ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 382 สัญลักษณ์ดอกเหมยแดง
“ไม่แล้วเจ้าค่ะ ข้าตื่นแล้ว”
หลินเมิ้งหยาอ้าปากหาวพลางยกมือขึ้นขยี้ตา ก่อนจะลงจากเตียงพลางกวาดสายตามองห้องนอนของตัวเอง
เมื่อคืนนางนอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
กุญแจยังคงถูกลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนา นี่ตาบ้านั่นจากไปโดยไม่คิดจะมาบอกลานางเลยหรือ?
ฮึ เขาทิ้งนางไว้ที่จวนคนเดียวจริงๆ ด้วย
นางจะไม่มีวันอภัยให้เขาเด็ดขาด!
เบะปากแสดงความไม่พอใจ ไม่รู้ว่าเพราะหลงเทียนอวี้ไม่มาบอกลาหรือเพราะถูกเขาขังเอาไว้ในตำหนัก ฉะนั้นพระชายาจึงมีท่าทางโมโหเช่นนี้
เถียนมามานำชุดฤดูใบไม้ผลิกลิ่นหอมและนุ่มสบายมาคอยท่าอยู่นานแล้ว ชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนมีผ้าไหมบางๆ เพิ่มความนุ่มนิ่ม
แต่เดิมนางมักคิดเสมอว่าเสื้อผ้าของฮูหยินงดงามหรูหรา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเสื้อผ้าของคุณหนูจะงดงามโดดเด่นมีเอกลักษณ์เช่นนี้
หากเป็นเรื่องของกินและเสื้อผ้า คุณหนูมักมีทัศนคติที่ดีอยู่เสมอ ขอเพียงกินอิ่มสวมชุดอบอุ่น เท่านี้คุณหนูก็ไม่ร้องขอสิ่งใดอีกแล้ว
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมเสร็จเรียบร้อย หลินเมิ้งหยาแอบวิ่งไปที่หน้าประตูตำหนักหลิวซิน
เมื่อคืนมีองครักษ์คุ้มกันนางอย่างเข้มงวด แต่เพราะเหตุใดเช้านี้จึงไม่มีใครเฝ้าประตูเลยเล่า?
ยกชายกระโปรงขึ้น หลินเมิ้งหยาแอบวิ่งตรงไปที่ประตู
หรือคนในจวนอวี้จะแอบขี้เกียจกันเล่า? พกความสงสัยไปกับฝีเท้าที่สาวเข้ามาถึงหน้าประตูจวน
ทว่าเพียงเท้าข้างหนึ่งยื่นออกไป องครักษ์แปดคนพลันวิ่งกรูมาหยุดตรงหน้านาง
“พระชายาเชิญเสด็จกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงขึงขังทำให้หลินเมิ้งหยาตกใจจนตัวโยน
ถลึงตาจ้องใบหน้าถมึงทึงทั้งแปด ฮ่า! ปีศาจพวกนี้โผล่มาจากไหนกันนะ
“หลบไป ข้าจะออกไปข้างนอก”
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาวาวโรจน์ ท่าทางน่าเกรงขาม อีกทั้งยังแผ่รัศมีแห่งความอาฆาตเพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย
ทว่าองครักษ์ทั้งแปดล้วนเป็นคนที่หลงเทียนอวี้คัดเลือกมากับมือ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังถูกฝึกมาอย่างดี
ฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาทำคือการเข้ามาล้อมหลินเมิ้งหยาเอาไว้ตรงกลาง
เมื่อนางขยับเท้าก้าวไปข้างหน้า พวกเขาก็ขยับเท้าเดินตาม เมื่อนางก้าวถอยหลัง พวกเขาเองก็ขยับเท้าถอยหลังเช่นเดียวกัน
หลินเมิ้งหยาตัดใจเรื่องที่จะออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจ้ององครักษ์เหล่านั้นอย่างมีโทสะ
ก็ได้ ก็ได้ นางแพ้แล้ว
เมื่อนางเดินกลับมาถึงจวนแล้วหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง องครักษ์ทั้งแปดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่คาดว่าหากนางตั้งใจจะออกจากจวนอีกครั้ง พวกเขาจะต้องโผล่มาอีกอย่างแน่นอน
หลงเทียนอวี้ ร้ายนักนะ!
ชิวอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย เขามองดูหญิงสาวอารมณ์ฉุนเฉียวซึ่งกำลังจัดการยาสมุนไพรตรงหน้า
ดวงตาของนางเบิกกว้าง ริมฝีปากขมุบขมิบ อีกทั้งยังออกแรงไปที่มีดแล้วสับยาฉับ ฉับ ฉับ ท่าทางของนางตอนนี้ช่าง….น่ากลัว
ดึงตัวป๋ายจีซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพวกเขา ก่อนจะพยายามขยับปากเอ่ยถาม
“เฮ้อ ท่านอย่าเพิ่งไปยุ่งกับนายหญิงเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านอ๋องรับสั่งมิให้นายหญิงออกจากจวน”
ป๋ายจีแอบกระซิบข้างหูของชิวอวี้ ก่อนจะเล่าเรื่องที่หลินเมิ้งหยาคิดจะหนีแต่ล้มเหลวถึงสามครั้งให้เขาฟัง
ภายในเรือนทดลอง นอกจากเสียงสับมีดแล้ว ยังมีเสียงกลั้นหัวเราะดังขึ้นมาแทรก
“พวกเจ้าขำอะไรกัน? ดีใจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ศีรษะที่แทบจะชนกันรีบหันหนีไปคนละทาง ทั้งสองแสร้งทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงก้มหน้าจัดการงานของตนเอง
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหัวเราะอย่างมีเลศนัย ก่อนจะถือมีดที่เพิ่งใช้สับสมุนไพรตรงมาทางคนทั้งคู่
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ….พวกเราไม่ได้หัวเราะเสียหน่อย นายหญิง ข้าขอตัวไปหาเถียนมามาก่อน เผื่อว่าจะมีงานให้ข้าช่วย”
ป๋ายจีเป็นคนมีไหวพริบ นางรีบสาวเท้ายาวๆ หนีไปทันที
ชิวอวี้ที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงคนเดียวแอบยิ้มเยาะตัวเอง สุดท้ายมุมปากจึงกระตุกยิ้มออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“ใครจะกล้าหัวเราะเจ้ากันเล่า จริงสิ เมื่อวานข้าถวายพระโอสถให้แด่ฮ่องเต้แล้ว ผลออกมาไม่เลวเลยทีเดียว ร่างกายของฮ่องเต้ขับพิษออกมาค่อนข้างมากเหมือนอย่างที่พวกเราคิดเอาไว้ แม้พิษจะถูกขับออกมา แต่ถึงกระนั้นร่างกายของพระองค์ก็อ่อนแอมาก หากไม่มีต้นหลงสิง เกรงว่าร่างกายของพระองค์จะไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติดังเดิมอย่างแน่นอน”
เมื่อมีมีดสีขาวคมกริบจ่ออยู่ตรงหน้า เช่นนั้นชิวอวี้จะกล้าทำให้หลินเมิ้งหยาขุ่นเคืองใจได้อย่างไร!
โชคดีที่เรื่องนี้สามารถหยุดยั้งหลินเมิ้งหยาเอาไว้ได้ ชีวิตน้อยๆ ของเขาจึงยังไม่ถูกส่งให้พญามัจจุราช
“วางใจเถิด ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน อีกสามวันข้าจะออกเดินทาง เมืองหลวงมีพ่อค้าขบวนหนึ่งต้องการไปทำการค้ากับเมืองหลินเทียน ข้าจะแฝงตัวไปกับพวกพ่อค้าเหล่านั้น”
หลินเมิ้งหยาเก็บมีดเอาไว้ดังเดิม
แม้หลงเทียนอวี้จะออกคำสั่งกักขังนาง แต่เวลายังไม่ทันข้ามวันนางก็ล่วงรู้กิจวัตรของทหารเหล่านั้นแล้ว จากนั้นนางจึงกำหนดเส้นทางหนีเอาไว้
คิดจะขังนางหรือ? ฝันไปเถอะ!
“เจ้านี่หนา….แต่หากเจ้าจะเดินทางไปยังเมืองหลินเทียน เช่นนั้นเจ้าจะต้องมีหนังสือเข้าออกจากทางการ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเป็นถึงพระชายา เช่นนั้นเจ้าจะไปโดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? อีกอย่างหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหลงเทียนอวี้ เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้รับต้นหลงสิงกลับมาง่ายๆ เป็นแน่”
ชิวอวี้แสยะยิ้มเย้ยบางเบา เขามั่นใจว่าแม้หลินเมิ้งหยาจะมีฐานะเป็นถึงพระชายา แต่นางก็ไม่อาจทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่รู้ว่านอกจากนางจะมีตำแหน่งพระชายาเป็นฉากหน้า หลินเมิ้งหยายังเป็นเจ้าสำนักของกลุ่มสามสหาย
เมื่อนานมาแล้ว นางขอให้เสี่ยวอวี้ช่วยปลอมแปลงสถานะของตนเองขึ้นมา
ขอเพียงใช้ตัวตนนั้นในการเดินทาง นางจะกลายเป็นเพียงแม่ค้าธรรมดาคนหนึ่ง
ส่วนเรื่องต้นหลงสิง เมื่อรถวิ่งถึงหน้าภูเขาย่อมต้องมีทางเดินต่อไปอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าการรอคอยอยู่ที่นี่
“เจ้ายังจำผ้าห่อยาที่เจ้านำมาคราวที่แล้วได้หรือไม่?”
ดวงตาของชิวอวี้สั่นไหวเล็กน้อย
ทว่าหลินเมิ้งหยากำลังครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง ฉะนั้นจึงมองไม่เห็น
เมื่อได้ยินคำถามของเขา นางจึงผงกศีรษะลง
“แม้ครอบครัวของข้าจะเป็นหมอ แต่ถึงกระนั้นก็เคยมีประสบการณ์การท่องเที่ยวอยู่บ้าง ห่อผ้าที่เจ้านำมาวันนั้นไม่เหมือนห่อผ้าธรรมดา ข้าจำได้ว่ามุมล่างขวาของห่อผ้ามีสัญลักษณ์ดอกเหมย แม้จะได้เห็นเพียงครั้งเดียว แต่ข้าสังเกตเห็นว่าสัญลักษณ์นั้นมิได้ประทับลึกมากนัก แต่ดอกเหมยดอกนั้นต่างจากดอกเหมยของต้าจิ้น ข้าเคยได้ยินมาว่าคนของเมืองหลินเทียนล้วนชื่นชอบดอกเหมย บางตระกูลจึงนำมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล เช่นนั้นเจ้าลองตรวจสอบดูสักหน่อยดีหรือไม่ บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับอดีตของแม่เจ้าก็เป็นได้ ข้าคิดว่าเจ้าลองนำไปตามหาดูน่าจะช่วยได้”
ดอกเหมย?
หลินเมิ้งหยาพยายามหวนนึกถึงรายละเอียดบนผ้าผืนนั้น ตรงมุมหนึ่งประทับตราดอกเหมยเอาไว้จริงๆ
มองชิวอวี้ด้วยอาการลังเล ทั้งที่เป็นเพียงผ้าผืนหนึ่ง เหตุใดเขาจึงเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับเมืองหลินเทียนเล่า?
หากเป็นไปตามที่เขากล่าวมา เกรงว่าชิวอวี้จะมิใช่หมอธรรมดาเสียแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงสัยของหลินเมิ้งหยา ชิวอวี้เลือกที่จะเก็บเงียบลง
เขายังไม่อาจอธิบายได้ หากอธิบายออกไป หลินเมิ้งหยาอาจเข้าใจผิด
สู้บอกใบ้ให้นางไปตามหาความจริงด้วยตัวเองจะดีกว่า
“หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นเท่ากับว่าเจ้าได้ช่วยข้าเอาไว้มากเลยทีเดียว เจ้ารอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปนำผ้าผืนนั้นมาเดี๋ยวนี้”
หลินเมิ้งหยาจ้องชิวอวี้ ก่อนจะลุกออกจากห้องไป
มองตามร่างบาง ชิวอวี้ลอบถอนหายใจ
โชคดีที่นางไม่ได้เค้นถาม แต่หากดูจากความเฉียบแหลมของนาง นางต้องสังเกตเห็นบางอย่างอย่างแน่นอน
มุมปากเหยียดยิ้มขมขื่น หวังว่าการคาดเดาของเขาคราวนี้จะไม่ผิดพลาด
ห้องนอนมีเพียงป๋ายจื่อคนเดียวที่กำลังจัดเก็บของอยู่ หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปตรงหัวนอนแล้วหยิบผ้าผืนนั้นออกมา
ผ้าผืนนี้ค่อนข้างนุ่ม ไม่เหมือนผ้าฝ้ายหรือหนัง แต่ความยืดหยุ่นกำลังดีและพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
หลังจากพลิกไปมาอยู่สองครั้ง นางจึงได้เห็นสัญลักษณ์ดอกเหมยที่มุมขวาล่าง
เหตุเพราะเวลาที่ล่วงเลยมานาน ฉะนั้นลวดลายจึงเริ่มเลือนลาง
อันที่จริงสัญลักษณ์นี้หาได้มีความพิเศษแต่อย่างใด ทว่านางกลับรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“นายหญิงกำลังดูอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
ป๋ายจื่อเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย สายตาก้มลงมองผ้าในมือของหลินเมิ้งหยา
“เอ๋? นี่เป็นของของฮูหยินใช่หรือไม่เจ้าคะ? ดอกเหมยดอกนี้เหมือนกับปานที่เอวของนายหญิงไม่มีผิด”
คำพูดของป๋ายจื่อทำให้หลินเมิ้งหยาชะงัก
เอวของนางมีปานลายดอกเหมย?
ป๋ายจื่อรับผ้าในมือของหลินเมิ้งหยามาดูให้ดี ก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นสัญลักษณ์ดอกเหมยที่เอวของนายหญิง ข้าจำได้อย่างชัดเจน กลีบดอกไม้ด้านซ้ายยาวกว่ากลีบดอกอื่นเล็กน้อย หากไม่สังเกตให้ดีก็จะมองไม่ออก สมัยยังเด็กพวกเรากินนอนด้วยกัน ฉะนั้นข้าจึงจำได้ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาพยายามค้นหาจากความทรงจำ ความทรงจำนี้ค่อนข้างนานมากแล้ว ฉะนั้นจึงเพิ่งจำได้
สั่งป๋ายจื่อให้ปิดประตู หลินเมิ้งหยารีบถอดชุดของตัวเองออก
ยืนอยู่หน้ากระจก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สำรวจร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ผิวขาวราวหิมะ เรือนร่างเติบโตต่างจากวัยเด็กมากขึ้นทุกที
หลินเมิ้งหยาหมุนตัวพยายามกวาดสายตาหาสิ่งที่ตนเองต้องการ ก่อนจะได้เห็นปานแดงลายดอกเหมยที่เอว
นางหันกลับไปมองสัญลักษณ์บนผ้าผืนนั้นอีกครั้ง
แปลก เหมือนกันจริงด้วย!
“ป๋ายจื่อ คุณหนูอยู่….สวรรค์โปรด อากาศเย็นออกขนาดนี้ ท่านไม่กลัวหนาวหรือเจ้าคะ”
เพียงเถียนมามาเดินผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้เห็นคุณหนูผู้เปลือยท่อนบนยืนเหม่อลอยอยู่หน้ากระจก