ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 338 เปิดฉากต่อสู้ทั้งที่ลับและที่แจ้ง
มันคือเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้อย่างเนิ่นนานอย่างนั้นหรือ?
จนกระทั่งตอนนี้ชิวอวี้ยังคงไม่สามารถลืมภาพนางที่ใช้มือกุมมีดแหลมคมเอาไว้แน่นได้
แม้ภายนอกนางจะแสดงออกถึงความเข้มแข็งมากขนาดไหน แต่สุดท้ายมนุษย์ก็มิอาจอดทนอดกลั้นได้ตลอดไป
สายตาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด
“นอนหลับเถิดหนา บางทีหากตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดอาจเลือนหายไป”
ส่งเสียงปลอบโยนโดยไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาจะได้ยินหรือไม่ เหตุเพราะใบหน้านวลยังคงเหมือนเดิม
ชิวอวี้ถอนหายใจก่อนจะลุกเดินออกจากห้อง
ด้านนอกประตู ร่างในชุดขาวลออ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูธรรมดาทว่าเคร่งขรึมยืนรอเขาอยู่ด้านนอก
เจ้านายเพียงคนเดียวที่คนผู้นั้นกำลังรอปรากฏตัว
“คุณชายรอง ทางบ้านส่งข่าวมาว่าหากภายในครึ่งปียังหาไม่พบ เช่นนั้นคุณชายใหญ่จะมาพาตัวท่านกลับไป”
เก็บซ่อนสีหน้าอ่อนโยน ตอนนี้ชิวอวี้เผยเพียงท่าทางเย็นชาน่าเกรงขาม
ดวงตาคู่นั้นทำเพียงเหลือบมองลูกน้องครั้งหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้คนคนนั้นเบาเสียง
“ข้าจัดการเรื่องของข้าเองได้ พี่ใหญ่เพียงส่งพวกเจ้ามาส่งข่าว หาใช่ส่งพวกเจ้ามาจับตามองข้าไม่ จงปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาใกล้เรือนแห่งนี้ได้ เข้าใจหรือไม่?”
ลูกน้องที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบรับโดยไร้เสียง ก่อนจะออกไปปฏิบัติภารกิจ
ไม่นาน เหล่าผู้คนในชุดขาวต่างไปแฝงตัวตามจุดต่างๆ ของสวน
ชิวอวี้ยืนอยู่กลางสวน สีหน้าลำบากใจ
ตอนแรกคิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้างในวังหลวง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพยายามโดยเสียเปล่ามานานหลายปี
ไม่ บางทีอาจมีเบาะแสบางอย่าง
จ้องประตูห้องนอนนิ่ง ชิวอวี้ส่ายหน้า ก่อนจะไปต้มยาให้หลินเมิ้งหยาด้วยตัวเอง
หลินเมิ้งหยาที่กำลังหลับใหลไม่ฟื้นมิอาจรู้เลยว่าตนเองสร้างความโกลาหลให้เมืองหลวงมากมายขนาดไหน
อันดับแรกคือทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวง พวกเขาได้รับโทษสถานหนัก บ้างก็ตาย บ้างก็ติดคุก จากนั้นคือผู้รับผิดชอบแต่ละพื้นที่ พวกเขาล้วนถูกสอบสวนและลงโทษ
การปล้นสะดมและถูกจับกุมถูกจัดฉากขึ้นในต้าจิ้น
แม้พวกหัวหน้าผู้รับผิดชอบจะถูกจับกุม แต่ก็มิต่างอันใดจากการดึงแครอทออกจากโคลน ทว่าคราวนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เหล่าหัวหน้าผู้บังคับบัญชาทั้งหลายจึงกลายเป็นรูปปั้นดินเผา
แม้เหล่าราษฎรจะปรบมือชื่นชม แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าชีวิตของผู้คนเหล่านั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าเหตุที่ราชสำนักวุ่นวายเช่นนี้ก็เพราะการหายตัวไปของผู้หญิงเพียงคนเดียว
แม้จะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่สายลมนอกห้องยังคงหนาวเหน็บ
ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ดูเหมือนจะยาวนานกว่าทุกปี
ภายในห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้ หลงชิงหานสวมชุดสีฟ้าปักลายเมฆสีเงิน
เส้นผมสีดำขลับถูกแต่งทรงอย่างถูกต้องตามระเบียบ มงกุฎบนศีรษะขับให้ชุดของเขามีสีสันมากขึ้น
แต่เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ทำให้ชายผู้มอบความอบอุ่นให้แก่หญิงสาวน่ารักทั้งหลายมิอาจปลีกตัวออกไปจากที่นี่ได้
“พี่สาม ห้องอ่านหนังสือของท่านเย็นยะเยือกเกินไปแล้ว ข้าว่าตำหนักของพี่สะใภ้บรรยากาศไม่เลว เช่นนั้นท่านย้ายไปอยู่ที่นั่นสักสองสามวันดีหรือไม่?”
พ่อบ้านเติ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้องค์ชายเจ็ดเข้าจวนมา
บัดนี้ไม่มีใครในจวนกล้าเอ่ยถึงพระชายา
ทว่าองค์ชายเจ็ดที่เพิ่งมาถึงกลับไม่พูดเรื่องอื่น แต่กลับเอ่ยถึงพระชายาโดยตรง
เฮ้อ พ่อบ้านเติ้งรู้สึกเหนื่อยใจ หากเป็นแต่ก่อน ท่านอ๋องจะต้องถลึงตาใส่องค์ชายเจ็ด จากนั้นจึงโยนงานยากให้เขาไปจัดการ
หลงชิงหานที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายจ้องพี่สามของตนด้วยดวงตาสดใส
วันนี้พวกขุนนางฝั่งไท่จื่อล้วนถูกตรวจสอบ ฉะนั้นพวกเขาจึงร้อนใจประหนึ่งมดที่กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนกระทะร้อนฉ่า หากโจมตีคนเหล่านั้นในเวลานี้ บางทีพวกเขาอาจดึงไท่จื่อลงมาจากตำแหน่งได้ก็เป็นได้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพี่สามจึงสั่งให้หยุดภารกิจในช่วงเช้า
แม้คนของไท่จื่อจะไม่มีหลักฐานว่าหลงเทียนอวี้เป็นผู้ก่อเรื่องนี้ แต่เขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะพี่สามส่งข้อมูลการทุจริตให้แก่ผู้ตรวจการท้องที่ตรวจสอบ เช่นนั้นพวกเขาจะถูกกำจัดทีละคนได้เช่นไร?
ตอนนี้พวกคนทุกจริตล้วนถูกสอบปากคำ ครุ่นคิด บางทีพวกเขาคงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเอกสารการค้าลับจึงตกอยู่ในมือแม่ทัพของวังหลวง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกหัวหน้าองครักษ์ล้วนได้เห็นเอกสารเหล่านั้นพร้อมกันด้วย
หลงชิงหานสะบัดพัดในมือดัง “พรึ่บ” เพื่อปกปิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของตนเอง
เขารู้อยู่แล้วว่าพี่สามที่อดทนมาตลอดหลายปีจะต้องมีอำนาจในการโค่นไท่จื่อ
ทว่าพี่สามกลับไม่มีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง
หากมิใช่เพราะเสด็จพ่อประชวรกะทันหัน เกรงว่าพี่สามคงไม่ถูกไท่จื่อบีบบังคับจนต้องลงมือทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
หลงชิงหานรู้สึกว่าเรื่องราวกำลังสนุกสนานยิ่งขึ้น
หากคราวนี้ไท่จื่อถูกต้อนจนจนมุมแล้วล่ะก็ เช่นนั้นไม่รู้ว่าองค์ชายองค์ใดจะได้ขึ้นครองตำแหน่งองค์รัชทายาท!
ทว่า….
หลงชิงหานและพ่อบ้านเติ้งล้วนมองอากัปกิริยาของหลงเทียนอวี้ด้วยความสงสัย
แปลก เหตุใดจนกระทั่งตอนนี้พี่ชายของเขาจึงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อเรื่องนี้กันเล่า?
เขาทำเพียงนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือและก้มหน้าอ่านเอกสาร
แม้หลงเทียนอวี้จะกำลังก้มหน้าอ่านเอกสาร แต่หัวใจของเขากลับเย็นเฉียบ
เขาไม่รู้กระทั่งว่าตนเองหยิบเอกสารมาตั้งแต่ตอนไหน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เข้าใจเนื้อหาในเอกสารเลยแม้แต่น้อย
เสียงของหลินเมิ้งหยายังคงรบกวนอยู่ในสมองของเขาตลอดเวลา
ตลอดหลายวันมานี้เขาทำให้คนทั้งเมืองหลวงแตกตื่น แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสของหลินเมิ้งหยา
เขามั่นใจว่านี่คือการประกาศสงครามของไท่จื่อ
เหตุเพราะหลงเทียนอวี้มั่นใจว่าคนของไท่จื่อเป็นผู้ลักพาตัวหลินเมิ้งหยาไป
มิเช่นนั้นจะมีใครรู้อีกว่าหลินเมิ้งหยาออกจากวังในวันนั้น? หากไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นของไท่จื่อ เช่นนั้นจะมีใครสั่งให้คนติดตามพวกเขา
หากมิใช่เพราะเขาหวังดีจึงผละตัวออกจากหลินเมิ้งหยาเพื่อไปซื้อโคมไฟแล้วล่ะก็ เช่นนั้นนางคงไม่ถูกลักพาตัวไป
บัดซบ! เขาประมาทเอง เขาทำให้หลินเมิ้งหยาต้องตกอยู่ในอันตราย
“พี่สาม มันคืออะไรหรือ? หรือยังมีสิ่งใดบนโลกใบนี้สามารถทำให้พี่สามของข้าลำบากใจได้?”
หลงชิงหานประหลาดใจ ขณะที่คิดจะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารฉบับนั้น แต่กลับถูกหลงเทียนอวี้ฉีกออกเป็นชิ้นๆ
หลงชิงหานรีบชักมือกลับ ทว่าเขาส่งสายตาฉงนงงงวยจ้องมองหลงเทียนอวี้
พี่สามของเขาไม่เหมือนเดิม
ลุกขึ้น หลงเทียนอวี้เดินไปยืนข้างหน้าต่าง
แม้คนของไท่จื่อจะยังคงแสดงท่าทางเป็นปกติ แต่ใครจะรู้ว่าป่านนี้พวกเขาคงร้อนรนจนแทบขาดใจตาย
ฉะนั้นการทำให้พวกเขาตกอยู่ในที่นั่งลำบากตอนนี้หาใช่เพราะเรื่องการหายตัวไปของหลินเมิ้งหยาเพียงอย่างเดียว
หลังจากรู้ข่าวว่าอาการของเสด็จพ่อย่ำแย่มากขึ้นทุกวัน เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมการเอาไว้ มิเช่นนั้นพวกหมาจิ้งจอกเหล่านั้นคงได้ใจ
“ชิงหาน เจ้ายังจำสิ่งที่เสด็จพ่อเตือนยามที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ครั้งสุดท้ายได้หรือไม่?”
หลงชิงหานเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาเปล่งประกาย
“คาดว่าไท่จื่อและฮองเฮาคงอดใจรอไม่ไหว หากเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อ เกรงว่าต้าจิ้นคงต้องผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว”
น้อยครั้งนักที่หลงเทียนอวี้จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหตุเพราะเขาไม่เคยนึกอยากเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์
เมื่อเทียบกับตำแหน่งสูงสุดในราชสำนักและใต้หล้า เขาพึงพอใจที่จะเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบมากกว่า
แต่เขาหาใช่ผู้กำหนดโชคชะตาไม่
“ไม่มีทาง ขอเพียงพวกเรายังอยู่ สองแม่ลูกคู่นั้นไม่มีทางสมปรารถนา แต่ในเมื่อพี่สามรู้แล้วว่าคนเหล่านั้นมิอาจยับยั้งชั่งใจได้ เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงสั่งให้หยุดมือเล่า?”
หัวใจของหลงเทียนอวี้สั่นไหว อันที่จริงจดหมายฉบับนั้นเขียนเอาไว้ชัดเจนแล้ว
เหตุที่ไท่จื่อส่งมันมาในเวลานี้นั่นก็เพราะเขาต้องการจะบอกว่าหากเขาหยุด เช่นนั้นไท่จื่อจะปล่อยหลินเมิ้งหยาไป
บางทีจดหมายฉบับนี้อาจหมายถึงกลอุบายเชิญท่านลงโอ่งก็เป็นได้
แต่หลงเทียนอวี้รู้ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เขาจำต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มิใช่เวลาที่จะปล่อยให้ไท่จื่อและฮองเฮาทำตามปรารถนาได้
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเราจะเข้าไปแทรกแซง การออกว่าราชการของไท่จื่อและฮองเฮาตลอดหลายปีที่ผ่านมาสร้างความไม่สงบให้แก่ราชสำนักนานแล้ว แต่พวกเขายินยอมที่จะกุมอำนาจของคนส่วนใหญ่เอาไว้ในมือ ตอนนี้เรื่องบางอย่างถูกเปิดเผยออกมาแล้ว แม้ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไป คาดว่าจะต้องมีคนอาศัยจังหวะนี้สั่นคลอนอำนาจพวกเขาอย่างแน่นอน”
จะให้เขาหยุดอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง!
หลงเทียนอวี้รู้ซึ้งถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของคนเหล่านั้นดี หากเขายอมปล่อยให้พวกมันนำความปลอดภัยของหลินเมิ้งหยามาข่มขู่ได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นพวกมันจะต้องรู้ว่าหลินเมิ้งหยาเป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเขา
เมื่อถึงเวลานั้นก็คงไม่มีทางปล่อยหลินเมิ้งหยาไปอย่างแน่นอน
ฉะนั้นเขายังต้องเดินหน้าขจัดสิ่งกีดขวางต่อไปจึงจะทำให้หลินเมิ้งหยาปลอดภัย
มือหนากำแน่น หวังว่าพวกเย่จะพาหลินเมิ้งหยากลับมาอยู่ข้างกายเขาอย่างปลอดภัย