ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 380 คลื่นความหึงหวง
เถียนมามาเป็นคนเก่าแก่ของสกุลหลิน เวลาเพียงแค่ช่วงบ่ายนางก็ทำความรู้จักกับผอจื่อในจวนอ๋องเกือบทั้งหมด
เถียนมามาแตกต่างจากป๋ายจีและป๋ายซ่าว เหตุเพราะเพียงมองปราดเดียวนางก็ล่วงรู้อุปนิสัยใจคอของอีกฝ่ายได้ในทันที
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เถียนมามาสามารถจำชื่อและใบหน้าของคนเหล่านั้นได้ทั้งหมด
เหตุเพราะแต่ไหนแต่ไรมาตำหนักของหลินเมิ้งหยาไม่มีพิธีรีตองมากนัก ฉะนั้นนอกจากพวกผอจื่อ สาวใช้ของนางล้วนสามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมกันได้
บางครั้งเสี่ยวป๋ายและเสือน้อยซึ่งเติบโตขึ้นมากจนคนนอกรู้สึกหวาดกลัว มักจะแสดงท่าทางน่าสงสารพร้อมทั้งทำท่าความน่ารักน่าชังข้างกายหลินเมิ้งหยา
ทว่าวันนี้เถียนมามากลับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขณะมองคนในตำหนักที่กำลังรับประทานอาหารร่วมกัน
“มามา ข้ารู้สึกว่าท่านกำลังไม่พอใจ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
แม้หลินเมิ้งหยาจะมีฐานะสูงส่ง แต่นางมิเคยแบ่งชนชั้นวรรณะของทุกคนแต่อย่างใด
เมื่อหลินเมิ้งหยาเอ่ยเช่นนี้ เหล่าสาวใช้ต่างหยุดกินอาหาร
“คุณหนู ข้ารู้ว่าท่านเอ็นดูสาวใช้ของตนเอง เมื่อก่อนฮูหยินเองก็ปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้ แต่ท่านเป็นถึงพระชายา หากต่อไปไท่จื่อขึ้นครองบังลังก์ ท่านก็จะกลายเป็นพระชายาของท่านอ๋องผู้เป็นพระญาติของฮ่องเต้ หากทุกคนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่เพียงแค่ท่าน แต่พวกนางเองก็จะถูกมองไม่ดีไปด้วย”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าเถียนมามาทำเพื่อนาง
ปกติแล้วนางเป็นคนมีไหวพริบคล่องแคล่วว่องไว ฉะนั้นเพียงเถียนมามาเอ่ยเช่นนี้ นางก็เข้าใจความหมายได้ในทันที
ตอนนี้สถานะของหลงเทียนอวี้ไม่เพียงเป็นที่กล่าวขาน แต่เขายังถูกจับตามองอีกด้วย
ส่วนพระชายาเช่นนางกลับมีชื่อเสียงไม่สู้ดีนัก สามวันดีสี่วันเกิดเรื่องจนชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง
แต่พวกป๋ายซ่าวแตกต่างจากทุกคน หากมีข่าวลือออกไป พวกนางจะถูกตำหนิและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่รู้จักกฎระเบียบ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของพวกนางในอนาคต หากภายภาคหน้าคิดจะแต่งงานออกเรือน คาดว่าบ้านของฝ่ายชายคงจะคิดว่าพวกนางเป็นพวกโอ้อวดเอาแต่ใจ
นางคิดไม่รอบคอบเอง ชื่อเสียงของนางจะเสียหายก็ไม่เป็นไร แต่นางไม่ควรทำให้ชื่อเสียงของพวกสาวใช้ต้องด่างพร้อยไปด้วย
“เจ้าค่ะ ข้าจะคุยกับพวกนางเรื่องนี้เอง มามาโปรดวางใจ พวกเราผู้น้อยคิดเรื่องนี้ไม่รอบคอบเอง”
ในที่สุดคิ้วของเถียนมามาก็คลายออกจากกัน
โชคดีที่อุปนิสัยใจคอของคุณหนูเหมือนกันกับฮูหยิน พวกนางมักจะฟังคำพูดของตนเองเสมอ
เพียงเถียนมามาได้เห็นแม่นางทั้งสองก็รู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก อีกทั้งพวกนางยังปฏิบัติตัวอย่างดีต่อคุณหนู นางจึงมองพวกป๋ายจีและป๋ายซ่าวเป็นพวกเดียวกับตน
“อีกอย่าง วันนี้ข้าไปที่โรงครัวและได้เห็นคนในจวนตระเตรียมอาหารคาว ขออภัยที่ข้าอาจจะปากมากไปเสียหน่อย แต่คุณหนูกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือ? หรือมีเจ้านายคนใดในจวนกำลังตั้งครรภ์?”
“พรวด….”
ชาในปากของหลินเมิ้งหยาถูกพ่นออกมา ดวงตากลมโตหันไปมองเถียนมามาราวไม่อยากจะเชื่อในสิ่งนางกำลังพูด
“ไม่…ไม่มีทาง พวกเขาเตรียมให้คนรับใช้ในจวนหรือไม่?”
จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!
นางกับหลงเทียนอวี้แต่งงานกันมาหนึ่งปีก็จริง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเป็นสาวพรหมจรรย์!
อย่าว่าแต่การใช้ภาษากายคุยกันเลย แม้แต่กุมมือหรือจุมพิตยังไม่ค่อยได้ทำ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกสาวใช้ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
หลงเทียนอวี้หาใช่คนเจ้าชู้ สามีของพระสนมเต๋อเฟยยังคงสลบไสลอยู่วัง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีใครตั้งครรภ์อย่างแน่นอน
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ แม้จวนอ๋องกับจวนของพวกเราจะต่างกัน แต่อาหารของพวกเจ้านายหาใช่เรื่องยากที่จะคาดเดา หากคนรับใช้ในจวนท้อง เช่นนั้นพวกเขาจะต้องมารายงานท่านที่เป็นนายหญิงของจวนให้รับรู้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้เห็นทุกคนในจวนแล้ว แม้พวกเขาบางคนจะมิได้เกรงกลัวท่าน แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกรงใจท่านที่มีฐานะเป็นนายหญิง อีกอย่าง เรื่องการตั้งครรภ์นับเป็นเรื่องน่ายินดี ปกติเวลามาแจ้งข่าวต่อเจ้านาย พวกเขาจะได้รับของขวัญกลับไปด้วย ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าอาหารเหล่านั้นจะต้องตระเตรียมไว้เพื่อเจ้านายมิใช่คนรับใช้อย่างแน่นอน”
ตอนฮูหยินหลินตั้งครรภ์ เถียนมามาเป็นผู้ดูแลนางทุกอย่าง
นางจึงรู้เรื่องนี้ค่อนข้างมาก
หากเถียนมามามั่นใจเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างแน่นอน
เจ้านายในจวนแห่งนี้มีเพียงหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้และพระสนมเต๋อเฟยเท่านั้น
คนที่ดูมีวี่แววว่าจะตั้งท้องได้มากที่สุดคงเป็นหลงเทียนอวี้!
หลินเมิ้งหยาไม่อาจชะล่าใจ แต่ก็ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น
ตอนนี้เย็นแล้ว หากนางไปตรวจสอบเกรงว่าจะไม่เหมาะสม
“ข้าจะจำเรื่องนี้เอาไว้ อีกไม่กี่วันท่านอ๋องจะต้องออกเดินทางแล้ว ฉะนั้นพวกเราอย่าเพิ่งหาเรื่องยุ่งยากใจให้เขาจะดีกว่า”
เหตุเพราะเรื่องนี้ค่อนข้างน่าตกใจ
อีกทั้งนางยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นของแผนร้ายบางอย่าง
หลินเมิ้งหยาที่ยังไม่รู้สึกง่วงนั่งข้างหน้าต่างและอ่านตำราชิงเจิงผู่
ยิ่งพลิกหน้ากระดาษ นางยิ่งรู้สึกว่าตำราเล่มนี้ช่างล้ำค่า
บางส่วนเขียนเอาไว้เพียงไม่กี่ประโยค แต่กลับขจัดม่านหมอกแห่งความสงสัยออกไปจนหมด โรคร้ายแรงหลายโรคสามารถหาทางรักษาได้จากตำราเล่มนี้
สิ่งที่น่าพิศวงไปกว่านั้นก็คือตำราเล่มนี้มีการบันทึกคำอธิบายประกอบเอาไว้อย่างละเอียด
นี่คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในตำราเล่มนี้
หลินเมิ้งหยาไล่อ่านทุกตัวอักษร นางหวังว่าจะได้พบร่องรอยเบาะแสของท่านแม่บ้าง
ขณะที่นางกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับตัวหนังสือ กลิ่นหอมเย็นบางอย่างพลันโชยเข้ามาเตะจมูก
สัมผัสเย็นแผ่วเบาแตะลงบนแก้มของนาง
หลินเมิ้งหยาผินหน้ามอง ก่อนจะได้เห็นเห็นดอกอิ๋งชุนแรกแย้ม
เกสรสีเหลืองนวลดูราวมิหวาดกลัวต่ออากาศหนาวของต้นฤดูวสันต์เลยแม้แต่น้อย กลีบดอกยังคงชูช่องดงามอย่างหยิ่งยโส
ดอกอิ๋งชุนเปรียบเสมือนหญิงงามหนึ่งเดียวในเมือง ค่อยๆ ผลิบานเพื่อสร้างสีสันให้แก่อากาศที่กำลังจะกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
“นี่คือ…ให้หม่อมฉันหรือเพคะ?”
หลินเมิ้งหยาพลันยิ้มกว้างยิ่งกว่าดอกไม้แรกแย้ม ดวงตาประหลาดใจระคนดีใจเผยให้เห็นถึงความไร้เดียงสา อีกทั้งยังเปล่งประกายเจิดจ้าราวดวงดาราบนท้องฟ้า
รับดอกอิ๋งชุนจากมือหลงเทียนอวี้ ก่อนจะรีบเทน้ำใส่แจกันแล้วปักลงไป
ห้องของนางเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่า แต่น้อยนักที่จะได้เห็นสิ่งของให้ความสดชื่นเช่นนี้
ยากนักที่จะหากระถางต้นไม้ได้ ดังนั้นนางจึงใช้แจกันหยกขาวแทน เมื่อเทียบกับความสดชื่นของดอกอิ๋งชุนแล้ว ตอนนี้จึงดูเหมือนดอกไม้ประดิษฐ์มากกว่าดอกไม้ธรรมชาติ
มองท่าทางดีใจของอีกฝ่าย ใบหน้าของหลงเทียนอวี้ปรากฏรอยยิ้ม
สำหรับเขาแล้ว หลินเมิ้งหยามักนำความรู้สึกแปลกใหม่มาให้เสมอ
หากจะให้พรรณนาเกี่ยวกับนางแล้วล่ะก็ นางชอบสิ่งของมีค่ามากที่สุด เพียงมอบเงินให้นาง นางก็หลงใหลได้ปลื้มในทันที
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางเมื่อได้รับดอกไม้ไร้ราคาเช่นนี้ เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าดอกไม้ในสายตาของนางจะมีค่ายิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองหรือไม่?
“พระองค์ดูสิเพคะ สวยหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาหยิบแจกันปักดอกไม้ยื่นให้หลงเทียนอวี้ดู
กลีบดอกของต้นอิ๋งชุนบานกว่าเดิมเล็กน้อย อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้หัวใจสงบ
“อืม สวยมาก”
หลินเมิ้งหยายิ้มอ่อนหวานเสมือนเด็กได้รับรางวัลจากคำชมของหลงเทียนอวี้ นางครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจนำไปวางไว้บนหัวนอน
“ข้า…พรุ่งนี้ต้องไปแล้ว”
มือเล็กที่จับดอกไม้ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนเสียงแผ่วเบาจะดังขึ้นตามหลัง
“อ้อ เช่นนั้นระวังตัวด้วยนะเพคะ พระองค์เตรียมของครบแล้วหรือไม่? การเดินทางคราวนี้คาดว่าจะต้องขึ้นเขาลงห้วย เช่นนั้นคงต้องเอาเสื้อผ้าไปมากหน่อย หม่อมฉันสั่งป๋ายจีให้เตรียมชุดเอาไว้ให้พระองค์แล้ว พรุ่งนี้พระองค์ให้หลินขุยมารับเถิด อีกอย่าง หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์มีหมอติดตามไปด้วย แต่พระองค์ควรเอายาสามัญประจำบ้านติดตัวไปด้วย หากอยู่ข้างนอกจะต้องดูแลร่างกายให้ดี อย่าตากลมจนป่วย จะต้องดื่มน้ำต้มสุกเท่านั้น ท้องไส้จะได้ไม่มีปัญหา แล้วก็…”
อยู่ๆ เสียงบ่นพึมพำก็หยุดชะงัก
ขณะที่นางไม่ทันระวังตัว มือหนาสองข้างวางลงบนบ่าบอบบาง ก่อนจะหมุนร่างของนางเข้าหาแผงอกแข็งแกร่งของตนเอง
กายบางถูกเขาโอบเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรพูดอะไร สุดท้ายแสร้งปล่อยร่างให้อ่อนยวบแล้วซุกซบอยู่ในวงแขนของเขา
“ข้ารู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้ายังมีสิ่งใดอยากกำชับข้าอีกหรือไม่?”
เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาทำให้ร่างกายของหลินเมิ้งหยาอ่อนระทวย
เชื่อว่าจะต้องไม่ใช่นางเพียงคนเดียวที่กำลังทำตัวไม่ถูก
แต่งงานใกล้จะครบปีแล้ว เมื่อก่อนเขาเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระเพียงตัวคนเดียว แต่หลังจากมีนางอยู่ข้างกาย เขาเพิ่งรู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาเขาจมอยู่กับความโดดเดี่ยว
ราวกับเขาพกนางไว้ข้างกายเสมอ ไม่ว่าไปที่ใดก็มักจะมองเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของนาง
แขนออกแรงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางมักทำให้เขาปวดหัวแต่กลับน่าสนใจอยู่เสมอ
บางครั้งหลงเทียนอวี้คิดว่าหากคนที่เขาแต่งงานด้วยไม่ใช่หลินเมิ้งหยา เช่นนั้นเขาอาจจะไม่พบความรู้สึกเช่นนี้ไปชั่วชีวิต
ดังนั้นแม้ป๋ายหลี่อู๋เฉินจะบอกว่าเขาเปลี่ยนไป ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง อีกทั้งหลินเมิ้งหยายังกลายเป็นจุดอ่อนของเขา แต่เขายินยอมเก็บหลินเมิ้งหยาเอาไว้ข้างกาย เขาไม่อยากให้นางหายไปจากสายตา
“อีกอย่าง…หากพบเจอดอกไม้ริมทาง พระองค์ห้ามเด็ดเป็นอันขาด! มิเช่นนั้นเราจะได้เห็นดีกัน!”
แม้ใบหน้าจะแดงก่ำ แต่หลินเมิ้งหยายังตั้งใจเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันให้เขาเห็น
มือเล็กยื่นเข้าไปที่ใบหูของหลงเทียนอวี้ นางอยากแสดงให้เขาเห็นว่าหากเขาบังอาจนอกใจ นางจะทำลายทุกอย่างของเขาอย่างแน่นอน
หลงเทียนอวี้กลับไม่มองว่านางบังอาจทำเรื่องเกินงาม มุมปากหยักยิ้มมีเลศนัย ก่อนสีหน้าจะกลายเป็นขมขื่น
“ถ้ามีคนต้องการตอบแทนบุญคุณข้าเล่า เช่นนั้นจะให้ทำเช่นไร?”
“ห้ามตอบแทนบุญคุณ! ใครบังอาจเข้ามาตอบแทนบุญคุณท่าน หม่อมฉันจะมอบป้ายวิญญาณให้พวกเขา”
เสียงขบกรามแน่นของพระชายาดังไปทั่วทั้งห้อง
“แต่ว่า….”
ท่านอ๋องแสดงท่าทางลังเล ทว่าพระชายากลับแสดงท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ไม่มีแต่!”
“ถ้าหาก...”
“ไม่อนุญาตให้มีคำว่าถ้า!”
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าฟังเจ้า”
ท่านอ๋องแอบหยักยิ้ม…