ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 11 บทที่ 320 บันทึกชีพจรหายไป
ภายในสำนักหมอหลวง
หลังจากทุกคนถวายคำนับหลินเมิ้งหยาเสร็จแล้วจึงเอ่ยถามนางถึงการขาดงานในตอนเช้า พวกเขามองนางราวกับได้เห็นเจ้าแม่กวนอิมอย่างไรอย่างนั้น
หลินเมิ้งหยาขี้เกียจอธิบายให้พวกเขาฟัง ดังนั้นจึงพยายามเว้นระยะห่างกับพวกเขาเอาไว้เพื่อมิให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นในอนาคต
แม้เมื่อวานก่อนกลับนางจะมิได้ล็อคชั้นเก็บของใต้โต๊ะ แต่ถึงกระนั้นก็ทำสัญลักษณ์เล็กๆ เอาไว้
เพียงดูก็รู้ว่ามีคนรื้อค้นของของนาง ถึงแม้จะปรากฏร่องรอยเพียงเล็กน้อยก็ตาม หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะในใจ
ดูแล้วจะได้อะไรเล่า? ถึงดูไปพวกเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ครุ่นคิด คาดว่าเมื่อวานจะต้องมีคนลอบด่านางอยู่ในใจอย่างแน่นอน
ทันทีที่หลินเมิ้งหยามาถึง ซูถงก็ปรี่เข้ามาหาพร้อมทั้งยิ้มเชิงเกรงใจ ก่อนจะเอ่ย
“หลายวันมานี้พระชายาลำบากมาก พรุ่งนี้จะต้องเข้าไปถวายการตรวจชีพจรแล้ว ไม่ทราบว่าพระชายาเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วสูง ตอนแรกนางคิดว่าชายคนนี้จะเข้ามาพูดโน้มน้าวมิให้นางเข้าไปตรวจชีพจรของฮ่องเต้เสียอีก
คราวนี้จะมาไม้ไหนกันนะ?
หรือพวกเขาจะคิดได้แล้ว? หรือว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่อีกกันแน่?
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยน ตบโต๊ะเบาๆ คาดว่าพวกเขาจะต้องดูตำรับยาของนางทั้งหมดแล้วเป็นแน่
“ข้าเพียงแต่ติดตามเหล่าใต้เท้าไปตรวจดูอาการเท่านั้น จึงมิต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก แม้ข้าจะไม่อยากทำตัวขายหน้า แต่ดูเหมือนจะทำให้พวกท่านได้ขบขันเสียแล้ว”
สีหน้าของซูถงยังคงเหมือนเดิม ทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย
เหตุที่หลินเมิ้งหยาเอ่ยเช่นนี้แสดงให้เห็นว่านางรู้เรื่องที่พวกเขาแอบดูส่วนประกอบยาของนางแล้ว
อันที่จริงเรื่องนี้แทบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักหมอหลวงไปแล้ว พวกเขาอยากรู้ว่าหลินเมิ้งหยาวางแผนไว้เช่นไรก็เท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าสูตรยาทั้งหมดของนางมิต่างอันใดจากสูตรยาผีบอก พวกเขาอ่านไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
ยิ่งได้รู้จัก พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชายาอวี้ฉลาดล้ำลึกเหมือนอย่างที่ทุกคนกล่าวขาน
บางทีพวกเขาอาจประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำไปตั้งแต่แรก
“พระชายาถ่อมตัวเกินไปแล้ว เหตุเพราะชีพจรของฮ่องเต้เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรแห่งนี้ ฉะนั้นทุกคนจึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนผลชีพจรแต่ก่อนเป็นเช่นไรนั้น เชิญพระชายานำบันทึกรายงานออกมาแลกเปลี่ยนความเห็นกับทุกคนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ที่จริงก็แค่อยากมายืมของแต่เพียงเท่านั้น หลินเมิ้งหยาถูกคำพูดอ้อมค้อมของเขาทำให้พูดไม่ออก
นางหาใช่คนโรคจิต เหตุใดจึงต้องพูดจาอ้อมค้อมเช่นนั้นด้วยเล่า?
“ป๋ายซู เจ้าไปหยิบบันทึกชีพจรออกมามอบให้ใต้เท้าซูเถิด”
รายงานชีพจรอยู่ในลิ้นชัก ป๋ายซูน้อมรับคำสั่งแล้วเดินเข้าไปที่โต๊ะ เพียงควานมือเข้าไปในลิ้นชัก สีหน้าของนางพลันตื่นตะลึงเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?”
หลินเมิ้งหยาสังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยถาม
“คือว่า…ใต้เท้าซู หนู่ปี้เพิ่งนึกออกว่าวันนี้นายหญิงยังต้องการใช้บันทึกชีพจรเล่มนี้อยู่ ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูรอสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ? หลังจากใช้งานเสร็จแล้ว หนู่ปี้จะรีบนำไปส่งมอบให้ท่านทันที”
คำพูดของป๋ายซูทำให้ซูถงประหลาดใจ
หันไปมองหลินเมิ้งหยาเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ดูความจำของข้าเถิด เมื่อวานข้าเป็นคนสั่งป๋ายซูเองว่าส่วนประกอบยายังต้องปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อย”
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้ว่าเหตุใดป๋ายซูจึงเอ่ยเช่นนี้ แต่นางก็ให้ความร่วมมือกับป๋ายซูเป็นอย่างดี
สาวใช้ของนางรู้ดีว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ แสดงว่าจะต้องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นอย่างแน่นอน
ในเมื่อพระชายาออกปากเอง ซูถงจึงไม่คิดคัดค้าน เขาทำได้เพียงขอตัวออกไป
ห้องเล็กจึงเหลือเพียงนายบ่าวสองคน หลังจากสบตากันแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงเข้าไปยืนที่ฝั่งตรงข้ามของประตูพร้อมกันกับป๋ายซู
เท่านี้ก็ป้องกันมิให้ใครได้ยินสิ่งที่พวกนางกำลังจะพูดกันได้แล้ว ซ้ำยังสามารถให้พวกเขาเห็นการเคลื่อนไหวของพวกนางได้อีกด้วย
“นายหญิง บันทึกชีพจรของฮ่องเต้หายไปเจ้าค่ะ”
เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก แม้ป๋ายซูจะไม่รู้กฎระเบียบในวังมากนัก แต่นางรู้ดีว่าของทุกอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ล้วนเป็นของสำคัญ
“อะไรนะ? หายไป? ไม่มีทางหรอก ข้าจำได้ว่าข้าเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะแล้ว พวกเราลองหาดูอีกรอบเถิด พยายามอย่าทำให้พวกเขาสงสัย”
หลินเมิ้งหยาเองก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน นี่มันเรื่องตลกอะไรกันแน่
บันทึกชีพจรคือบันทึกอาการประชวรของฮ่องเต้
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุเพราะฐานะอันสูงส่งของฮ่องเต้ ดังนั้นบันทึกเล่มนั้นจึงรายงานพระอาการประชวรของฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว
มีบางเรื่องเกี่ยวข้องกับความลับประจำพระองค์ของฮ่องเต้อีกด้วย ฉะนั้นบันทึกชีพจรสมัยโบราณอย่าว่าแต่หายไปเลย แม้แต่ตอนที่ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ก็จะต้องถูกนำไปฝังไว้ในสุสานด้วย
ฉะนั้นการที่มันหายไปทั้งที่อยู่ในการครอบครองของหลินเมิ้งหยาย่อมหมายความว่านางจะต้องได้รับโทษ
พยายามค้นหาทุกซอกทุกมุม หลินเมิ้งหยาไม่มีทางวางของสำคัญเช่นนี้มั่วซั่วอย่างแน่นอน
มีเพียงป๋ายซูที่ยังไม่ตัดใจและค้นหาไม่หยุด แต่หลินเมิ้งหยากลับนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเริ่มคิดวิเคราะห์บางอย่าง
เมื่อวานนางกลับไปเป็นคนสุดท้าย เหตุเพราะนางอาศัยอยู่ในวังหลวง ดังนั้นนอกจากหมอหลวงที่ต้องเข้ามาประจำเวรยามแล้วก็ไม่มีหมอคนใดกลับบ้านหลังจากนาง
หากซูถงเป็นคนทำ เช่นนั้นการที่เขามาขอบันทึกชีพจรจากนางจะไม่เป็นการทำให้นางสงสัยในตัวเขาอย่างนั้นหรือ? หากมองจากความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเขาแล้ว เขาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน
เพื่อป้องกันมิให้นำสิ่งใดออกไปหรือพกอะไรเข้ามาในวังหลวง ฉะนั้นการเข้าออกวังหลวงของหมอหลวงล้วนถูกตรวจสอบโดยขันที เป็นไปได้ว่าบันทึกชีพจรของฮ่องเต้มิได้ถูกนำออกจากวัง
ทว่าวังหลวงแห่งนี้ใหญ่โตกว้างขวางยิ่งนัก นางและป๋ายซูเพียงสองคนไม่มีทางตามหาจนเจออย่างแน่นอน
พรุ่งนี้จำเป็นต้องไปถวายการตรวจชีพจรแก่ฮ่องเต้ แต่วันนี้บันทึกชีพจรกลับหายไป เรื่องนี้ไม่มีทางปิดเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่ถ้าหากประสงค์ร้ายกับนาง เช่นนั้นพวกเขาก็ฝันไปก่อนเถิด
ช่างเป็นแผนที่ฉลาดล้ำยิ่งนัก อีกนิดเดียวนางก็เกือบจะตกอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายแล้ว
มุมปากกระตุกยิ้มเย็นชา หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองเหล่าหมอหลวงที่ดูใสซื่อไร้เดียงสาด้านนอก
คิดจะทำร้ายนาง? แม้แต่เทพสวรรค์ยังทำไม่ได้เลย!
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หลินเมิ้งหยานำกล่องเก็บบันทึกชีพจรไปมอบให้ใต้เท้าซูด้วยตนเอง
ดวงตาของป๋ายซูเผยให้เห็นถึงความกระวนกระวาย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นกล่องผ้าใบนั้น นางรีบหันหน้าหนีทันที ราวกับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“ขออภัยที่ปล่อยให้ใต้เท้าซูและทุกท่านต้องรอนาน บันทึกชีพจรของฮ่องเต้ละเอียดยิ่งนัก ดังนั้นผู้น้อยเช่นข้าจึงต้องใช้เวลาในการคิดนานสักหน่อย ตอนนี้ข้าขอมอบบันทึกชีพจรคืนให้แก่พวกท่าน ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
วางกล่องผ้าลงกลางโต๊ะ สายตาของทุกคนถูกกล่องผ้าดึงดูด
ซูถงรีบรับกลับไปเพื่อป้องกันมิให้เหล่าลูกศิษย์ซึ่งยังมีคุณสมบัติไม่มากเพียงพอมองเห็น ก่อนจะเปิดกล่องออกพร้อมกับใต้เท้าอีกสามคน
หลินเมิ้งหยาหลบไปยืนอีกฝั่ง สายตามิเปิดเผยร่องรอยของความผิดปกติใดๆ
แต่ละคนล้วนมีความโดดเด่นของตนเอง ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเตรียมใจเอาไว้แล้ว
“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีคำถาม ไม่ทราบว่าถามออกมาได้หรือไม่?”
เสียงสั่นเครือเสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากหลินเมิ้งหยา
ผินหน้าไปมอง ก่อนจะได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย ดวงตากลมโตของเขาราวกับคนไร้เดียงสา ชายคนนี้คือเสี่ยวเฟิงมิใช่หรือ?
“มีเรื่องอะไร? ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้ายุ่งอยู่?”
ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีดุ
เสี่ยวเฟิงหันหน้าไปหาอาจารย์ของตนเอง ร่างกายสั่นเทิ้ม แต่ถึงกระนั้นก็ยังกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำราวกับว่ากำลังรวมรวมความกล้าเพื่อจะพูดบางสิ่ง
“ท่านอาจารย์…บันทึกชีพจร…เป็นของปลอมขอรับ!”
คำพูดนี้ทำให้คนทั้งหมดตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมีท่าทีสงบนิ่งเป็นปกติ หยักยิ้มเล็กน้อยราวกับมิได้รู้สึกกังวล
“ไร้สาระ! บันทึกเล่มนี้เป็นของจริง! เจ้าเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัดอย่าได้คิดพูดจาเหลวไหล!”
ชายผู้มีนามว่าเหอเทียนตะคอก แม้เขาจะไม่เคยรู้จักกับหลินเมิ้งหยาเป็นการส่วนตัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ให้ความเคารพนางเหมือนอย่างที่ซูถงทำ
แต่ชิวอวี้เคยเตือนนางแล้วว่าให้ระมัดระวังพวกใต้เท้าทั้งสี่เอาไว้ ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไม่เคยทำความรู้จักกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน
“ท่านอาจารย์ ข้าหาได้พูดจาเหลวไหล เหตุเพราะเมื่อวาน…เมื่อวาน…พี่หลิวอีได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรเห็น ฉะนั้นจนกระทั่งตอนนี้พี่หลิวอีก็ยังไม่กลับมาเลยขอรับ”
แสดงละครเก่งดีนี่ อีกนิดเดียวก็จะได้รางวัลตุ๊กตาทองแล้ว
หลินเมิ้งหยามองการแสดงตรงหน้าด้วยท่าทางสนอกสนใจ
“อะไรนะ? เสี่ยวเฟิง เจ้าจงพูดให้ชัดเจน เกิดอะไรขึ้นกับหลิวอีกันแน่?”
ทั้งที่เมื่อครู่ยังไม่มีอาการตื่นตระหนก แต่เพียงได้ยินเสี่ยวเฟิงกล่าวถึงหลิวอี เหอเทียนก็มีท่าทางกระวนกระวายขึ้นมาทันที ดูเหมือนเขาจะจริงใจต่อลูกศิษย์คนนั้นมาก
หลินเมิ้งหยาเข้าใจความรู้สึกของเขา อาจารย์ส่วนมากรักลูกศิษย์ของตนเองด้วยใจจริง บางทีอาจรักมากกว่าลูกชายลูกสาวของตนเองเสียด้วยซ้ำ
ท่านอาจารย์เองก็รักและเอ็นดูนางมากเช่นเดียวกัน เวลารำคาญเขาทำเพียงถลึงตาใส่นางแต่เพียงเท่านั้น
การที่เหอเทียนรู้สึกกระวนกระวายเช่นนี้ แสดงว่าเขาเองก็ให้ความสำคัญกับศิษย์คนนั้นมากเช่นเดียวกัน
“เมื่อวานพี่หลิวอีต้องมาเข้าเวรยาม แต่เขาบอกกับพี่ฉีเทียนว่าเขารู้สึกไม่สบาย ฉะนั้นจึงขอเปลี่ยนให้ข้ามาเข้าเวรแทน ประมาณช่วงหลังอาหารเย็น พี่หลิวอีรีบร้อนมาหาข้า เขาบอกว่ามีเรื่องด่วน เขาอยากให้ข้าเก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี หากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้นห้ามเล่าออกมาเด็ดขาด แต่ตอนนั้นข้าเหนื่อยจนเกินไป ดังนั้นจึงได้ยินเพียงว่าเขาได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรได้เห็น ชีวิตของเขาคงต้องจบสิ้นแล้ว ตอนนั้นข้านึกว่าพี่หลิวอีกำลังล้อเล่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากข้าตื่นมาในตอนเช้า ข้ากลับตามหาเขาไม่เจอ ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าที่แท้พี่หลิวอีก็หายตัวไป เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับบันทึกชีพจรของฮ่องเต้อย่างแน่นอนขอรับ”
ทั้งที่อายุยังไม่มากแท้ๆ แต่กลับพูดคำโป้ปดออกมาเป็นตุเป็นตะโดยไม่เผยพิรุธเลยแม้แต่น้อย หลินเมิ้งหยาชื่นชมในการแสดงของเสี่ยวเฟิงยิ่งนัก
เหอเทียนมองเสี่ยวเฟิงอย่างสงสัย ราวกับว่ากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในคำพูดของเขา