ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 344 ทำดีตบรางวัล ทำชั่วไซร้ต้องลงโทษ
เมืองหลวง ณ ร้านเป่ยโหลว
วันนี้บรรยากาศภายในร้านเป่ยโหลวเงียบงันไม่เหมือนก่อน
ไม่ว่าเถ้าแก่หรือลูกน้องล้วนยืนตัวแข็งทื่อ เหตุเพราะวันนี้พวกเขาได้รับข่าวมาว่าเจ้าของร้านจะมาเยือนที่แห่งนี้
คุณชายจู๋ที่มักจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องออกมายืนอยู่กลางห้องโถงตั้งแต่เช้า
บรรยากาศเย็นยะเยือก ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าของร้านมาที่นี่ด้วยเหตุใด
ทว่าเพียงได้เห็นสีหน้าขาวซีดของคุณชายจู๋ พวกเขาก็รู้แจ้งแก่ใจขึ้นมา
จะต้องมีเรื่องผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การปรากฏตัวของเจ้าของร้านในวันนี้อาจเป็นหายนะ
คุณชายจู๋ยืนอยู่กลางห้องโถงด้วยท่าทางเงอะงะ วันนี้เช้ามีคนมาส่งข่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่าอาเหมยหายไปไหน หากนางทำให้นายท่านโกรธเคืองแล้วล่ะก็ เกรงว่านางคงมิอาจปกป้องอาเหมยได้อีก
หลังจากรออยู่นาน คุณชายจู๋กลับไม่เห็นร่างของเจ้าของร้าน
เวลาผ่านไปช้าๆ ในที่สุดหัวใจของคุณชายจู๋ก็สงบลง
แต่ไหนแต่ไรนางมักรู้สึกเสมอว่าตนเป็นคนโชคดี บางทีนายท่านอาจมาเพียงเพื่อถามไถ่เท่านั้น เหตุเพราะสถานการณ์ในตอนนี้กำลังตึงเครียด
“พวกเจ้าจงออกไปเถิด วันนี้ร้านเป่ยโหลวงดรับแขก ส่วนพวกเจ้าจงกลับไปพักผ่อนหนึ่งวัน หากข้าไม่สั่ง ห้ามมิให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด”
คุณชายจู๋ยังคงเป็นคุณชายจู๋ แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร แต่นางกลับไม่เผยความหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย
ลูกน้องแม้ไม่เข้าใจ แต่ก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี ครู่ต่อมาร้านเป่ยโหลวจึงเหลือเพียงคุณชายจู๋คนเดียว
ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย คุณชายจู๋คุกเข่าลงกับพื้น
ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมเผยให้เห็นอาการประหม่า
ครุ่นคิด หน้าที่ของนางมิเคยขาดตกบกพร่อง แต่เพราะเหตุใดนายท่านจึงโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้
แต่ไหนแต่ไรมานายท่านมักจะปกปิดตัวตนเสมอ
แต่การที่เขายังไม่ปรากฏตัวออกมา นั่นแสดงให้เห็นว่านายท่านโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากและคนที่ต้องรับผิดชอบมีเพียงคนเดียวก็คือนาง
“เจ้าไม่รู้จักกฎของสี่จตุรเทพหรือ?”
ทันทีที่คุณชายจู๋คุกเข่าลง เสียงเย็นชาดุจน้ำแข็งพลันดังขึ้นโดยมิอาจทราบทิศทาง
ร่างกายสั่นเทิ้ม คุณชายจู๋รีบหมอบราบลงบนพื้น ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยท่าทางยำเกรง
“จู๋ทราบดีเจ้าค่ะ นายท่านได้โปรดอภัยด้วย”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง ร่างของนางพลันกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ
“ตึง” เกิดเสียงดังสั่น ร่างบางกระแทกเข้ากับบันไดจนพื้นไม้แหลกละเอียด
“ในเมื่อเจ้ารู้ เหตุใดจึงฝ่าฝืน?”
เสียงเย็นชาดังขึ้นจากเหนือศีรษะ
คุนชายจู๋เงยหน้า เลือดพุ่งขึ้นมาจากลำคอ
ทว่าดวงตายังคงมองชายในชุดดำด้วยความเคารพเลื่อมใส
“นายท่าน…จู๋…จู๋…ไม่เคยทำผิดต่อนายท่าน นายท่านได้โปรดตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะ”
มองอาการกึ่งเป็นกึ่งตายของคุณชายจู๋ หลงเทียนอวี้ไร้ซึ่งความรู้สึกสงสาร ดวงตาเปี่ยมไปด้วยโทสะ หากมิใช่เพราะลูกน้องคนนี้ถูกเขาเลี้ยงดูมา ป่านนี้ชีวิตของนางคงดับสูญไปนานแล้ว
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลินเมิ้งหยาเกือบตายเพราะผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา ความโกรธแค้นพลันโหมกระหน่ำในใจ ฉะนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นจึงมิอาจหลบเลี่ยงความผิดในคราวนี้ได้
“คุณชายเหมยเล่า? เจ้าอย่าได้โป้ปดว่าเจ้าไม่รู้กระทั่งการหายตัวไปของนาง หากเป็นเช่นนั้น ข้าว่าตำแหน่งหัวหน้าคงไม่เหมาะสมกับเจ้าอีกต่อไป”
คุณชายจู๋ตื่นตะลึง แต่ไม่นานก็สงบลง
สายตาหม่นหมอง นางรู้ดีว่าเรื่องนี้อาจปกปิดทุกคนได้ แต่นางไม่อาจปิดบังนายท่านได้
ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะโขกหัวลงต่อหน้าหลงเทียนอวี้
“ข้าน้อยผิดเองที่ปิดบังเรื่องนี้ แต่พี่สาวไม่ปรากฏตัวที่ร้านหลายวันแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่านางหายไปไหน”
คุณชายจู๋รู้ดีว่าหลงเทียนอวี้เห็นชีวิตคนเป็นดั่งต้นหญ้า
หากมิใช่เพราะเขาเห็นถึงความจงรักภักดีของนาง เช่นนั้นป่านนี้ชีวิตของนางคงแขวนอยู่บนเส้นด้ายเหมือนพี่สาวตนนานแล้ว
“พี่สาวของเจ้าตายในคืนวันที่สิบห้า นางตายที่ตรอกแห่งหนึ่งในเมืองหลวง แต่….”
เอ่ยเสียงแข็งกระด้าง สายตาของหลงเทียนอวี้ทำให้คุณชายจู๋รู้สึกหวาดกลัวและตกตะลึงในคราวเดียวกัน
“ก่อนนางตายนางคิดสังหารชายาอวี้ เจ้าคงต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ข้าฟัง”
เหงื่อผุดขึ้นบนแผ่นหลังของคุณชายจู๋
ผ้าคลุมหน้าเลื่อนหลุดลงมาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้างดงามพิมพ์เดียวกับคุณชายเหมยปรากฏโฉม แต่ไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวหรือตกตะลึง ร่างของนางสั่นเทิ้มราวกับจะล้มลงได้ตลอดเวลา
“พี่สาว…ไม่….เป็นไปไม่ได้! นายท่าน แม้พี่สาวจะมิได้เข้าร่วมกลุ่มสี่จตุรเทพ แต่…แต่นางจงรักภักดีต่อนายท่านเป็นอย่างยิ่ง คราวก่อนที่เข้าวัง พี่สาวออกแรงแข็งขันพยายามทำภารกิจ นาง…นางจะบังอาจไปทำร้ายพระชายาได้เช่นไร?”
ดวงตาของคุณชายจู๋เบิกกว้าง นางในเวลานี้ราวกับคนมิอาจยอมรับความจริงตรงหน้าได้
แม้พี่สาวของนางจะเกิดในโรงฝึกการแสดง แต่ถึงกระนั้นนางก็รักตัวเองเป็นอย่างดี
ทุกครั้งที่มายังเป่ยโหลว นางมิเคยเปิดเผยตัวตน เพราะเหตุใด….นางจึงคิดจะสังหารพระชายาเล่า?
อยู่ๆ ความคิดหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในสมอง
นางนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ นายท่านเล่าว่าพี่สาวเคยแอบนำยาไปส่งที่จวน
หรือว่า….
สวรรค์โปรด นางถูกความลุ่มหลงบังตาอย่างนั้นหรือ!
“ตอนนี้พี่สาวของเจ้าตายไปแล้ว ข้าจะไม่ตามสืบเรื่องอื่นให้มากความ แต่เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี หากเป่ยโหลวมีการทรยศหักหลังเกิดขึ้นอีก เช่นนั้นหัวหน้าเช่นเจ้าจะต้องได้รับโทษ อีกอย่าง จงถ่ายทอดคำสั่งออกไปทั่วทั้งเมืองหลวง หากคนของสี่จตุรเทพพบเห็นพระชายาที่ใด ทุกคนจะต้องแอบติดตามเพื่อปกป้องนางให้ดี เหตุที่พี่สาวของเจ้าตาย หาใช่เพียงเพราะนางต้องการสังหารพระชายา แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงคราวที่แล้วรั่วไหลออกไป เจ้าเองก็น่าจะสังเกตเห็นเรื่องนี้ ส่วนศพพี่สาวของเจ้าอยู่ที่ห้องเก็บศพนอกเมือง เจ้าดูเอาเถิดว่าจะจัดการเช่นไร”
แม้เสียงของหลงเทียนอวี้จะเย็นชาและคำพูดของเขาจะบาดลึกถึงขั้วหัวใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมอบความเมตตาให้กับคุณชายจู๋
“เจ้าค่ะ จู๋น้อมรับคำสั่ง ขอบพระทัยที่ไว้ชีวิต”
คุณชายจู๋ยังคงตกตะลึงอยู่กับที่ นางถูกชายตรงหน้าเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก
หากมิใช่เพราะเมื่อหลายปีก่อนนางบังเอิญพบว่าอาเหมยคือพี่สาวแท้ๆ ของตนเอง นางคงไม่ถูกนายท่านลงโทษเพราะการพาพี่สาวมาอยู่ด้วย
วันนี้ความเห็นแก่ตัวของพี่สาวเกือบทำให้นางต้องตาย
หัวใจสงบลง
“เข้ามา”
ภายในห้องโถง ร่างของหลงเทียนอวี้หายไปนานแล้ว
คนที่คอยรักษาการณ์อยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา
คุณชายจู๋เบือนหน้าไปอีกทาง ไม่ว่าใครก็มิได้เห็นใบหน้างดงามที่ขาวซีดและเจือความเจ็บปวดรวดร้าวของนาง
“รายงานท่านอ๋อง ทหารของทางการแจ้งว่าห้องเก็บศพนอกเมืองเกิดไฟไหม้ ศพภายในนั้นถูกเผาจนมิอาจมองเห็นรูปพรรณสันฐานได้พ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้ หลินขุยเข้ามารายงานสถานการณ์ให้หลงเทียนอวี้รับทราบ
“อืม เข้าใจแล้ว”
มือยังคงถือหนังสือยุทธศาสตร์การรบราวกับไม่ได้ยินเสียงรายงานแต่อย่างใด
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นเป็นฝีมือของจู๋
คาดว่าศพของผู้หญิงคนนั้นก็คงอยู่ในกองเพลิงด้วย
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเหมยเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น คาดว่าผู้อยู่เบื้องหลังยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไร้รอยขีดข่วน
“พระชายาเล่า? ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่หรือไม่?”
แต่ไหนแต่ไรมาหลงเทียนอวี้มิเคยสนใจใครมาก่อน
อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาและถามไถ่ถึงชายาตนเอง
“คือ…ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ แต่ตำหนักหลิวซินค่อนข้างคึกคักขอรับ”
เอ่ยตอบด้วยใบหน้าฉงนเล็กน้อย
ปกติเขาไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากพระชายาหายไปหนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ท่านอ๋องเลย แม้แต่ลูกน้องเช่นเขาเองก็รู้สึกเคว้งคว้าง
จะว่าไปนางก็เหมือนเด็กน้อยที่บ้าน เวลาอยู่ด้วยกันก็รำคาญ แต่พอไม่อยู่กลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
แม้พระชายาจะงดงามโดดเด่น แต่กลับมีไหวพริบเฉลียวฉลาดแตกต่างจากผู้อื่น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่พวกเขามักรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อไม่มีนาง
“ทำอะไรกันอีก? ไป พวกเราไปดูกันเถิด”
ปิดหนังสือในมือเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ
มองดูท่าทางสนใจใคร่รู้ของหลงเทียนอวี้ หลินขุยมิเอ่ยสิ่งใด
อาศัยความมืดมิดของรัตติกาลแฝงตัวอยู่ที่แนวกำแพงของตำหนักหลิวซิน
ภายในบรรยากาศคึกคักมากเป็นพิเศษ
ทว่าแม้แต่หลงเทียนอวี้ก็ดูไม่ออกว่าชายาของตนกำลังทำอะไร
“พวกเจ้าย้ายอันนี้ไปไว้ตรงนั้น ใช่ วางไว้ที่มุมฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระวังหน่อย อย่าทำพัง”
ป๋ายจื่ออยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นดีใจ นางชี้นิ้วสั่งการด้วยท่าทางสนุกสนาน
เสียงจุกจิกจู้จี้ดังขึ้นเพื่อออกคำสั่งพวกองครักษ์และเสี่ยวซีทั้งหลาย
ใบหน้าเรียวเล็กแดงระเรื่อ ท่าทางอารมณ์ดี เสมือนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝัน
“นายหญิง ท่านเพิ่งกลับมา เหตุใดจึงไม่พักผ่อนสักวันล่ะเจ้าคะ เรื่องพวกนี้ทำวันอื่นก็มิได้เสียหายนี่”
ป๋ายจีคอยรับใช้ข้างกายหลินเมิ้งหยา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ช่วงบ่าย นายหญิงที่ตื่นขึ้นจากการนอนกลางวันเสนอความคิดว่าจะตกแต่งตำหนักเสียใหม่
ต้นหญ้าและดอกไม้ในตำหนักหลิวซินล้วนถูกปลูกและดูแลโดยชิงหูกับนายน้อยอวี้ พวกมันงดงามกว่าสวนดอกไม้ในวังเสียด้วยซ้ำ
นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพระชายาจึงมีความคิดเหล่านี้ขึ้นมา
“เด็กโง่ หากไม่ตกแต่งใหม่ เช่นนั้นจะเป็นการขึ้นปีใหม่ได้อย่างไรเล่า ปีใหม่ก็ต้องต้อนรับสิ่งใหม่ๆ มิใช่หรือ?”
หลินเมิ้งหยาจิบชาพลางอธิบายให้ป๋ายจีฟัง
ทว่าดวงตาที่กำลังเปล่งประกายคู่นั้นกลับทำให้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก