ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 342 พระชายากลับจวน
ทว่าหากไตร่ตรองให้ดีจะพบว่านั่นเป็นเพียงมุมมองของแคว้นศัตรูเท่านั้น
สุภาษิตกล่าวเอาไว้ว่า แว่นแคว้นมิควรแตกแยก
ตอนนี้ฮ่องเต้ประชวรอยู่ในตำหนักมานานนับปี อย่าว่าแต่การก่อกบฏเลย แม้แต่แคว้นของศัตรูที่จับตามองอยู่ตลอดเวลายังไม่คิดส่งทหารเข้ามาโจมตี
ส่วนเหตุผลน่ะหรือ? นั่นก็เพราะไม่ว่าการเมืองภายในอาณาจักรหรือกำลังทหารก็ล้วนอยู่ในกำมือของราชสำนัก!
ราชอาณาจักรของสกุลหลงหาใช่เต้าหู้อ่อนที่สกุลจูและสกุลจ้าวเหลือทิ้งไว้ไม่
แต่มนคืออาณาจักรที่เกิดขึ้นจากความพยายามจนแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า
ส่วนพ่อสามีของนางคือผู้นำทัพในศึกชิงแผ่นดินคราวนั้น หลังจากขึ้นครองบัลลังก์ก็ไม่มีอำนาจใดๆ มาข่มขู่เขาได้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองแห่งนี้ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบ
หรืออาจมีอีกความหมายหนึ่งว่าพี่ชายสกุลหลงของพวกเจ้าสามารถเบ่งอำนาจอย่างไรก็ได้ แต่ห้ามมิให้เข้ามาสั่นคลอนรากฐานของบ้านเมืองเป็นอันขาด
ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเล็งเห็นเส้นตายของพวกเขา
ตอนนี้ไท่จื่อได้เขย่าขวัญประชาชนไปแล้ว แม้เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่คนที่กุมอำนาจอยู่ล้วนรู้เรื่องนี้
ฉะนั้นนางจึงมั่นใจว่าต้องมีคนชิงลงมือกำจัดคนของไท่จื่ออย่างแน่นอนเพื่อไม่ให้พวกเขาข่มเหงคนในต้าจิ้นได้อีก
เมื่อเรื่องเดินมาถึงขั้นนี้ แม้แต่ฮองเฮาเองก็มิอาจทำอะไรได้
สุดท้ายไท่จื่อก็ยังเป็นไท่จื่อ เขาแตกต่างจากฮ่องเต้มาก เขามิอาจปกครองใต้หล้าได้
แม้จะยังมีขุนนางคอยสนับสนุนเขาอยู่ แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะจัดการคนเหล่านั้นให้หมดสิ้น
นางอยากทำให้ไท่จื่อได้รับรู้ความรู้สึกในเวลาที่ฝูงชนต่อต้านและญาติมิตรหลีกหนี
“เจ้ากับอ๋องอวี้มิได้วางแผนกันก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?”
หลังจากดึงสติกลับมา สิ่งที่นางได้เห็นคือใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของชิวอวี้
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ตลอดหลายวันมานี้นางถูกคนเหล่านั้นจับตามอง เช่นนั้นนางจะได้พบกับหลงเทียนอวี้ได้อย่างไร?
“ช่างเถิด ดูเหมือนพวกเจ้าจะเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ คนหนึ่งสร้างความโกลาหลอย่างลับๆ อีกคนหยิบยืมกำลังโจมตี พวกเจ้าช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ส่วนข้า…จะไม่มีวันทำให้พวกเจ้าทั้งคู่ต้องขุ่นเคืองเป็นอันขาด ท่านป้า ไม่ทราบว่าท่านช่วยหาห้องสะอาดให้ข้าพักผ่อนได้หรือไม่ ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกินขอรับ”
ชิวอวี้ไม่รอให้หลินเมิ้งหยารู้สึกตัว เขารีบเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานถามท่านป้าป๋าย
หลินเมิ้งหยาชะงักอยู่กับที่ เหตุเพราะคำว่าคู่สร้างคู่สมทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
กะพริบตาปริบๆ จริงๆ เลย ทำไมปากของเขาถึงไม่มีหูรูดเลยนะ
คู่สร้างคู่สมอะไรกันเล่า!
อยู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์การพบกันครั้งแรกระหว่างตนเองและหลงเทียนอวี้ขึ้นมา
บางทีโชคชะตาของพวกนางอาจมีคนกำหนดเอาไว้แล้ว
มิเช่นนั้นนางจะบังเอิญข้ามภพมาอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวของหลงเทียนอวี้ได้อย่างไร
ยกผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า หลินเมิ้งหยาที่มักเป็นคนหน้าหนาเสมอรู้สึกเขินอายเราะถูกแซวเป็นครั้งแรก
ช่วงเวลาเดียวกันในห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ภายในห้องไม่มีท่าทางผ่อนคลายดังเช่นหลินเมิ้งหยา
คนที่เขาส่งออกไปสืบข่าวเข้ามารายงานว่าว่านหลิวถังเลขที่สิบสามถูกคนของไท่จื่อรื้อค้นโจรกรรม
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าหลินเมิ้งหยามิได้อยู่ในกำมือของไท่จื่อ
ทว่าเขากลับยังไม่ได้รับข่าวใดๆ เขาไม่รู้เลยว่าหลินเมิ้งหยาตกอยู่ในกำมือของใคร
หรือฮองเฮาจะเข้ามายุ่ง? ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ถูกต้อง หากฮองเฮาทำเรื่องนี้ เช่นนั้นเหตุใดนางจึงทำให้ลูกชายของตนเองตกเป็นที่ครหา
หรือจะเป็นคนพวกนั้นที่ทำ?
ใบหน้าของหลงเทียนอวี้ไร้ซึ่งความรู้สึกตกตะลึงหรือยินดี
ท่ามกลางแสงเทียน เงาของเขาสะท้อนความเย็นชาและโดดเดี่ยว
เมื่อสิบห้าปีก่อน ค่ำคืนนั้นก็เหมือนกับค่ำคืนนี้
แต่ตอนนั้นเขายังเป็นเด็ก ทุกคืนวันรู้แต่เพียงว่าต้องพยายามอ่านหนังสือและฝึกฝนวิทยายุทธ ฉะนั้นเขาจึงมิล่วงรู้ถึงแผนการเหล่านั้น
ภายใต้การปกป้องของหมู่เฟยและความเอ็นดูของเสด็จพ่อ แม้จะต้องทนขมขื่น แต่ก็มิได้ลำบากเหมือนอย่างตอนนี้
คืนนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น ก่อนจะหลับไปบนศาลาในสวนดอกไม้
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางดึก ก่อนจะได้เห็นเสด็จอาคนหนึ่งรีบพานางในและองครักษ์เข้าไปในตำหนักชิงกงของเสด็จพ่อ
แม้เสด็จอาคนนั้นจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวและมากความสามารถ
ทว่าวันนั้นเขากลับได้เห็นใบหน้าสิ้นหวังของเสด็จอาเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่านั่นเป็นสีหน้าสิ้นหวังที่มิอาจช่วยคนที่ตัวเองรักได้ บางทีเขาอาจจะกำลังกล่าวโทษตนเองอยู่ก็เป็นได้
ทว่าตอนนั้นเขาประหลาดใจยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เข้าไปในตำหนักของเสด็จพ่อเพื่อดูเหตุการณ์
แต่นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ชายผู้มักจะเข้าวังมาพร้อมกับของเล่นและอาหารแปลกใหม่เพื่อมอบแก่องค์ชายก็มิเคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย
เขาเคยถามหมู่เฟย แต่หมู่เฟยกลับรับสั่งว่าเขาโชคไม่ดี ดังนั้นจึงป่วยและตายที่จวนอ๋อง
จนกระทั่งเขาโตขึ้นจึงได้รู้ว่าชายาของเสด็จอาเคยยุยงเสด็จอาให้แย่งชิงบัลลังก์ของเสด็จพ่อ
ทว่าแม้เสด็จอาจะเชื่อฟังคำพูดของภรรยามาก แต่เขากลับปฏิเสธความคิดของนาง
หากมิใช่เพราะวันนั้นชายาของเขาเอ่ยเรื่องนี้ให้บุคคลที่สามฟัง บางทีปัจจุบันพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข
ทว่าเหล่าพระญาติไม่มีวันยินยอมให้ผู้หญิงที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นนี้ได้อยู่ข้างกายของเสด็จอา
สุดท้ายตอนนี้หลงเทียนอวี้เข้าใจแล้ว
อันที่จริงไม่ว่าพระสนมของวังหลังหรือแม้กระทั่งชายาของพวกอ๋อง หากพวกนางอยากมีชีวิตหรูหราผาสุก เช่นนั้นพวกนางมิควรเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของต้าจิ้น
ทว่าตอนนี้ฮองเฮาคิดจะกุมอำนาจวังหลังทั้งหมด ฉะนั้นคนเหล่านั้นจึงมิอาจทนมองเฉยๆ
แต่สิ่งเดียวที่เขากำลังกังวลอยู่ตอนนี้ก็คือหากหลินเมิ้งหยาถูกคนเหล่านั้นเพ่งเล็ง เกรงว่าแม้แต่หลินมู่จือก็คงมิอาจปกป้องนางได้
หวังว่าผู้คนที่หลินเมิ้งหยาได้พบเจอจะเป็นเพียงนักเลงหัวไม้แต่เพียงเท่านั้น
ท้องฟ้าสว่างไสวโดยไม่รู้ตัว
เทียนละลายเหลือเพียงฐาน น้ำตาเทียนหยดลงบนพื้นเสมือนหยดน้ำตาของคน
“รายงานท่านอ๋อง พวกคนที่ส่งไปสอดแนมหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
หลินขุยรายงาน เขารอให้หลงเทียนอวี้ปรับอิริยาบถก่อนจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“ฝีมือใคร?”
หลินขุยส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้
คนสอดแนมเหล่านั้นเสมือนหน่อรากของจวนอวี้
ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะทำให้พวกเขาหายตัวไปอย่างไรร่องรอย
“ข้าเข้าใจแล้ว จงไปเตรียมกำลังคน ข้าจะออกไปตรวจสอบด้วยตัวเอง”
การรอคอยคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวลมากที่สุด
หลงเทียนอวี้ตัดสินใจเลิกรอฟังข่าว แต่เขาจะออกหน้าตามหาเบาะแสของหลินเมิ้งหยาเอง
ทว่าเพียงเขาคิดจะเดินออกจากประตู ใบหน้าเปี่ยมสุขของพ่อบ้านเติ้งพลันปรากฏให้เห็น เขารีบวิ่งเข้ามาในเรือน
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง พระชายาเสด็จกลับมาแล้ว พระชายาเสด็จกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อะไรนะ? เขาไม่ได้ยินผิดไปใช่หรือไม่? หลินเมิ้งหยากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ?
ขณะที่พ่อบ้านเติ้งเข้าไปรายงานด้วยความดีใจ หลินเมิ้งหยาพาสาวใช้ทั้งสามพร้อมทั้งสัตว์เลี้ยงอีกสองตัวกลับมายังตำหนักหลิวซิน
“หงิง หงิง”
ยังไม่ทันจะเดินเข้าเรือน สัตว์เลี้ยงทั้งสองพลันพุ่งตัวเข้าไปในสวน
จะว่าไปก็แปลก สัตว์เลี้ยงทั้งสองมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า แต่ตอนที่อาศัยอยู่ในร้านสามสหาย พวกมันกลับมีท่าทางเชื่อฟัง ไร้ซึ่งอาการดุร้าย
แต่หากพวกมันได้เห็นคนที่หลินเมิ้งหยาไม่ต้อนรับในตำหนักนี้ พวกมันจะรีบปกป้องเจ้านายของตัวเองทันที
“พวกเจ้าอย่าได้วิ่งเพ่นพล่าน ป๋ายซ่าวกับป๋ายจื่อไปจัดการที ป๋ายจีจงเข้าไปจัดเก็บของในห้องกับข้า”
หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะพาป๋ายจีเข้าไปยังห้องของตนเอง
แม้นางจะไม่อยู่ที่นี่นานราวหนึ่งเดือน ฉะนั้นบรรยากาศในตำหนักจึงเย็นชา แต่ถึงกระนั้นผอจื่อที่ถูกสั่งเอาไว้ก็เก็บกวาดทำความสะอาดตำหนักเป็นอย่างดีเหมือนตอนที่นางยังอาศัยอยู่ที่นี่ไม่มีผิดเพี้ยน
มองดูห้องกว้างอันแสนคุ้นเคย หลินเมิ้งหยาทำเพียงถอนหายใจ
ที่นี่มีความทรงจำมากมายเหลือเกิน
ป๋ายซู เสี่ยวอวี้ ชิงหูและคนอีกมากมาย ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกถึงความว่างเปล่า
“นายหญิง ป๋ายซูจะกลับมาหรือไม่เจ้าคะ?”
ชาถ้วยหนึ่งถูกยกเข้ามาพร้อมกับคำถามที่ระมัดระวังเป็นพิเศษ
หลินเมิ้งหยารับไป ก่อนจะมองสาวใช้ที่มีไหวพริบและเข้าใจนางที่สุด ผงกศีรษะเบาๆ เสมือนกำลังตอบรับ
“นาง…มีเส้นทางที่ต้องเดิน พวกเราอาจเข้าใจนางผิดไป อย่าพูดเรื่องนี้ให้กับเด็กสองคนนั้นฟัง พวกนางจะได้ไม่เสียใจ”
ป๋ายจีพูดไม่ออก ดังนั้นจึงทำเพียงเงียบ
ท่ามกลางความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง เรื่องอื่นนางไม่รู้ แต่หากป๋ายซูไม่มีงานสำคัญให้ต้องไปทำ เช่นนั้นนางไม่มีวันทิ้งพวกนางไป
“ท่านวางใจเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง จริงสิตอนที่ท่านจากไป คุณหนูรองสกุลเยว่และคุณหนูซ่างกวนฝากข้อความมาให้ท่าน แต่เพราะท่านเข้าวังไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อท่านกลับมา พวกนางจึงอยากเชิญท่านไปที่จวนเจ้าค่ะ”
เหตุที่ซ่างกวนฮุ่ยมาหานางจะต้องเป็นเพราะเรื่องพี่ชายอย่างแน่นอน ตอนนั้นนางให้สัญญาแล้วว่าจะผูกด้ายแดงให้กับซ่างกวนฮุ่ยและพี่ชาย
แต่นางคงไปพบกับเยว่ฉีได้ยาก เหตุเพราะพวกเขาย้ายบ้านไปแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เกรงว่านางคงไปช่วยเหลือไม่ทันการณ์
“เข้าใจแล้ว อีกสองสามวันเจ้าจงเชิญคุณหนูซ่างกวนมาที่นี่เถิด ฝากบอกนางว่าข้าไม่สะดวกออกจากจวน นางจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หลินเมิ้งหยาต้องการคนช่วยเหลือเพื่อที่จะเอาชนะเกมนี้