ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 331 วิธีถอนพิษ
เวลาไม่คอยท่า แม้วันนี้หลินเมิ้งหยาจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นนางก็มิอาจปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป
โดยเฉพาะภายในวังหลวงที่มีความคลุมเครือ อีกทั้งนางยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะวางแผนเช่นไรต่อไป
“ข้าจะบอกรายการยาถอนพิษกับเจ้าหนึ่งอย่าง เจ้าห้ามให้ฮ่องเต้เสวยยาใดๆ อีก ยาที่ข้าจะให้มีไว้สำหรับอาบเท่านั้น อุณหภูมิของน้ำต้องร้อนจึงจะสามารถขับพิษในร่างกายของฮ่องเต้ออกมาได้”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
วิธีที่ใช้เหมาะกับร่างกายของฮ่องเต้ในเวลานี้ที่สุด แต่ถ้าหากคิดจะถอนพิษทั้งหมดออกจากร่างกาย เกรงว่าร่างกายของฮ่องเต้จะฟื้นฟูกลับไปได้เหมือนร่างกายเมื่อห้าปีก่อนแต่เพียงเท่านั้น
โชคดีที่ชิวอวี้และนางในข้างกายของฮ่องเต้ล้วนมีความจงรักภักดี
มิเช่นนั้นหากนางปรุงยาถอนพิษขึ้นมา คาดว่าร่างกายของฮ่องเต้คงมิอาจรับไหว
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่มีวันบอกให้ใครรู้เรื่องตำรับยาเป็นอันขาด”
หลินเมิ้งหยาไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าคนของสำนักหมอหลวงจะล่วงรู้สูตรยาเหล่านี้
เหตุเพราะชิวอวี้เล่าว่ายาที่ใช้กับฮ่องเต้มิได้มาจากสำนักหมอหลวง
แม้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้จะสลบไสลไม่ฟื้น แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังมีคนออกไปทำแทน
ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกวางใจ
“คาดว่าหลังจากที่ข้าออกจากที่นี่ไปในวันนี้ ข้าคงไม่อาจหาโอกาสกลับเข้ามาในตำหนักนี้ได้ง่ายๆ อีก หากแผนการเป็นไปอย่างราบรื่น คาดว่าอีกไม่กี่วันข้าจะสามารถออกจากวังหลวงได้แล้ว เมืองหลวงมีร้านยาชื่อร้านสามสหาย หากเจ้าต้องการพบข้า เช่นนั้นจงไปที่นั่นและขอพบท่านลุงป๋าย เขาจะจัดการทุกอย่างให้เอง”
หลินเมิ้งหยากระซิบบอกชิวอวี้เสียงเบา
อยู่ๆ ภายในตำหนักของฮ่องเต้พลันเกิดเสียงชามแตกขึ้น ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปดู ก่อนจะพบป๋ายซูซึ่งมีสีหน้าไม่เป็นมิตรนักกำลังจ้องนางในคนหนึ่งที่กำลังหดตัวด้วยความหวาดกลัว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วแน่นขณะมองเหตุการณ์เบื้องหน้า
ชามยาแตกละเอียดแทบเท้าของป๋ายซู แม้แต่กระโปรงสีดอกบัวเองก็เปรอะเปื้อนด้วยยา
ราวกับนางในคนนั้นต้องการหาคนช่วยเหลือ นางรีบวิ่งเข้าไปหลบด้านหลังชิวอวี้ ก่อนจะจับแขนเสื้อของเขาแน่นราวกับกำลังหวาดกลัวป๋ายซูเป็นอย่างมาก
“หนู่…หนู่ปี้ไม่ทันระวังก็เลยชนเข้ากับแม่นางคนนี้เจ้าค่ะ ใต้เท้าชิว หนู่ปี้มิได้ตั้งใจนะเจ้าคะ”
นางในเอ่ยเสียงสั่น ทว่านางกลับหลบตามิกล้าสบตากับป๋ายซู
“ไม่เป็นไร คราวหน้าเจ้าจงระวังให้ดี ป๋ายซู เจ้าจงตามข้ามา”
หลินเมิ้งหยาเรียกป๋ายซูออกมาถามไถ่เรื่องราว
บางทีอาจเพราะนางในคนนั้นทำยาหกใส่ป๋ายซู ฉะนั้นสีหน้าของป๋ายซูจึงเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“เจ้านี่หนา นางในคนนั้นหาได้ตั้งใจไม่ เหตุใดเจ้าต้องโกรธนางด้วยเล่า?”
หลินเมิ้งหยาบ่นป๋ายซูเล็กน้อยขณะนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องชั้นนอก
แต่ถึงกระนั้นนางก็หยิบยาเพื่อเตรียมทำแผลที่ถูกยาลวกใส่ให้กับป๋ายซู
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง นี่เป็นเพียงบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ข้าทำเองก็ได้เจ้าค่ะ”
มองหลินเมิ้งหยาที่กำลังจะยื่นมือเข้ามาจับขาของตนเอง ป๋ายซูรีบบอกปัด ก่อนจะรีบเข้าไปหยิบยาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“เจ้าเด็กนี่ ระหว่างพวกเรายังมีเรื่องให้ต้องเกรงใจกันอีกหรือ? เจ็บหรือไม่?”
สาวใช้ของนางจะไม่เจ็บได้อย่างไรเล่า
แต่เพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาทำได้เพียงปล่อยให้สาวใช้ของตนเองต้องแบกรับความน้อยใจเอาไว้
โชคดีที่ป๋ายซูไม่ใช่คนขี้น้อยใจ
ไม่นานสีหน้าของนางก็ดีขึ้น มิได้เย็นชาดุจเจ้าหญิงหิมะเหมือนเมื่อครู่
“นายหญิง อาการของฮ่องเต้ยังสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายซูเริ่มบีบนวดลำตัวให้หลินเมิ้งหยา ก้มหน้ามองดูเจ้านายที่กำลังขีดเขียนรายชื่อยา แม้จะไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นก็เอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าจะเป็นการให้ยาแก่ม้าที่กำลังจะหมดลมหายใจหรือไม่”
คราวนี้แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็หาได้มีไพ่ตายอันใดไม่
แต่ถึงกระนั้นนางกลับยังรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง
เหตุเพราะร่างกายของฮ่องเต้มีปริมาณยาพิษค่อนข้างมาก นั่นหมายความว่ายาพิษที่ถูกใช้ในตอนแรกมีเพียงไม่กี่อย่าง
แต่…ทำไมนางจึงรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ
หากพิจารณาวิธีการของฝ่ายตรงข้าม คนผู้นั้นสามารถใช้ยาอีกชนิดเพื่อนำมาผสมผสานกับยาชนิดก่อนหน้าได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ทว่าคนที่ระมัดระวังเช่นนั้นทำไมถึงใช้ยาอีกชนิดซึ่งมีฤทธิ์แบบเดียวกันแต่สูตรยาไม่เหมือนกันเล่า?
วิธีนี้ไม่ต่างอะไรจากการเพิ่มยาเข้าไปอีกเท่าตัว หากคนผู้นั้นคิดจะเอาชีวิตของฮ่องเต้ เช่นนั้นอีกฝ่ายทำเพียงเพิ่มปริมาณยาเข้าไปก็ได้นี่นา?
อยู่ๆ ความคิดบางอย่างพลันแล่นวาบขึ้นในสมอง หรือคนวางยาจะมิใช่คนคนเดียวกัน?
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าความคิดของตัวเองบ้าบอจนเกินไป
ฮ่องเต้หาใช่ไก่อ่อน อีกทั้งยังมีองครักษ์มากความสามารถมากมาย การวางยาหาใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้ง่ายๆ
ขณะที่กำลังจะไขข้อข้องใจ นางกลับถูกความสงสัยอีกอย่างโจมตี
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ดูเหมือนเรื่องของคนในราชวงศ์จะซับซ้อนเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้
เพ่งสมาธิเขียนรายชื่อยาให้ชิวอวี้อีกครั้ง หลังจากเขาตรวจสอบรายชื่อยาอย่างละเอียดแล้ว นางจึงเผากระดาษใบนั้นทิ้ง
“เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเรากลับกันเถิด คืนนี้ควรจะเป็นเวรยามของข้า แต่คาดว่าพวกซูถงจะต้องรั้งข้าไว้เพื่อเค้นถามเรื่องในวันนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะตอบว่าเจ้าเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับพวกเขา เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย คาดว่าสองสามวันต่อจากนี้ชีวิตของเจ้าน่าจะไม่ราบรื่นเท่าไรนัก”
หลินเมิ้งหยาเห็นด้วยกับคำพูดของชิวอวี้
ผงกศีรษะลง ก่อนจะหันไปมองประตูห้องของฮ่องเต้อีกครั้ง
ไม่รู้ว่าหลงเทียนอวี้จะรู้ข่าวว่านางได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วหรือไม่
หากเขารู้ เขาจะต้องคอยคุ้มกันความปลอดภัยของนางอย่างแน่นอน
สมองพลันเต็มไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึมหล่อเหลาของเขา
นางใกล้จะได้เจอเขาแล้วใช่หรือไม่?
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หัวใจพลันรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ณ กรมกลาโหม
ชุดสีเท้าปักดิ้นทองลายเมฆยับยู่ยี่เล็กน้อย
มงกุฎทองครอบศีรษะเอนเอียง
มือกำจดหมายฉบับหนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาคมกริบสีดำขลับจ้องเนื้อหาในจดหมายทุกตัวอักษร
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แขนยาวสวยจะเหยียดออกแล้วยื่นมือเข้าไปหยิบพู่กันจุ่มหมึกเพื่อเขียนข้อความลงไป
ช่วงเวลาที่ผ่านเลยไป เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองอยู่ในท่าทางเช่นนี้นานขนาดไหนแล้ว
หลงเทียนอวี้ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะจัดการเอกสารเกี่ยวกับกองทัพทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้จนเสร็จ มือหนายกขึ้นนวดคลึงดวงตาที่อ่อนล้า เขามิได้พักสายตามาเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
“ท่านอ๋องพักสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลินขุยยกถ้วยชามาวางลงบนโต๊ะ
สายตาที่กำลังมองหลงเทียนอวี้เปี่ยมไปด้วยความกังวล ทว่าหลงเทียนอวี้กลับทำเพียงพยักหน้าลง แต่ไม่เงยหน้ามองเขาเลยแม้แต่น้อย
“จริงสิ วันนี้มีข่าวอะไรจากทางวังหลวงบ้าง?”
เสียงทุ้มต่ำแหบแห้งเพราะความเหนื่อยล้า
หลินขุยรีบตอบคำถามทันที
“เมื่อคืนวังหลวงเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ได้ยินมาว่ากองฝ่ายในเกือบถูกเผาจนวอดวายพ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่กองฝ่ายในอยู่ห่างจากเรือนของพระชายาค่อนข้างมาก วันนี้พระชายาได้เข้าเฝ้าเพื่อถวายการตรวจชีพจรแก่ฮ่องเต้แล้ว คาดว่าเวลานี้น่าจะกลับถึงเรือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อยู่ๆ มือที่กำลังจับพู่กันพลันชะงัก
ทว่าอีกวินาทีต่อมาจึงกลับมาขยับตามเดิม
“อืม จงคอยอารักขาพระชายาให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปรับนางกลับ”
ท่านอ๋องที่ยังคงสงวนท่าทีดังเดิมทำให้หลินขุยอดถอนหายใจไม่ได้
ตอนแรกคิดว่าข่าวของพระชายาจะทำให้ท่านอ๋องหยุดพักผ่อนได้เสียอีก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะยังทำงานไม่หยุดเช่นนี้
หลินขุยส่ายหน้า เขาทำได้เพียงเดินออกไปข้างนอกเงียบๆ
บรรยากาศภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
พู่กันในมือของหลงเทียนอวี้หยุดลง
ดวงตาที่เริ่มแดงก่ำเพราะอาการอ่อนล้าหันไปมองด้านนอกหน้าต่าง
กรมกลาโหมมีเพียงผู้ชายที่กำลังเดินเข้าออก
บริเวณสวนมีเพียงต้นหญ้า
แต่เพราะมีคนมากมาย ฉะนั้นจึงสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมนุษย์ ไม่เหมือนกับจวนของเขาที่นับวันก็ยิ่งว่างเปล่า
แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าในตำหนักหลิวซินเองก็โรยราเหี่ยวเฉา
หากหลินเมิ้งหยากลับมา…
มุมปากพลันยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากนางกลับมา เช่นนั้นจวนของเขาก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งใช่หรือไม่?
เป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขารู้สึกมีความหวัง
เมื่อเทียบกับความวุ่นวายในช่วงเช้าแล้ว สำนักหมอหลวงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ทว่าซูถงที่แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บสั่งให้ลูกน้องของตนไปยืนเฝ้าหน้าประตูเพื่อรอรับการกลับมาของหลินเมิ้งหยา
“พระชายาลำบากแล้ว กระหม่อมทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ฉะนั้นพระชายาจึงต้องลำบาก”
ซูถงรีบเข้าไปต้อนรับขับสู้ แต่เขากลับไม่ถามเรื่องการตรวจชีพจรของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มงดงาม แต่กลับไม่เอ่ยสิ่งใด
เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตนนี้คิดจะใช้จิตวิทยากับนางอย่างนั้นหรือ?
“เข้ามา รีบไปเตรียมชาเร็วเข้า”
แม้จะได้เจอเข้ากับไม้อ่อน แต่ถึงกระนั้นซูถงก็ไม่รู้สึกโกรธเคือง
นี่เป็นข้อดีของเขา แม้เขาจะเป็นถึงเจ้าสำนักหมอหลวง แต่เขาสามารถระงับอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้ภายใต้รอยยิ้มเสมอ
ฉะนั้นคนแบบนี้จึงน่ากลัวที่สุด
“ไม่จำเป็น ข้าขอเล่าผลการตรวจชีพจรของฮ่องเต้ให้พวกใต้เท้าฟังก่อนดีกว่า ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากทำให้พวกใต้เท้าต้องเสียเวลาในการรักษาผู้ป่วย”
ชิวอวี้เล่าให้นางฟังระหว่างทางแล้วว่าหลังจากตรวจชีพจรของฮ่องเต้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจะต้องกลับมารายงานผลการตรวจให้กับพวกหมอหลวงระดับสูงรู้
จากนั้นจึงเขียนพระอาการของฮ่องเต้ในปัจจุบันลงบันทึกการตรวจชีพจร
สิ่งที่หลินเมิ้งหยาอธิบายไปคือพระอาการของฮ่องเต้เป็นปกติ แม้จะไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง
หลังจากฟังคำพูดของนางจบ ทุกคนล้วนแสดงสีหน้าประหนึ่งว่าเดาเอาไว้แล้วว่านางจะต้องเอ่ยเช่นนี้
จนกระทั่งนางเขียนบันทึกลงไป พร้อมทั้งลงชื่อของตนเอง ซูถงจึงผุดรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็มองไม่เห็นเจตนาดีของเขา