ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 339 จักจั่นลอกคราบ
หลินเมิ้งหยาหลับใหลไม่ได้สติราวสี่วัน
ตลอดระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่กลับไม่มีเรื่องไหนสามารถทำให้คนที่กำลังนอนหลับรู้สึกอยากตื่นขึ้นมาได้
นับตั้งแต่วันที่อุ้มหลินเมิ้งหยากลับมา ชิวอวี้มักจะเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
ถอนหายใจบ่อยครั้ง สายตาจ้องมองร่างซูบผอมของหลินเมิ้งหยา ในทุกๆ วันเขาทำได้เพียงพยายามทำให้หลินเมิ้งหยากลืนยาลงไปแต่เพียงเท่านั้น
อันที่จริงเขาเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ท่านอาจารย์เคยบอกว่ามนุษย์คือสิ่งเปราะบางมากที่สุดในจักรวาล
คนบางคนเส้นผมกลายเป็นสีขาวโพลนหลังจากเจอเรื่องทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส ช่างแตกต่างจากเนื้อหาในหนังสือที่เขียนว่าหัวใจมักเป็นนายของร่างกายเสมอ
อย่างเช่นหลินเมิ้งหยาที่กำลังนอนหลับอยู่ในเวลานี้ อันที่จริงการรับรู้ของนางยังคงตื่นอยู่
บางทีนี่อาจเป็นกลไกการป้องกันตัวเองของนาง
ทว่าชิวอวี้กลับเชื่อใจหลินเมิ้งหยา นางไม่ใช่คนหนีปัญหา หากนางครุ่นคิดจนเข้าใจและยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ เช่นนั้นนางจะฟื้นขึ้น
“รีบฟื้นขึ้นมาเถิด เจ้ารู้หรือไม่ว่าบัดนี้เมืองหลวงกำลังร้อนเป็นไฟเพราะเจ้า แม้กระทั่งที่นี่เองก็ถูกจับตามองแล้ว หากเจ้ายังไม่ฟื้น เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าออกไปได้เช่นไรเล่า”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่สีหน้าของชิวอวี้กลับผ่อนคลาย
เขาซื้อคฤหาสน์หลังนี้เพื่อสร้างเป็นที่พักอาศัยส่วนตัว
การถูกตรวจสอบย่อมเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะหาใช่หลงเทียนอวี้
เท่าที่คำนวณดู เหตุการณ์วุ่นวายในต้าจิ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาจะต้องเกี่ยวข้องกับหลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน
มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อยอย่างนึกสนุก สุดท้ายหลงเทียนอวี้ก็หาใช่คนธรรมดาไม่ เหตุการณ์ในคราวนี้แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง
อ๋องอวี้จุดเชื้อเพลิงกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อสั่นคลอนอำนาจของพวกขุนนางเหล่านั้น ไม่รู้ว่าการโจมตีในคราวนี้จะได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่
ส่ายหน้า เรื่องนี้หาใช่สิ่งที่เขาต้องใส่ใจ
ตอนนี้ที่เขาควรทำคือทำให้หญิงสาวตรงหน้าฟื้นขึ้นมาก่อน
“เจ้านี่หนา เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองกำลังเป็นต้นตอของเรื่องนี้ หรือว่า….”
สายตาพลันเปล่งประกาย หากเรื่องนั้นเป็นความจริง บางทีเขาควรคิดเรื่องแอบพาหลินเมิ้งหยาที่กำลังสลบไสลกลับบ้านไปเสียตั้งแต่ตอนนี้
ทว่าเมื่อนึกถึงวิธีการและความแค้นเคืองของนาง เขาไม่อยากทำให้คนที่บ้านต้องล้มตายอย่างอเนจอนาถ เช่นนั้นเขาควรรอให้แม่นางท่านนี้ตื่นขึ้นมาจะดีเสียกว่า
ราวกับพายุได้พัดผ่านไปแล้ว ความสามารถในการรับรู้ของหลินเมิ้งหยาเริ่มตื่นขึ้น
เหตุเพราะความผันผวนทางอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ระบบเซินหนงจึงทำให้เส้นประสาทในสมองของนางกลายเป็นอัมพาต ฉะนั้นนางจึงนอนหลับไม่ฟื้นอยู่หลายวัน
ด้านหน้า แสงเรืองรองสบายตาปรากฏตัวอักษรคำว่า “เริ่มต้นใหม่” ขึ้น
หลินเมิ้งหยาชะงัก นางไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน
นางควรเผชิญหน้าต่อ? หรือหลับไปเช่นนี้ดีนะ?
ครุ่นคิด สุดท้ายก็กดตกลง
ความรู้สึกอ่อนแรงถูกกระตุ้นจนประสาทสัมผัสทั้งหมดของหลินเมิ้งหยากลับมาทำงานอีกครั้ง
พยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น กวาดสายตามองโลกภายนอก โลกใบนี้สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้แก่นาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่นางมิอาจละทิ้งไปได้
ไม่ว่าท่านพ่อ พี่ชาย หรือพวกสาวใช้ทั้งสามและ….
ยังมีใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่อาจลบไปจากใจได้อีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินเมิ้งหยาพบว่าตนเองตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นเข้าเสียแล้ว!
แกว่งเท้าหาเสี้ยน หลินเมิ้งหยาเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนเอง
ชอบก็คือชอบ ส่วนคุณหนูหลินหลางคนนั้น….
ฟังดูเหมือนคุณหนูหัวโบราณจำพวกไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง นี่หรือว่านางที่เป็นนักเรียนอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยจะมิอาจเทียบได้กับคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนนั้น?
ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือฮ่องเต้ หากนางคิดจะจับ นางก็จะไม่มีวันปล่อยมือ!
สายตาของชิวอวี้ยังคงจ้องหญิงสาวบนเตียงตาไม่กระพริบ
เอ๋? นางเพิ่งตื่นมิใช่หรือ? เหตุใดสายตาของนางจึงทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านเช่นนี้เล่า
“มองอะไร? เจ้าคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นหมอกระนั้นหรือ? ไม่เคยเห็นฉากคนป่วยที่เพิ่งตื่นและต้องการดื่มน้ำในทีวีหรืออย่างไร?”
ส่งเสียงแหบแห้งแต่กลับหยิ่งยโสออกมา
ขณะเดียวกัน ชิวอวี้เสมือนคนเพิ่งดึงสติกลับมาได้ เขารีบลุกขึ้นแล้วหยิบแก้วชาส่งให้
“น้ำ…ให้เจ้า แต่…ทีวีคือสิ่งใดหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน”
หลินเมิ้งหยาขี้เกียจอธิบาย คาดว่าเพียงพูดถึงไดโอดคงต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อทำให้เขาเข้าใจ
ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งจะฟื้น หากพูดมากไปอาจทำให้เหนื่อยจนตาย
“ไม่มีอะไร แต่ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลินเมิ้งหยายกนิ้วมือเรียวยาวขึ้นนวดขมับ
แม้แต่ชิวอวี้เองก็พูดไม่ออก เหตุเพราะ…
“เจ้ากำลังจะบอกว่าหลงเทียนอวี้คิดว่าข้าถูกไท่จื่อลักพาตัวไปก็เลยคลั่งขึ้นมา
คลั่ง? แม้ชิวอวี้จะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของมัน แต่ก็ผงกศีรษะลงเบาๆ
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่สั่งให้คนไปส่งข่าวแก่หลงเทียนอวี้ว่าข้าอยู่ที่นี่เล่า?”
ชิวอวี้มองหลินเมิ้งหยา ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่กล้าบอกว่าเหตุผลที่แท้จริงก็เพราะเขาอยากดูละครสนุกๆ
“เจ้าคิดว่าหลงเทียนอวี้จะสงสัยในตัวเจ้าและตรวจสอบตัวตนของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของหลินเมิ้งหยา ชิวอวี้ครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าลง
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเราถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว มีคนจับตามองพวกเราอยู่ใช่หรือไม่?”
ชิวอวี้ลังเล แต่ก็พยักหน้าลง
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ตบหน้าผากของตนเองแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
สวรรค์โปรด เหตุใดนางต้องตื่นมาเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้ด้วยนะ!
“เฮ้อ ข้ากลายเป็นต้นตอของหายนะครั้งใหญ่ไปเสียแล้ว สวรรค์โปรด เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร! ตอนนี้พวกเรายังออกไปได้หรือไม่? ข้าอยากกลับจวนตอนนี้เลย”
หลินเมิ้งหยาอยากลุกขึ้นจากเตียง แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพราะอาการมึนหัว
“แม่นางเอ๋ย ตอนนี้คฤหาสน์แห่งนี้มีทั้งหมาป่าและเสือ อย่าว่าแต่กลับจวนอวี้เลย หากเจ้าโผล่หน้าออกไปนอกประตู เกรงว่าจะถูกอุ้มหายไปในทันที”
ชิวอวี้ส่งเสียงไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป อันที่จริงเขาหาได้หมดหนทางที่พาหลินเมิ้งหยาออกไปไม่
ทว่าหากเขาทำเช่นนั้น เกรงว่าตัวตนของเขาอาจถูกเปิดเผย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยความจริงทุกอย่างให้หลินเมิ้งหยาฟัง
หลังจากหลินเมิ้งหยาส่งสายตาอาฆาตให้กับชิวอวี้แล้ว นางทำได้เพียงนอนนิ่งบนเตียงเพื่อพักผ่อนและวางแผน
“เจ้าบอกว่าคฤหาสน์แห่งนี้ยังไม่มีคนของพวกเขาใช่หรือไม่?”
นานกว่าหลินเมิ้งหยาจะเอ่ยออกมา
ชิวอวี้รีบผงกศีรษะลง ก่อนจะรายงานสถานการณ์ที่เขาสอดแนมให้หลินเมิ้งหยาฟังอย่างละเอียด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรามาเล่นเกมจักจั่นลอกคราบกับพวกเขาดีหรือไม่?”
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย
“เกรงว่าจะไม่ง่าย คนเหล่านั้นเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา หากพวกเขาพบตัวเจ้าคงจะแย่แน่ สู้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่จะดีกว่า ข้าเชื่อว่าหลงเทียนอวี้จะต้องไม่เพิกเฉยเจ้าอย่างแน่นอน”
เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังถูกเล่าต่อๆ กันมา
ทุกคนล้วนถกเถียงกันว่าช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่อ๋องอวี้ผู้เย็นชาปกป้องพระชายาอย่างสุดความสามารถ
แต่คนที่รู้จักหลินเมิ้งหยาล้วนรู้ดีว่าอันที่จริงนางสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
“ไม่ หากยังนั่งคอยท่าอยู่ที่นี่จะต้องถูกคนสงสัยเข้าสักวัน เจ้าจงฟังข้า คนยิ่งเยอะ เช่นนั้นก็จะยิ่งสามารถหนีออกไปได้มิใช่หรือ?”
ชิวอวี้ไม่พูดมาก เหตุเพราะหลินเมิ้งหยามักมีความคิดแตกต่างจากผู้อื่น
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต เช่นนั้นลองเล่นกับนางดูหน่อยจะเป็นไร
ปกติว่านหลิวถัง เลขที่สิบสามเป็นเพียงบ้านเรือนของคนธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดช่วงสองสามวันนี้จึงมีคนยกของเข้าออกมากมายกว่าปกติ
แม้จะเคลื่อนไหวเอะอะมะเทิ่ง แต่บนถนนสองสายนี้กลับไม่มีใครออกมาดู
แม้จะมี แต่ก็ทำเพียงเอ่ยถามเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเมื่อรู้ว่าเจ้านายกำลังจะย้ายบ้าน พวกเขาจึงกลับเข้าบ้านของตัวเองไป
หากต้องการจะย้ายบ้าน เช่นนั้นพวกเขาจะต้องขนย้ายโต๊ะตู้เตียงไปด้วยแน่
โดยเฉพาะตู้สูงสองสามหลังที่โดดเด่นสะดุดตา
คนขับรถม้าเป็นเพียงคนแก่ที่ทุกคนในว่านหลิวถังต่างเรียกเขาว่าคนคุมบังเหียน
ไม่ว่าบ้านไหนมีเรื่องน่ายินดีหรือต้องการขนย้ายสิ่งใด พวกเขามักจะเรียกใช้บริการจากคนคุมบังเหียนคนนี้
ทว่าคราวนี้คนคุมบังเหียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เจ้านายสกุลนี้แปลกประหลาดเหลือเกิน ทุกวันเขามักจะสั่งให้ตนเองขนของจากว่านหลิวถังเลขที่สิบสามไปยังเมืองฝั่งตะวันตก
จากนั้นจึงขับจากทิศตะวันตกกลับมายังที่นี่
แม้คนมีเงินจะมีวิธีคิดแตกต่างผู้อื่น แต่นี่…
เอาเถิด ถึงอย่างไรสกุลตงก็หาได้ยากจนไม่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจ่ายค่าตอบแทนในราคาสูง ฉะนั้นเขาจึงก้มหน้าทำตามคำสั่งแต่เพียงเท่านั้น
“หยุด ทหารหลวงจงล้อมเอาไว้!”
วันนี้เพียงเขาขนตู้ใบใหญ่ออกมาก็ถูกทหารตรวจการขวางหน้าเอาไว้
คนคุมบังเหียนขับรถม้ามานานหลายปี แต่มิเคยมีครั้งไหนที่จะถูกเรียก
ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก รีบกระโดดลงจากรถม้าพร้อมทั้งโค้งตัวแสดงความเคารพ
“นายท่าน ข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้านตัวเล็กๆ หาได้ทำความผิดอันใดไม่ มิทราบว่าพวกท่านทั้งสอง…จะทำอะไรกระนั้นหรือ?”
ผู้ตรวจการทั้งสองสบตากัน พวกเขามิได้อธิบาย แต่กลับเดินขึ้นไปบนรถม้า ก่อนจะใช้ดาบเปิดตู้ออก