ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 367 ศัตรูที่ไม่ได้พบกันนาน
“ที่แท้ก็คือแม่ทัพหลิน ข้าน้อยคือรองขุนนางกลาโหมนามว่าเย่ซวงเฮ่อขอรับ”
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้มาใหม่จะเป็นหลินหนานเซิงที่ควรจะอยู่ห่างจากที่นี่พันลี้
สีหน้าของเย่ซวงเฮ่อเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง เหตุเพราะทุกคนล้วนรู้ดีว่าคุณชายใหญ่สกุลหลินผู้นี้เอ็นดูน้องสาวของตัวเองมาก
หลินหนานเซิงคือใครน่ะหรือ? เขาหาใช่พวกหน้าละอ่อนในราชสำนัก
การมีอยู่ของชายชาตรีเช่นเขาเปรียบเสมือนพรอันประเสริฐแห่งต้าจิ้น ยิ่งไปกว่านั้น เขากับหลินเมิ้งหยาแตกต่างกัน
เขา…คือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง หากทำให้หลินหนานเซิงขุ่นเคือง เกรงว่าเรื่องในวันนี้จะจบไม่สวยอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้นเย่ซวงเฮ่อยังคงรู้สึกไม่อาจตัดใจ เหตุเพราะก่อนมาที่นี่เบื้องบนได้ออกคำสั่งแล้วว่าแม้เขาจะจัดการหลินเมิ้งหยาไม่ได้ แต่เขาจะต้องพาตัวสองแม่ลูกไป
เย่ซวงเฮ่อกัดฟันแน่น เขาทำเพียงถวายคำนับ แต่ไม่คิดล่าถอย
“ที่แท้ก็รองขุนนางกลาโหมนี่เอง เพราะเหตุใดท่านจึงต้องการพาน้องสาวและแม่นมของข้าไปเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น งานไล่จับคนควรเป็นเรื่องของทางการ การที่เจ้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองจะมิเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ของทางการอย่างนั้นหรือ?”
หลินหนานเซิงกล่าวโดยไม่ไว้หน้า สีหน้าของเย่ซวงเฮ่อจึงยิ่งไม่น่ามอง
มีข่าวลือในราชสำนักว่าคุณชายใหญ่สกุลหลินมีอุปนิสัยแตกต่างจากบิดาของเขาที่มีความซื่อสัตย์และสง่างาม
ตั้งแต่สมัยที่หลินหนานเซิงยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาเรียนวิชาการต่อสู้จนประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาได้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่น่าอิจฉาที่สุดในเมืองหลวง
หากมิใช่เพราะหลินหนานเซิงก้าวเข้าสู่เส้นทางทางการทหาร เกรงว่าพวกอันธพาลในเมืองหลวงจะไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ดวงตาสุขุมจับจ้องเย่ซวงเฮ่อเขม็ง
หลินหนานเซิงเพียงคนเดียวทำให้ทหารหลวงทั้งกองทัพหวาดผวา
“แม่ทัพหลินกล่าวถูกแล้ว อันที่จริงเหตุที่ข้าน้อยมาที่นี่ก็เพื่อไล่ล่าพวกอันธพาลที่ทำร้ายพระชายา แม่นางเถียนและลูกชายล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉะนั้นข้าน้อยจึงจะนำตัวพวกเขาไปส่งทางการให้ขอรับ”
หลินหนานเซิงกลับไม่ยอมจนต่อคำพูดของคนตรงหน้า เขาสาวเท้าอาดๆ ไปยืนตรงหน้าแม่นางเถียนผู้มีเส้นผมสีขาวโพลน
เขาถอดผ้าคลุมไหล่สีแดงเข้มออกจากบ่า แม้เถียนมามาจะพยายามผลักออก ทว่าเขายังคงคลุมผ้าลงบนร่างของนาง สายตาที่จ้องมองมิต่างอันใดจากหลินเมิ้งหยา เพียงแต่เจือไว้ซึ่งความรู้สึกผิดที่มากกว่าหลายเท่า
“แม่นม เซิงเกอมาหาท่านแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ท่านต้องอยู่อย่างยากลำบาก ผ้าคลุมผืนนี้ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ ตราบใดที่มันยังอยู่บนตัวท่าน ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าแตะต้องท่านอีก”
ใบหน้าของเถียนมามาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา มือเหี่ยวย่นเอื้อมไปจับมือแข็งแรงของหลินหนานเซิงแน่น
เมื่อหลายสิบปีก่อน เด็กทั้งสองที่เคยอยู่ในอ้อมกอดของนางบัดนี้เติบใหญ่หมดแล้ว
ฮูหยินจากไปก่อนวัยอันควร นายท่านเองก็ยุ่งกับงานในราชสำนัก ฉะนั้นนางจึงทำหน้าที่เลี้ยงดูสองพี่น้องสกุลหลินจนเติบใหญ่
เมื่อวันนี้ได้เห็นว่าพวกเขาสองพี่น้องไม่ลืมบุญคุณของนางและพยายามปกป้องโดยมิคิดหนีหาย เถียนมามาจึงรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก
ราวกับความเจ็บปวดที่ต้องปกป้องคำมั่นสัญญาต่อฮูหยินที่จากไปค่อยๆ บรรเทาลง
“แม่ทัพหลิน นี่ท่าน...”
ใบหน้าของเย่ซวงเฮ่อสั่นสะท้าน แม้หลินหนานเซิงจะไม่พูด แต่เขามองออกว่าผ้าคลุมผืนนั้นเป็นลายมังกรสี่กรงเล็บ
นั่นคือสัญลักษณ์ซึ่งไท่จื่อและพระญาติระดับสูงเท่านั้นที่จะมีได้ แต่ทว่าแม่ทัพตรงหน้าเองก็ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน
ฉะนั้นหากใครกล้าแตะต้องแม่นางเถียนแล้วล่ะก็ นั่นเท่ากับว่าคนผู้นั้นไม่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้
แม้เย่ซวงเฮ่อจะไม่อาจตัดใจ แต่เขาก็รู้ว่าอะไรควรหรือมิควรแตะต้อง
“ท่านนี้คือแม่นมของข้าและชายาอวี้ แม้จะหาได้มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ก็มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพวกข้า หากรองกลาโหมเย่ต้องการจะพาตัวนางไปจริง เช่นนั้นข้าก็จะขอติดตามไปกับพวกเจ้าด้วย บังเอิญข้าก็อยากจะสอบถามที่ว่าการของเมืองหลวงด้วยเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงมีอันธพาลคิดจะทำร้ายน้องสาวของข้าได้ พวกเขาทำเหมือนไม่เห็นต้าจิ้นอยู่ในสายตา ดูเหมือนข้าเองก็ต้องรายงานราชสำนักเพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้ว่าตกลงเรามีที่ว่าการประจำเมืองหลวงเพื่ออะไร!”
หลินหนานเซิงส่งสายตาเปี่ยมโทสะไปทางเย่ซวงเฮ่อ
ตอนนี้เย่ซวงเฮ่อมิอาจต่อปากต่อคำได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้อยู่ๆ ท่านผู้ว่าการก็ถูกย้ายไปกะทันหัน
ส่วนคนที่มารับตำแหน่งก็เป็นเจ้านายที่ตัดสินด้วยความยุติธรรมโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
ตอนแรกเขาเพียงจะนำตัวสองแม่ลูกสกุลเถียนไปขังไว้ในคุกของทหารหลวง แต่เมื่อหลินหนานเซิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เกรงว่าเขาเองคงมิอาจทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้
หลินเมิ้งหยาดึงสติกลับมาได้นานแล้ว มุมปากของนางจึงหยักยิ้มเล็กน้อย
หากวันนี้คนที่มาที่นี่เป็นคนอื่น เกรงว่าเรื่องราวจะไม่ถูกจัดการง่ายๆ เช่นนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เข้ามาช่วยชีวิตนางจะเป็นท่านพี่
แม้จะเป็นนักรบเหมือนกัน แต่พี่ชายเป็นแม่ทัพที่ปกป้องฝั่งชายแดน อย่าว่าแต่รองขุนนางกลาโหมตัวเล็กๆ อย่างเย่ซวงเฮ่อเลย แม้แต่ขุนนางในราชสำนักเองก็ต้องไว้หน้าพี่ชายนาง
ประคองเถียนมามา หลินเมิ้งหยาปัดมือของตนเองเบาๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้นางจะต้องพาเถียนมามาและเถียนหนิงกลับจวนให้ได้
“คือ…เรื่องนี้คงไม่ต้องรบกวนท่านแม่ทัพหรอกขอรับ ข้าน้อยจะเป็นผู้จัดการเรื่องนี้เอง มิจำเป็นต้องรบกวนท่านหรอกขอรับ”
เย่ซวงเฮ่อยังคงคิดหาเหตุผล ทว่าสายตาอำมหิตของหลินหนานเซิงกลับเผยออกมาให้เห็น
เย่ซวงเฮ่อทำได้เพียงกัดปาก ขณะที่คิดจะพาคนของตนเองกลับ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินเสียงเย็นชาระคนโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน? เจ้าเป็นเพียงแม่ทัพระดับสี่ของเขตชายแดนเท่านั้น แต่ที่นี่เป็นสถานที่ของทหารหลวงของข้า หาใช่ตะเข็บชายแดนของเจ้าไม่ หากคิดจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าจะไม่ไว้หน้าเช่นเดียวกัน”
สายตาของทุกคนล้วนหันไปมองผู้มาใหม่
หลินเมิ้งหยาตั้งท่าป้องกันขณะมองคนตรงหน้า เพลิงโทสะในหัวใจแทบจะโหมกระหน่ำออกมาเต็มที
ผู้มาใหม่มีใบหน้าขาวซีด แม้แต่ริมฝีปากเองก็แทบจะไร้สีเลือด ผ้าปิดตาสีดำปกปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง
เหลือเพียงดวงตาอีกข้างที่เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์
ศีรษะสวมหมวกขุนนาง อีกทั้งยังมีหยกแดงประดับไว้
ร่างกายซูบผอมอ่อนแอเสมือนพร้อมจะปลิวไปตามแรงลม แต่ทว่าเขาสวมชุดหรูหราสีม่วงเข้ม
แขนทั้งสองข้างวางแนบชิดลำตัว ทั้งที่การแต่งตัวของเขาเหมือนกับพวกขุนนาง แต่ด้านหลังเขากลับมีทหารหลวงอีกหลายสิบคน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ชายาอวี้ กระหม่อมป๋ายหลี่อู๋เฉินขอบพระทัยในการสนับสนุนของพระองค์”
กล่าวเสียงเย็นชา ทว่ากลับมีกลิ่นเลือดลอยปนมาตามลม
หลินเมิ้งหยาไม่มีทางลืมเจ้าของเสียงนี้ เขาเคยจับนางเป็นตัวประกันเพื่อหนีออกจากจวนอวี้
เพราะเหตุนี้ไม่ว่านางจะส่งคนออกไปตามหาเท่าใดก็ไม่เจอ
ที่แท้ป๋ายหลี่อู๋เฉินก็หนีไปพึ่งพิงไท่จื่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางกลาโหมอีกด้วย เขาจึงมีท่าทางหยิ่งยโสเช่นนี้
“ทหารหลวงช่างมีน้ำใจยิ่งนัก แม้จะเจอสุนัขตาบอดหลงทางแต่ก็ยังรับเข้าไปทำงานในตำแหน่งใหญ่โต”
หลินเมิ้งหยาไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีทางลืมปัญหาที่ป๋ายหลี่อู๋เฉินนำมาให้หลงเทียนอวี้หลังจากทรยศออกจากจวนไป
ทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินกลับไม่ใส่ใจคำพูดของนาง เขาทำเพียงเหยียดยิ้มมีเลศนัย สายตาจับจ้องไปทางเถียนมามา
“แม่ทัพหลิน เจ้าเป็นถึงขุนนางในราชสำนัก เช่นนั้นควรจะดูแลความมั่นคงของราชสำนัก แต่วันนี้พวกอันธพาลได้รับบาดเจ็บ คนของข้าต้องการตรวจสอบ แต่เจ้ากลับไม่ให้ความร่วมมือ อีกทั้งยังคิดจะพาพยานของข้าไป หรืออันธพาลเหล่านี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้ากันแน่? หรือเหตุที่เจ้าร้อนใจก็เพราะต้องการจะฆ่าปิดปากพวกเขา?”
เพียงป๋ายหลี่อู๋เฉินอ้าปากเอ่ยวาจา ความโกรธเกรี้ยวของหลินหนานเซิงพลันพวยพุ่ง
แม้หลินเมิ้งหยาจะโกรธ แต่นางเข้าใจทุกอย่างดี
ป๋ายหลี่อู๋เฉินถนัดการทำเรื่องผิดให้กลายเป็นถูก คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรเช่นนี้ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีวันยอมให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินพาเถียนมามาและเถียนหนิงไป
“ใต้เท้าป๋ายหลี่ เจ้าและข้าล้วนเป็นขุนนางระดับสี่เช่นเดียวกัน แต่เจ้าอย่าลืมว่าขุนนางกลาโหมเช่นเจ้าดูแลเพียงเรื่องการอบรมทหารหลวง แต่การไต่สวนเป็นหน้าที่ของกรมอื่น แม้ข้าจะเป็นเพียงแม่ทัพแห่งเขตชายแดน แต่ข้าดูแลเรื่องงานนอกราชสำนัก ลูกน้องของเจ้าไร้มารยาทต่อพระชายา ดูเหมือนว่างานฝ่ายในของเจ้าจะมีปัญหาใช่หรือไม่”
หลินเมิ้งหยามองพี่ชายของตนเองด้วยอาการตกตะลึง แม้ว่าจะแอบชื่นชมความฉลาดเฉลียวของพี่ชายอยู่ในใจ
แต่ในความทรงจำของนาง พี่ชายหาได้มีวาทศิลป์ในการพูดไม่
ดูเหมือนการควบคุมดูแลกำลังทหารที่ผ่านมาหลายปีจะทำให้พี่ชายเปลี่ยนไป
“ตอนแรกข้าคิดว่าแม่ทัพหลินจะทำเพียงสงครามที่เขตชายแดนเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้เรื่องงานในราชสำนัก ใช่แล้ว แม้ข้าจะดูแลเพียงงานฝ่ายใน แต่เรื่องงานของทหารหลวงย่อมเกี่ยวข้องกับข้า เหตุที่แม่ทัพหลินขัดขืนมิยอมถอย หรือเพราะเจ้าไม่เคารพราชสำนักและคิดจะก่อกบฏ?”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินยังคงหยักยิ้มมีเลศนัย ไม่ว่าใครก็มองความคิดของเขาไม่ออก แม้แต่เย่ซวงเฮ่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเขายังตัวสั่นเทิ้ม
คนที่พวกเขากลัวที่สุดหาใช่ท่านขุนนางแห่งกรมกลาโหมหรือไท่จื่อ แต่เป็นผู้ดูแลงานฝ่ายในคนใหม่ที่เพิ่งจะรับตำแหน่งไม่นานคนนี้ต่างหาก
หากทำให้ท่านขุนนางหรือไท่จื่อขุ่นเคือง เช่นนั้นโทษที่จะได้รับคือการทุบตีหรือถูกขับออกจากกรมทหารหลวง
แต่ถ้าหากทำให้ท่านป๋ายหลี่ขุ่นเคืองแล้วล่ะก็ เช่นนั้นโทษที่พวกเขาจะได้รับนั้นน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าความตาย
ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงยืนมองสงครามระหว่างป๋ายหลี่อู๋เฉินและหลินหนานเซิง