ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 340 หนีรอดปลอดภัย
ทว่าสีหน้าหยิ่งผยองของทหารหลวงทั้งสองกลับอยู่ได้ไม่นานนัก
เหตุเพราะพวกเขาพบเพียงความว่างเปล่าในตู้ใบนั้น
คนคุมบังเหียนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ก่อนจะย้ายของออกมา เขาสำรวจด้วยตัวเองแล้วว่าตู้ใบนี้มีเพียงความว่างเปล่า
ดูเถิด สกุลตงเองก็เป็นตระกูลร่ำรวย บางทีเงินทองของมีค่าอาจถูกเจ้านายตระกูลตงเก็บออกไปหมดแล้ว ฉะนั้นพวกทหารหลวงจึงตรวจสอบไม่พบสิ่งใด
ตอนนี้พวกทหารหลวงล้วนกลายเป็นพวกไร้เหตุผล
เหตุเพราะพวกเขาเข้ามาตรวจค้นสิ่งของของชาวบ้านธรรมดากลางวันแสกๆ
แต่ถึงกระนั้นเขาที่เป็นเพียงคนชรากลับทำได้เพียงบ่นอุบอิบในใจ
หลังจากทหารหลวงทั้งสองสบตากันแล้ว พวกเขาลงจากรถม้าและโบกมือให้ผ่านไปได้
“เกิดอะไรขึ้น? พวกเราได้ข่าวมาว่าคนอยู่ในรถม้าแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดจึง…”
ทั้งสองยังคงสงสัย ก่อนจะส่ายหน้าและหาเป้าหมายต่อไป
คนคุมบังเหียนขับรถม้าแล่นหายไปที่มุมถนน เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ความสงสัยผุดขึ้นในหัวใจ เหตุใดปีนี้จึงเกิดเรื่องแปลกประหลาดมากมายเหลือเกิน
รถม้าเคลื่อนย้ายสิ่งของขับวนไปมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ส่วนหลินเมิ้งหยาที่กลายเป็นเป้าหมายนอนอยู่แต่ในห้องด้วยความสบายใจ บ้างก็นั่งดื่มน้ำแกง บ้างก็กินขนม บ้างก็เข้าไปทำร้ายชิวอวี้และมองดูเขาที่กลายเป็นสุนัขจนตรอกเมื่อถูกนางระบายอารมณ์ใส่
“คุณหนู ของทุกอย่างถูกขนย้ายออกไปตามคำสั่งหมดแล้วขอรับ อีกครึ่งชั่วโมงของเหล่านั้นจะถูกย้ายกลับมา ท่าน…ท่านยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาลุกไปนั่งข้างหน้าต่างพลางทอดตามองผู้คนที่กำลังยกของกันวุ่นวายอยู่ภายนอก ถึงอย่างไรเงินที่จ่ายไปก็เป็นเงินของชิวอวี้ ฉะนั้นนางจึงไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
หันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มผู้มีสีหน้าไม่พอใจ
อยู่ๆ ชายคนนี้ก็โผล่มา สีหน้าท่าทางของเขาเสมือนคนกำลังอดทนอดกลั้น แม้กระทั่งชุดสีขาวที่เขาสวมใส่ก็รับกันได้ดีกับสีผิวนวลเนียนดั่งเต้าหู้
แต่คำว่าคุณหนูที่ออกจากปากเขากลับทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด
ราวกับ…นางเป็นตัวการที่บีบบังคับให้เขาต้องยอมจำนน
พยายามแสดงสีหน้าอ่อนโยน หลินเมิ้งหยาจ้องชายตรงหน้าพร้อมทั้งส่งเสียงโศกเศร้า
“ข้าเคยติดเงินเจ้าหรือไม่? แม้ข้าจะมีความจำที่ไม่ดี แต่ถ้าหากข้าทำสิ่งใดผิดต่อเจ้า เช่นนั้นเจ้าได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ชายคนนั้นมิได้ตอบกลับ แต่ทำเพียงยืนนิ่งเสมือนรูปปั้นดินเผา
เมื่อรู้ว่าการแสดงของตัวเองล้มเหลว นางจึงชักหน้ากลับแล้วนั่งลงข้างหน้าต่าง ก่อนจะจิบชากินขนมต่อ
“เจ้าบอกว่าจะใช้แผนจักจั่นลอกคราว แล้วเหตุใดจึงไม่ใช่การแอบหลบซ่อนตัวอยู่ในตู้ใบนั้นเล่า? อีกอย่าง เจ้านั่งอยู่ข้างหน้าต่างมานานแล้ว ฮัดชิ่ว…เจ้าไม่หนาวหรืออย่างไร?”
แม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศภายนอกกลับยังหนาวเหน็บ
ห้องนี้มีเตาอั้งโล่วางถึงสามอัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจคลายความหนาวเหน็บจากหน้าต่างที่หลินเมิ้งหยาเปิดกว้างได้
ชิวอวี้สวมชุดขนเพียงพอนสีเทา สายตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“หนาวสิ”
หลินเมิ้งหยามิได้ใส่ใจ ราวกับสิ่งเหล่านี้มิใช่ปัญหา นางยกผ้าขึ้นเช็ดน้ำมูก
“เพราะแบบนี้ข้าถึงไม่ขยับไปมาอย่างไรเล่า หากข้าไม่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เช่นนั้นคนเหล่านั้นจะสบายใจได้อย่างไร? คาดว่าต่อไปนี้เจ้าคงอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ได้อีกแล้ว หากไม่มีคนซื้อเจ้าจะขาดทุนหรือไม่?”
คำพูดนี้ทำให้ชิวอวี้รู้สึกประหลาดใจ
ทว่าเท่าที่เขาเข้าใจ ผู้หญิงคนนี้หาได้ไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงเขาไม่
จะต้องมีความนัยบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจในคำพูดนี้อย่างแน่นอน
อยู่ๆ แผ่นหลังพลันเย็นวาบ คนเหล่านั้นไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเล่นอยู่กับปีศาจร้าย
“ข่าวลือเรื่องการปล้นสะดมของทหารหลวงจะต้องโด่งดังทั่วทั้งเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน คิกคิก คลื่นลูกใหญ่กำลังจะถูกพัดไปแล้ว”
กัดเม็ดถั่วแดงกรอบด้วยความพึงพอใจ หลินเมิ้งหยาอดที่จะชื่นชมสติปัญญาของไท่จื่อไม่ได้
ไท่จื่อคงคิดว่าเสด็จพ่อของเขาจะต้องสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน ฉะนั้นไม่ว่าเขาต้องการทำเรื่องสกปรกอันใด เขามักจะใช้งานทหารหลวงทุกครั้ง
แน่นอนว่าคงเพราะความสะดวกสบาย แต่ไท่จื่อคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งหลงเทียนอวี้หรือแม้กระทั่งพวกท่านอ๋องฉงซานเองก็ล้วนไม่พอใจกับการกระทำเช่นนี้ของเขา
น่าเสียดาย ไท่จื่อยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเอง
เขามักคิดเสมอว่าอำนาจยังอยู่ในมือ ฉะนั้นเขาจะทำเช่นไรก็ได้
ส่ายหน้า แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้เรื่องอื่น แต่มีเรื่องหนึ่งที่หลินเมิ้งหยารู้ ต่อให้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์จริงๆ แต่ตำแหน่งฮ่องเต้คนต่อไปจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของไท่จื่ออย่างแน่นอน
“เจ้าคิดว่าอะไรทำให้ไท่จื่อทำเรื่องเช่นนี้ได้ หรือไอคิวของเขาต่ำกว่ามาตรฐานกันนะ?”
หลินเมิ้งหยาสงสัยเรื่องนี้เหลือเกิน
ฮองเฮาเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ซ้ำยังเคยประมือกับนางมาแล้วหลายครั้ง หากมิใช่เพราะนางเป็นคนโชคดี เกรงว่าคงมิอาจหนีเอาตัวรอดมาได้
ทว่าไท่จื่อ…แผนการของเขาเหมือนเด็กอนุบาล
แปลกเหลือเกิน นี่หรือว่าฮองเฮาจะทนดูความผิดพลาดของลูกชายตัวเองกัน?
“ข้าคิดว่าฮองเฮารักและเอ็นดูไท่จื่อมากจนเกินไป ฉะนั้นจึงมิได้หักห้ามเขา”
ชิวอวี้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะสอบถามคำศัพท์ใหม่จากหลินเมิ้งหยา
เขารู้ หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาจะต้องหนาวตายอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน
“ไม่ แม้ข้าจะอยู่ในวังหลวงไม่นาน แต่หลังจากได้คลุกคลีกับฮองเฮาอยู่หลายครั้ง ข้ารู้สึกได้ว่าฮองเฮาเป็นคนมีความสามารถและแผนการล้ำลึก ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรผิดปกติ”
หลินเมิ้งหยาส่งเม็ดถั่วแดงกรอบเข้าปาก สีของท้องฟ้าภายนอกมืดสนิทแล้ว
ตอนนี้เกมของนางดำเนินไปใกล้จะจบแล้ว ฉะนั้นนางเองก็ไม่จำเป็นต้องนั่งตากลมเย็นอยู่ที่นี่ต่อไป
“ข้าจะลองสืบเรื่องนี้เอง ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องไปแล้วใช่หรือไม่ คนพวกนั้นถูกเจ้าใช้งานหนักจนเหนื่อยมากแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสอันดี”
ชิวอวี้รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็จะได้ส่งนางกลับไปเสียที เขารู้สึกได้เลยว่าขอบตาของตัวเองกำลังร้อนผ่าว
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองเขาโดยไม่พูดอะไร
หยิบชุดสีดำเข้าไปเปลี่ยน ก่อนเสี่ยวซีคนหนึ่งจะเดินออกมาปรากฏต่อหน้าชิวอวี้
ทว่าชุดสีแดงทับทิมที่นางเพิ่งถอดออกก็มีคนหยิบไปสวมทันที
ชิวอวี้เองก็เช่นเดียวกัน หลังจากเปลี่ยนชุดแล้ว ภายในห้องก็มีตัวตายตัวแทนสามคนนั่งอยู่ในห้อง ส่วนพวกเขาเข้าไปนั่งบนรถม้าขนย้ายสิ่งของและออกจากว่านหลิวถังเลขที่สิบสาม
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังออกจากประตู ร่องรอยของเปลวไฟสีส้มพลันปรากฏขึ้นในสวน
ออกจากประตูคฤหาสน์ แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่ตรงไปยังจวนอวี้
บรรยากาศชวนขนลุกบนถนนสายนี้ทำให้ขนแขนลุกชัน
รถม้าที่นางและชิวอวี้นั่งมีเพียงเก้าอี้ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ตั้งแต่ช่วงเช้าจนกระทั่งตอนนี้ รถม้าคันนี้เข้าออกคฤหาสน์ไปแล้วสามครั้ง แม้ทุกครั้งจะถูกตรวจสอบ แต่คราวนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
แต่เมื่อถูกเรียกตรวจสอบ พวกทหารหลวงแสดงสีหน้ารังเกียจพร้อมทั้งรีบไล่พวกเขาทั้งสองออกไปหลังจากเห็นใบหน้าของทั้งคู่
หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้รีบก้มหน้าค้อมตัวแล้วกระโดดขึ้นรถม้า ก่อนจะขับออกไป
“คิดไม่ถึงเลยว่าวิธีนี้จะได้ผล แต่หากพวกเรายังทำเช่นนี้ต่อไป ตาและปากของพวกเราจะเบี้ยวและเอียงจริงๆ หรือไม่?”
คำพูดนี้เป็นของชิวอวี้ ทว่าใบหน้าของคุณชายผู้หล่อเหลากลับหายไป
กลายเป็นชายวัยกลางคนผิวดำถมึงทึง ริมฝีปากบิดเบี้ยวมีน้ำลายไหลตลอดเวลา
“วางใจเถิด หากข้ายังอยู่ ใบหน้าของเจ้าไม่มีทางถูกทำลายอย่างแน่นอน”
คนที่ตอบคือหลินเมิ้งหยาที่มีใบหน้าแดงก่ำร่างกายหงิกงอ
ลูกน้องของชิวอวี้เป็นคนหารถม้าที่ใช้งานในวันนี้
มีเพียงรถม้าคันนี้ที่ชิวอวี้เป็นผู้ตระเตรียม
อีกทั้งคนที่กำลังขับรถม้ายังเป็นลูกน้องของชิวอวี้ อันที่จริง หลินเมิ้งหยาใช้เข็มเงินของนางทำให้ใบหน้าของทุกคนผิดรูป
หรือถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือการทำให้ใบหน้างดงามนั้นยาก แต่การทำลายช่างง่ายดาย
“เช่นนั้นก็ดี มิฉะนั้นจะต้องมีคนเสียใจมากมายอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเราควรกลับรถไปยังจวนอวี้หรือไม่? คาดว่าคนพวกนั้นคงไม่สนใจพวกเราแล้ว”
รถม้ากลับจอดลงบนถนนตรอกเล็กๆ หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้ลงจากรถม้า ก่อนจะขึ้นไปบนรถม้าคันเล็กๆ อีกคัน ไม่นานรถม้าคันนั้นก็แล่นออกไปและจอดลงที่หน้าร้านขายยาร้านหนึ่ง
ป้ายร้านเขียนคำว่าร้านยาสามสหาย แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถอ่านได้อย่างชัดเจน
รถม้าแล่นหายไปในความมืดอีกครั้ง ทว่าภายในรถม้ากลับว่างเปล่า…
“นายหญิง!”
“นายหญิง!”
“นายหญิง!”
เสียงแตกต่างกันสามเสียงดังขึ้นพร้อมกันภายในร้านสามสหาย
หลินเมิ้งหยาวางนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากเพื่อให้ทุกคนเงียบเสียง
เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้จึงเดินเข้าไปในสวนของร้านสามสหาย
ขณะนี้ร้านยาเปิดกิจการอย่างปกติ เพียงแต่มีคนรวมตัวกันมากขึ้น
“ท่านป้าป๋าย ข้าหิวเหลือเกิน มีอะไรเหลือให้ข้ากินหรือไม่?”
เมื่อเดินผ่านประตู หลินเมิ้งหยาพลันส่งเสียงโอดครวญเพื่อหาของกิน ท่านป้าป๋ายที่เตรียมอาหารเอาไว้อยู่แล้วจึงรีบยกอาหารเข้ามา พร้อมทั้งสั่งให้สามีของตนเองไปเตรียมน้ำให้หลินเมิ้งหยาล้างหน้า