ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 368 ข้าจะไปกับเจ้า
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นคนเช่นไร
นางและป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องรบรากันให้ตายไปข้างหนึ่ง
แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือวันนี้ท่านพี่และสองแม่ลูกสกุลเถียนจะต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย
มือของหลินเมิ้งหยากำแน่น หยาดเหงื่อผุดขึ้นกลางฝ่ามือ
ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่มีวันปล่อยให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินได้ตัวเถียนมามาไปเด็ดขาด
“กบฏ?”
ดวงตาของหลินหนานเซิงคมกริบ แสยะยิ้มเย็นชา
“พวกข้าสกุลหลินอุทิศตนรบในศึกสงครามหลายชั่วอายุคนเพื่อปกป้องต้าจิ้นมิให้เสียเลือดเนื้อ แต่วันนี้เจ้าที่จะว่าหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงกลับกล่าวหาว่าพวกข้าเป็นกบฏ ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้คำพูดของตัวเอง!”
ขณะเดียวกัน ดาบสีเงินวาววับถูกชักออกมา
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจ วินาทีต่อมา ดาบของพี่ชายตวัดเข้าไปใกล้ลำคอของป๋ายหลี่อู๋เฉิน
“ช้าก่อน!”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะรั้งแขนข้างที่ถือดาบของหลินหนานเซิงเอาไว้
นางรู้ว่าพี่ชายของตนมิใช่คนบุ่มบ่าม แต่เพราะป๋ายหลี่อู๋เฉินดูหมิ่นสกุลหลิน ฉะนั้นพี่ชายจึงคิดจะเอาชีวิตของเขา
“หยาเอ๋อร์ปล่อยพี่”
หลินหนานเซิงกดเสียงต่ำ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยโทสะ
แต่ตอนนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่ใช่ที่ปรึกษากระจอกงอกง่อยอีกต่อไป
คาดว่าหัวใจของเขาคงเปี่ยมไปด้วยความแค้นและกลอุบาย ตำแหน่งขุนนางกลาโหมไม่มีทางสนองความพึงพอใจของเขาได้
ถึงอย่างไรตอนนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินก็เป็นหนึ่งในขุนนางแห่งราชสำนักเช่นเดียวกับท่านพี่
หากเขาตายเพราะเงื้อมมือของพี่ชายตอนนี้ เกรงว่าอนาคตของหลินหนานเซิงคงมืดมน
“ป๋ายหลี่อู๋เฉิน เจ้าและข้ามีความแค้นต่อกัน พวกเขามิได้เกี่ยวข้องด้วย วันนี้ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าพาเถียนมามาและพี่เถียนหนิงไปอย่างแน่นอน หากเจ้ายังไม่อยากตาย เช่นนั้นจงพาคนของเจ้าไปจากที่นี่เสีย”
มองพี่ชายที่กำลังโกรธเกรี้ยวของตนเอง หลินเมิ้งหยาจึงร้องตะโกนออกมา
ทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินกลับเหยียดยิ้ม นิ้วเรียวยาวสองนิ้วปัดปลายดาบของหลินหนานเซิงออก
“ฮ่า ฮ่า คุณหนูใหญ่สกุลหลิน ชายาอวี้ เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก”
ความโหดเหี้ยมอำมหิตวาดอยู่บนดวงตาของป๋ายหลี่อู๋เฉิน
ราวกับต้องการจะหักแขนขาของหลินเมิ้งหยาจนขาดใจ เขาจึงจะพอใจ
“ไป? หลินเมิ้งหยา เจ้าและข้ายังมีหนี้แค้นที่ต้องชำระ แต่วันนี้ข้ามาเพื่อทำภารกิจของทางการ สองแม่ลูกสกุลเถียนต้องไปกับข้า มิเช่นนั้นเจ้าและพี่ชายของเจ้าจะโดนโทษฐานกบฏ !”
แม้วันนี้หลินเมิ้งหยาและสองแม่ลูกสกุลเถียนจะเป็นผู้ถูกทำร้าย แต่น่าเสียดายที่หลักฐานมีเพียงน้อยนิด ฉะนั้นจึงมิอาจหักล้างเหตุผลของป๋ายหลี่อู๋เฉินได้
มองดูสายตาโหดเหี้ยมของเขา หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงกัดฟัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็จะไปกับพวกเจ้า”
หลินหนานเซิงและเถียนมามาหันขวับไปมองหลินเมิ้งหยาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะตัดสินใจเช่นนี้
“ไม่ได้ หยาเอ๋อร์ เจ้าจะไปกับเขาไม่ได้”
เรื่องราวดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้หลินหนานเซิงเป็นคนโง่ เขาก็ดูออกว่าชายตรงหน้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตของน้องสาวตนเอง
ทว่าตอนนี้น้องสาวของเขากำลังจะไปกับชายคนนั้น เช่นนั้นคงไม่ต่างอันใดจากแกะเดินเข้าปากเสือมิใช่หรือ?
ไม่ได้ เขาไม่มีวันอนุญาต
“ท่านพี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า ป๋ายหลี่อู๋เฉิน สักวันหนึ่งความแค้นของพวกเราสองคนจะต้องได้รับการชำระ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะตัดสินเรื่องของเถียนมามาอย่างชอบธรรม หากเจ้าใช้ความแค้นส่วนตัวมาตัดสิน เช่นนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าข้าจะหักแข้งขาและกระดูกทุกท่อนของเจ้าอย่างไร !”
หลินเมิ้งหยามองเรื่องนี้ในแง่มุมที่เลวร้ายที่สุด
หากนางไม่ไปด้วย เช่นนั้นสิ่งที่รอเถียนมามาอยู่คงเป็นความตาย
แต่ถ้าหากนางไปด้วย นางอาจถูกส่งเข้าไปอยู่ในคุก เช่นนั้นชื่อเสียงของนางก็จะถูกทำลายลงด้วยเช่นเดียวกัน
แต่เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับเถียนมามา พวกเขาสองแม่ลูกล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์
หลินเมิ้งหยาไม่มีวันปล่อยให้คนของนางต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างไม่เป็นธรรม !
“ดี หากพระชายามีพระประสงค์เช่นนั้น กระหม่อมก็คงมิขัด ช่างเป็นคนที่มีเหตุผลเหลือเกินนะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อเทียบกับพี่ชายที่รู้จักเพียงการใช้อาวุธแล้ว พระองค์นับว่าเก่งกว่าเขามาก วางใจเถิด ข้าจะไม่พาลระบายโทสะกับผู้อื่นเพราะความแค้นระหว่างเราอย่างแน่นอน เช่นนั้นเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินเหยียดยิ้มมีเลศนัย นัยน์ตาเผยให้เห็นความหยิ่งผยอง
ในที่สุดวันที่เขาจะดึงหลินเมิ้งหยาผู้สูงศักดิ์ลงมาสยบแทบเท้าก็มาถึง เช่นนั้นจะมิให้เขาดีใจได้อย่างไร
“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ”
เถียนมามารั้งบ่าของหลินเมิ้งหยาเอาไว้แน่น ใบหน้าร้อนรนกระวนกระวาย
นางผิดเอง หากนางไม่พาเถียนหนิงมารักษาตัวที่เมืองหลวง นางก็คงไม่ถูกคนเหล่านั้นใช้ประโยชน์เพื่อทำร้ายคุณหนูและคุณชาย
เช่นนั้น…เช่นนั้นนางยอมตายเสียดีกว่า!
ขณะที่หัวใจของเถียนมามากำลังส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความผิดหวัง หลินเมิ้งหยากลับมองทะลุถึงความคิดของนางทั้งหมด
“เถียนมามา วางใจเถิด คนพวกนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เถียนมามาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะได้เห็นดวงตามุ่งมั่นของหลินเมิ้งหยา
อยู่ๆ หัวใจพลันรู้สึกเชื่อมั่นในตัวหลินเมิ้งหยาโดยไม่มีเหตุผล
ดูเหมือนเด็กๆ ที่เคยวิ่งกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ตัวนางจะเติบโตและกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งกันหมดแล้ว
“ท่านพี่ ท่านกลับไปกับป๋ายจื่อก่อน หลังจากกลับไปแล้ว อย่าได้เอะอะโวยวายเรื่องนี้ พวกเขาเพียงแค่อยากขัดแข้งขัดขาข้าแต่เพียงเท่านั้น หากท่านกลับไปแล้ว จำเอาไว้ว่าท่านจะต้องกลับไปที่บ้าน”
เมื่อคิดถึงส่วนรวม หลินเมิ้งหยาไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้น
ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลินหนานเซิงเพื่อให้เขาหาโอกาสส่งคนมาช่วย
แม้หลินหนานเซิงจะไม่ยินยอม แต่เขาเข้าใจคำขอร้องของน้องสาว
ตอนนี้คนที่นางพึ่งได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่จะพาหลินเมิ้งหยาและแม่นมกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินหนานเซิงมิอาจทำใจยอมรับได้
จ้องป๋ายหลี่อู๋เฉินเขม็ง ก่อนจะเก็บดาบของตัวเอง
“ป๋ายหลี่อู๋เฉิน เจ้าจงจำคำข้า น้องสาวของข้าไปกับเจ้าเพื่อให้ความร่วมมือในการสืบสวนแต่เพียงเท่านั้น หากเจ้ายังรู้ความอยู่บ้าง เช่นนั้นจงปฏิบัติต่อนางสาวของข้าให้ดี มิเช่นนั้นพวกข้าสกุลหลินจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินหาได้สนใจเสียงเตือนของหลินหนานเซิง เขาโบกมือเพื่อสั่งให้ลูกน้องพาตัวคนไป
ภายในเรือน พวกอันธพาลที่สงบลงแล้วถูกทหารหลวงมัดตัวไว้ด้วยกัน
ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญของพวกเขา หลินเมิ้งหยาและสองแม่ลูกสกุลเถียนถูกเชิญมาที่รถม้าของพวกทหารหลวง
“ข้าผิดเอง…หากมิใช่เพราะร่างกายของข้า ท่านแม่คงไม่ต้องมาเมืองหลวง หยา…คุณหนูเองก็ไม่ต้องถูกจับกุมมาเช่นนี้”
เหตุเพราะเสียเวลาอยู่นาน เถียนหนิงจึงไอหนักกว่าเดิมมาก ใบหน้าที่เคยขาวซีดกลับมีเลือดฝาดเล็กน้อยเพราะถูกพาตัวมา แต่ถึงกระนั้นเขากลับดูอ่อนแอกว่าเดิมมาก
“เรียกข้าว่าหยาเอ๋อร์เถิด พวกท่านหาได้ทำให้ข้าตกอยู่ในอันตรายไม่ แต่ข้าต่างหากที่ทำให้พวกท่านต้องลำบากเช่นนี้ ทั้งที่รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคือข้า แต่ข้ากลับปกป้องพวกท่านไม่ได้”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มขมขื่นพร้อมทั้งส่ายหน้า เมื่อก่อนน้าจิ่นเยว่เคยเตือนนางแล้ว
นางมิได้อยู่ตัวคนเดียว ทั้งสกุลหลินและจวนอวี้ล้วนมีคนที่นางไม่อาจเสียไปได้
แต่ในสายตาของศัตรู คนเหล่านี้เปรียบเสมือนจุดอ่อนของนาง
การมีจุดอ่อนเช่นนี้ทำให้นางเกิดข้อบกพร่องร้ายแรง
ทว่าโชคดีที่นางรู้ตัวเร็ว ฉะนั้นเถียนมามาและพี่เถียนหนิงจึงไม่มีจุดจบเหมือนอย่างพี่เยว่ถิง
“หยาเอ๋อร์ เจ้า…เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา เถียนหนิงและข้าเป็นเพียงคนต่ำต้อย แต่ถ้าหากพวกเขาจับกุมเจ้าได้ขึ้นมา เช่นนั้นชื่อเสียงของเจ้าจะเป็นเช่นไร?”
สีหน้าของเถียนมามาเป็นกังวล แม้นางจะมีลูกชายเพียงคนเดียว แต่หลินเมิ้งหยาเองก็เปรียบเสมือนหัวใจของนางเช่นเดียวกัน
ตอนนั้นเพื่อมิให้ซ่างกวนชิงทำร้ายหลินเมิ้งหยา นางจึงพาลูกชายของตนเองออกไปจากที่นี่ แต่พอมาวันนี้ หากนางต้องทำเพื่อหยาเอ๋อร์และหนานเซิง เช่นนั้นนางก็พร้อมจะไปมิหวนกลับมา
เพียงแต่…อาจต้องทำให้เถียนหนิงต้องทรมานแล้ว
“ชื่อเสียงของข้า? มามาอาจไม่รู้ว่าชื่อเสียงของข้าดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ฉะนั้นเรื่องถูกจับเข้าคุกอาจเป็นเพียงเรื่องน่าประหลาดใจเรื่องใหม่เพียงเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งความกังวล เหตุเพราะนางมิได้เพิ่งเข้าคุกเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นฮองเฮาเองก็เคยจับนางขังคุกมิใช่หรือ? คราวนี้นางแค่ตั้งใจเข้าไปเที่ยวเล่นแต่เพียงเท่านั้น ดีเสียอีก นางจะได้เข้าไปสำรวจว่าคุกของทหารหลวงแตกต่างจากที่อื่นเช่นไร
“เฮ้อ เด็กคนนี้นี่หนา หากมิใช่เพราะ…ฮูหยินด่วนจากไปแล้วล่ะก็ ชีวิตของเจ้าคงไม่ลำบากเช่นนี้”
เมื่อพูดถึงมารดาของหลินเมิ้งหยา หยาดน้ำตาพลันร่วงหล่นจากดวงตาของเถียนมามา
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็อยากรู้เรื่องราวในอดีต ดูเหมือนเถียนมามาจะเป็นผู้รู้เหตุการณ์มิใช่หรือ?
ขณะเดียวกัน ดวงตาคู่สวยพลันเปล่งประกาย ยื่นมือเข้าไปกุมมือของเถียนมามา ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามเรื่องที่ตนเองสงสัย
“มามา ตอนนั้นข้ากลายเป็นเด็กสติฟั่นเฟือนได้อย่างไรหรือ? ท่านยังจำได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก เหตุเพราะท่านพ่อและท่านพี่ล้วนเคยเล่าว่าแต่ก่อนนางเป็นเด็กฉลาดเฉลียว
แต่เพราะเหตุใดนางจึงเปลี่ยนเป็นเด็กสติฟั่นเฟือนไปได้ อีกทั้งร่างกายยังถูกวางยาพิษ คำถามเหล่านี้ล้วนเกาะกินหัวใจของนางมาอย่างเนิ่นนาน
เถียนมามาเช็ดน้ำตา ก่อนจะผงกศีรษะลงพลางกระซิบเสียงเบา
“คุณหนูตกใจหวาดผวาจนเสียสติ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นคุณหนูมีอายุเพียงสี่ห้าขวบเท่านั้น วันนั้นข้าต้องออกไปส่งยาให้เถียนหนิง ฉะนั้นจึงสั่งให้หรูเยว่ อ้อ ต้องเรียกว่าป๋ายจื่อ ข้าสั่งให้ป๋ายจื่อไปนอนที่ห้องนอน แต่พอข้ากลับมาอีกครั้ง ป๋ายจื่อยังคงนอนอยู่ที่เดิม แต่คุณหนูกลับหายตัวไป ต่อมาข้าหาตัวท่านเจอที่ตีนเขาปลอม ร่างกายของท่านเย็นชืด แม้แต่ริมฝีปากก็กลายเป็นสีม่วง ข้าตกใจแทบสิ้นสติ จึงรีบพาคุณหนูไปหาหมอ พอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็กลายเป็นเด็กสติฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว ข้าเคยถามหมอ แต่เขาบอกว่าคุณหนูตกใจจนเสียสติ”