจเมื่อพบว่าโต๊ะที่นางมักจะใช้นั่งเขียนตำรับยาเป็นประจำกลับถูกเปลี่ยนเป็นโต๊ะไม้อย่างดีสีน้ำตาล
“นี่มัน…”
หลินเมิ้งหยาแสร้งแสดงท่าทางตกใจระคนสงสัยขณะหันไปมองใต้เท้าซู สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงออกถึงความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด เขาโค้งตัวลงพลางเอ่ย
“คราวก่อนกระหม่อมควรนำรายงานชีพจรมาให้พระชายาตรวจสอบ แต่เพราะรายงานนั้นเกี่ยวกับชีวิตของฮ่องเต้ นอกจากกระหม่อมแล้วก็ไม่มีใครมีโอกาสได้เห็น ดังนั้นจึงทำให้พระชายาต้องพลาดงานสำคัญไป กระหม่อมทำผิดมหันต์ พระชายาได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พอเกิดเรื่องก็โยนความผิดให้คนอื่น ซ้ำยังแสดงท่าทางประหนึ่งตนเองได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องเพื่อทำให้หลินเมิ้งหยาไม่อาจเอาผิดเขาได้
“ใต้เท้าซูอย่าเอ่ยเช่นนี้เลย ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายร้อนใจจนเกินไป ต่อจากนี้ไปข้าควรจะปรึกษาท่านก่อน”
หลินเมิ้งหยาเข้าใจความหมายที่ซูถงต้องการจะสื่อดี คนแบบซูถงเพียงแค่ต้องการโยนความผิดออกจากตัวเองเท่านั้น
ซูถงรีบกล่าวขอบคุณยกใหญ่ก่อนจะกลับออกไป หลินเมิ้งหยามิได้เอ่ยอันใดมากมายนัก นางทำเพียงกวาดสายตามองคนเหล่านั้น ก่อนจะหยิบกล่องผ้าขึ้นมาเปิด แล้วนำรายงานชีพจรออกมา
จดจำรายละเอียดทุกอย่างที่เขียนเอาไว้ ภายในนั้นมีทั้งคำอธิบายอาการและข้อสงสัยเกี่ยวพระอาการประชวร
หลังจากอ่านจบ คิ้วพลันขมวดเข้าหากันแน่น
แม้อาการประชวรของฮ่องเต้จะดูเหมือนอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้ในวัยชรา แต่ยังมีสองจุดที่นางเกิดข้อสงสัย
หนึ่ง ครั้นสมัยฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยลูกธนู เหตุเพราะช่วยเหลือเอาไว้ไม่ทันการ ดังนั้นพระองค์จึงเกือบสิ้นพระชนม์
บาดแผลอยู่บริเวณหน้าอก หัวใจได้รับความเสียหาย ฉะนั้นอาการบาดเจ็บในคราวนั้นจึงส่งผลถึงอาการประชวรในปัจจุบัน
สอง เหตุเพราะอาการประชวรอย่างรุนแรงของฮ่องเต้ ดังนั้นภายในบันทึกเล่มนี้จึงมีการบันทึกเอาไว้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ขณะที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่ตำหนักด้วยอาการเมามาย ขันทีและนางในซึ่งคอยถวายงานรับใช้ไม่ทันระวังจึงทำให้ฮ่องเต้ถูกลมหนาวจนทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ เหตุเพราะอาการประชวรในคราวนี้จึงทำให้โรคเก่ากำเริบ
หลินเมิ้งหยาวางบันทึกลง ก่อนจะตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
หลงเทียนอวี้เคยเล่าว่าครั้นเขายังเด็ก ทั้งเขาและเหล่าพี่น้องล้วนถูกฮ่องเต้อบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังถูกฝึกวิทยายุทธจนล้ำเลิศ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้ยังเคยกอบกู้อาณาจักรแห่งนี้ ดังนั้นร่างกายที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีควรจะแข็งแรงกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ตอนสิบแปดสิบเก้าชันษา ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต อีกทั้งความสามารถในการฟื้นฟูยังยอดเยี่ยมอีกด้วย
เหตุใดเพียงเพราะอาการบาดเจ็บจากลูกธนูจึงส่งผลกระทบร้ายแรงเช่นนี้ได้?
แน่นอนว่าการร่ำสุราแล้วตากลมสามารถส่งผลให้เกิดอาการประชวรได้ แต่ฮ่องเต้ยังอยู่ในวัยกลางคน ซ้ำยังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อยู่ๆ นางก็หวนนึกถึงชายแก่ที่ดูแลตึกแพทย์ขึ้นมา หลังจากเขาดื่มเหล้าจนเมามายแล้ว เขามักจะแอบนอนหลับบนม้านั่งหินในสวนดอกไม้เป็นประจำ
แต่เพราะชายแก่นั่นออกกำลังกายทุกวัน ดังนั้นเขาจึงเจ็บป่วยนับครั้งได้
คนที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไป แต่เพราะเหตุใดจึงหลับไม่ฟื้นเพียงเพราะเหตุผลเล็กๆ สองข้อนี้ พวกหมอหลวงคิดจริงๆ หรือว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ไม่มีใครสามารถเอาผิดพวกเขาได้
“นายหญิง อาหารเช้ามาถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านกินก่อนแล้วค่อยอ่านต่อเถิด”
นางเงยหน้า ก่อนจะพบว่าป๋ายซูเดินถือกล่องอาหารสีแดงเข้ามา
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ก่อนจะเก็บบันทึกชีพจรของฮ่องเต้เอาไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะไม้ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นางอาจจะได้รับคำตอบเร็วๆ นี้
อาหารเช้าค่อนข้างเรียบง่าย มีเพียงโจ๊ก ไข่น้ำ และเครื่องเคียงอีกสองสามอย่างเท่านั้น
หลินเมิ้งหยามีท่าทางเลื่อนลอยเพราะกำลังคิดวิเคราะห์เรื่องชีพจรของฮ่องเต้
“นายหญิงอย่าเพิ่งเหม่อลอยสิเจ้าคะ ตั้งใจกินข้าวหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ป๋ายซูรู้สึกพ่ายแพ้ให้แก่นายหญิงของตนเอง เหตุใดหญิงสาวที่มักจะฉลาดเฉลียวจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้หลังจากได้เห็นอาการประชวรและพระโอสถของฮ่องเต้กันเล่า?
หรือนางจะเป็นโรคบ้างาน? ต้องใช้แน่ๆ
“โอ้ ขอโทษที”
หลินเมิ้งหยาดึงสติกลับมา ก่อนจะก้มหน้าลงกินโจ๊กในถ้วยต่อ
“จริงสิ มีใครรังแกเจ้าตอนไปรับอาหารเช้าหรือไม่? แล้วเจ้ากลับไปดูองค์ชายสิบแล้วหรือยัง?”
ป๋ายซูครุ่นคิด ก่อนจะตอบ
“ไม่มีเจ้าค่ะ คนในห้องเครื่องปฏิบัติต่อข้าอย่างเกรงใจ อาหารที่เตรียมให้องค์ชายสิบเองก็ไม่มีปัญหาอะไร ดูเหมือนนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายสิบ คนในวังหลวงจะระมัดระวังเรื่องอาหารมากเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็สบายใจ ตอนนี้ราชสำนักกำลังร้อนเป็นไฟเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบ หากเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายสิบอีกครั้งแล้วล่ะก็ เกรงว่าคราวนี้ฮองเฮาจะต้องฉีกหน้าตัวเองออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หลินเมิ้งหยากลับมาทบทวนเรื่องสมุนไพรอีกครั้ง
ผสมสมุนไพรลงไปสองสามอย่าง ก่อนจะสั่งให้ป๋ายซูนำไปต้ม หลังจากยาสมุนไพรเย็นแล้ว นางจึงนำไปสาดลงบนพื้น โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามปรามนาง
เหตุเพราะไม่มีใครเดาได้ว่าชายาอวี้ผู้นี้ยังมีเล่ห์กลอะไรซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่
ระบบเซินหนงช่วยประมวลผลข้อมูลได้เร็วมากขึ้นหลายเท่า ช่วงเวลาเพียงอึดใจหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับยาและพระอาการประชวรล้วนถูกคัดแยกอย่างละเอียดชัดเจน
หลังจากเปรียบเทียบตำรับยาแต่ละชนิดแล้ว หลินเมิ้งหยาพบว่าในยาทุกสูตรล้วนมีส่วนผสมของยาถอนพิษอยู่เล็กน้อย
สายตากวาดมองไปยังพวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ด้านนอก
หรือพวกเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าอาการประชวรของฮ่องเต้มิได้ง่ายดายเหมือนที่คิด?
ทว่าพวกเขากลับผสมยาถอนพิษอย่างลับๆ หรือพวกเขากลัวว่าฮองเฮาและไท่จื่อจะทำร้ายพวกเขา?
แต่ถึงกระนั้นก็ยังผิดปกติ หากพวกเขากลัวฮองเฮาและไท่จื่อจริง เช่นนั้นพวกเขาก็ควรคิดเห็นเป็นทางเดียวกันกับพวกฮองเฮาโดยไม่แอบใส่ยาถอนพิษลงไปจึงจะถูก
สายตาพลันเลื่อนไปมองสวนที่ถูกรดน้ำเมื่อครู่ นางกลับเข้าสู่ภวังค์อีกครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนนางจะต้องคุยกับคนที่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ดูสักครั้ง
ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังเผชิญหน้ากับความผิดปกติและปัญหาอยู่ในวัง ทางฝั่งของจวนอวี้เองก็กำลังโดนพายุลูกใหม่ถาโถม
รุ่งสาง ขณะที่หลงเทียนอวี้กำลังจะออกจากจวน น้าจิ้งเยว่พลันมาเชิญเขาเสด็จไปยังตำหนักหยาเสวียน
มองร่างซูบผอมตรงหน้า หลงเทียนอวี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
เหมือน…เหมือนมากเหลือเกิน เขารู้สึกว่าน้าจิ้งเยว่คล้ายกับน้าจิ่นเยว่ที่ตายจากไปแล้วมากจริงๆ
หรือเพราะพวกนางอยู่ด้วยกันมานาน ดังนั้นจึงมีความคล้ายกัน?
นับตั้งแต่วันที่หลินเมิ้งหยาถูกขังอยู่ในวังหลวง เขามักรู้สึกเสมอว่าบรรยากาศในจวนอวี้เย็นยะเยือกไร้ซึ่งความอบอุ่นเหมือนแต่ก่อน
ราวกับว่าจวนแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งหัวใจของเขาเองก็ว่างเปล่า
“ท่านน้า หมู่เฟยเชิญข้าไปด้วยเหตุใดหรือ?”
คำว่าท่านน้าอันแสนอ่อนโยนที่เปล่งออกมาทำให้ร่างกายของจิ้งเยว่สั่นไหวเล็กน้อย
หันหน้ามามอง ก้มหน้าลง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคารพนับถือ
“ท่านอ๋องไปดูก็จะรู้เองเพคะ เพียงแต่….หนู่ปี้ขอพูดมากสักหน่อย ถึงอย่างไรเหนียงเหนียงก็เป็นมารดาแท้ๆ ของพระองค์ เรื่องบางเรื่องท่านอ๋องก็ควรทำตามพระประสงค์ของเหนียงเหนียงจะเป็นการดีที่สุดนะเพคะ”
เสียงแหบแห้งถูกเปล่งออกมา หลงเทียนอวี้ไม่รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้เลยแม้แต่น้อย