ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 383 ชะตาที่ถูกกำหนด
เถียนมามารีบหยิบชุดขึ้นคลุมร่างของคุณหนู ริมฝีปากขยับพึมพำด้วยความเป็นห่วง
ไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นอะไรไป?
“มีจริงด้วย ซ้ำยังเหมือนกันไม่มีผิด”
เสียงเหล่านั้นไม่อาจเข้าหูหลินเมิ้งหยา นางขยับปากขมุบขมิบพูดกับตัวเอง
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยสังเกตมาก่อน หากมิใช่เพราะป๋ายจื่อทักขึ้นมา เกรงว่าป่านนี้นางก็คงไม่รู้
“มามา ตอนข้าเกิด ท่านแม่ทุกข์ทรมานจนสิ้นใจ เช่นนั้นสัญลักษณ์รูปดอกเหมยแดงที่เอวข้ามีความเป็นมาเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาคว้าแขนเถียนมามา ก่อนจะเร่งร้อนถาม
เถียนมามาชะงัก ก่อนจะพยายามหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“คือว่า…ดูเหมือนฮูหยินจะเป็นคนประทับลงไป ข้าจำได้ว่าตอนนั้นที่ท่านเกิด ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจึงอยู่ได้ไม่นานแล้วจากไป แต่ก่อนหน้านั้นฮูหยินประทับตราสัญลักษณ์ดอกเหมยแดงอันนี้เอาไว้ให้ท่าน”
เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต ขอบตาของเถียนมามาก็แดงก่ำ
ตอนฮูหยินจากไป คนทั้งจวนล้วนตกอยู่ในอาการโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงดูแลคุณหนูได้ไม่ดี คุณหนูจึงมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เถียนมามา เช่นนั้นท่านแม่ทิ้งถ้อยคำอะไรเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์นี้ไว้หรือไม่? อย่างเช่นเรื่องเกี่ยวกับบ้านของท่านตา”
หากรู้ตัวแล้วว่าไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้อีกนานนัก เช่นนั้นนางก็ควรจะทิ้งตราประทับเอาไว้ให้ลูกสาว
ยิ่งไปกว่านั้นยังหมายความว่าท่านแม่จะต้องรู้ว่านางต้องใช้มัน
ที่ต้าจิ้นแห่งนี้ นอกจากท่านแม่จะมีชื่อเสียงว่าเป็นหมอเทวดาแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มีใครล่วงรู้อีก
เมื่อผนวกกับสิ่งของของท่านแม่ที่นางเจอในจวน นางมั่นใจว่าท่านแม่ต้องมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
สมมติว่าท่านแม่ต้องการประทับตราลงบนร่างนางให้ได้ นั่นหมายความว่าท่านแม่จะต้องเล็งเห็นว่าสิ่งนี้สามารถช่วยนางได้
“ไม่มีนะเจ้าคะ ตอนที่ฮูหยินยังอยู่ แม้นางจะไม่เคยพูดถึงบ้านเดิม แต่ทุกครั้งที่ดอกเหมยแดงผลิบาน ฮูหยินมักจะยืนจ้องต้นเหมยนิ่งอย่างเหม่อลอย ต่อมา หลังจากที่ฮูหยินชิงย้ายเข้ามาอยู่ในจวน นางก็สั่งตัดต้นเหมยทิ้งจนหมด”
แม้เรื่องราวในอดีตจะผ่านมานานหลายปี แต่ความทรงจำของเถียนมามากลับยังเด่นชัด
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ชิวอวี้พูด บางทีตราสัญลักษณ์ดอกเหมยนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับบ้านของท่านตา
ถ้าหากท่านแม่เกิดในชาติตระกูลสูงศักดิ์แห่งเมืองหลินเทียน บางทีการไปนำยากลับมาคราวนี้นางอาจจะได้รับการสืบทอดอะไรบางอย่างก็ได้
ดังนั้นนางจึงคาดหวังกับการไปเยือนเมืองหลินเทียนค่อนข้างมาก
แอบเก็บสัมภาระ หลินเมิ้งหยาตัดสินใจพาป๋ายซ่าวไปด้วยเพียงคนเดียว
ป๋ายจีและป๋ายจื่อร้องห่มร้องไห้ตลอดทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายหลินเมิ้งหยาจึงรับปากว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังปลอบโยนให้พวกนางอยู่ที่จวนก่อนชั่วคราว
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายคือเถียนมามามิได้คัดค้านการเดินทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงครั้งนี้
แม้แต่เถียนหนิงซึ่งร่างกายเริ่มดีขึ้นแล้ว ก็ช่วยหลินเมิ้งหยาโน้มน้าวป๋ายจีและป๋ายจื่อ
ใช้เหตุและผลในการหว่านล้อม สุดท้ายก็นำสภาวะบ้านเมืองเข้ามาเป็นเหตุผล
ป๋ายจีและป๋ายจื่อทำได้เพียงสะอื้นเงียบๆ ก่อนจะช่วยหลินเมิ้งหยาเก็บของทั้งน้ำตา
สีของท้องฟ้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง สาวใช้ทั้งสามช่วยกันเก็บของ หลินเมิ้งหยาพบว่านางไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ ดังนั้นนางจึงนั่งชมจันทร์เพียงลำพัง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางย้ายเข้ามาอยู่ในจวนอวี้ใกล้จะครบปีแล้ว
ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวมากมาย เมื่อหวนนึกกลับไป แม้แต่นางยังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ตนเองเคยประสบ
หากชีวิตของนางยังอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน บางทีนางอาจเป็นเพียงนักศึกษาวิจัยทางการแพทย์คนหนึ่ง
จากนั้นอาจจะหาโรงพยาบาลที่เหมาะสมเพื่อสมัครเป็นศัลยแพทย์ นอกจากความวุ่นวายเรื่องงาน บางทีนางอาจต้องยุ่งวุ่นวายเรื่องครอบครัว
นางอาจจะหาผู้ชายมั่นคงสักคนเพื่อแต่งงาน มีลูกและใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยที่ไม่รู้เลยว่าในอีกโลกหนึ่ง เหล่าคนที่น่ารักและน่าเคารพเหล่านี้มีชีวิตเช่นไร
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
เสียงของเถียนหนิงดังขึ้นทางด้านหลัง
หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับไปมองร่างสูงโปร่งของเขา
ทั้งที่เพิ่งมาอยู่จวนเพียงไม่กี่วัน แต่อาการของเถียนหนิงดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ต้องขอบคุณตำราชิงเจิงผู่ที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับความร่วมมือจากชิวอวี้ ดังนั้นร่างกายของเถียนหนิงจึงดีขึ้นทุกวัน
ใบหน้าที่เคยขาวซีดกลับมาอบอุ่นมีสีเลือด เส้นผมตรงยาวดูหนากว่าแต่ก่อน ตอนนี้ท่าทางของเขามิต่างอันใดจากบัณฑิตผู้สง่างามคนหนึ่ง
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปนั่นก็คือจิตใจโอบอ้อมอารีและความกตัญญูรู้คุณ
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดว่าดวงจันทร์วันนี้ทั้งกลมเกลี้ยงทั้งใหญ่โต”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้ม ดวงตาของเทียนหนิงสั่นไหวเล็กน้อย
ทั้งที่เติบโตมาด้วยกัน ทั้งที่เคยสนิทสนมกันมาก แต่ตอนนี้นางกลับไม่เหมือนก่อน ความงดงามและฉลาดเฉลียวโดดเด่นชวนใจวาบหวาม เถียนหนิงส่ายหน้า ก่อนจะแย้มยิ้มตอบนาง
หลุบตาต่ำเล็กน้อย หลังจากกระแอมอยู่สองครั้ง เขาจึงส่งเสียงเบา
“เจ้าไม่ใช่นาง”
หัวใจของหลินเมิ้งหยาราวกับร่วงหล่นลงพื้น
ความรู้สึกผิดพลันผุดขึ้นมาในหัวใจ มือเล็กกำเข้าหากัน นางไม่กล้าเอ่ยตอบเถียนหนิง
“อย่าตื่นตระหนกไป ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าคือนาง ข้าเพียงแต่อยากบอกว่าเจ้าไม่ใช่นางคนที่ข้ารู้จักตอนเด็ก ขอบใจเจ้ามากที่ใช้ชีวิตแทนนาง หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้ากับท่านแม่คงเสียนางไปตลอดชีวิตแล้ว”
เถียนหนิงนั่งลงข้างกายหลินเมิ้งหยา คำพูดเหล่านี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจ
ใบหน้าของหลินเมิ้งหยายังคงสงบนิ่ง ทว่าหัวใจกลับบีบตัวเข้าหากัน นางกำลังกลัวคำพูดของเถียนหนิง
“นาง…ตายเช่นไร เจ้าบอกข้าได้หรือไม่?”
คำพูดของเถียนหนิงเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดระคนเคียดแค้น แม้จะแผ่วเบา แต่หลินเมิ้งหยากลับฟังออกอย่างชัดเจนและรู้ได้ทันทีว่าเขามิได้กำลังถามหยั่งเชิงแต่อย่างใด
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ในเมื่อเข้ามาอาศัยในร่างกายของคนอื่นแล้ว เช่นนั้นนางก็ควรแสดงความจริงใจออกมา
“ถูกหลินเมิ้งหวู่วางยาพิษจนตาย แต่ข้ากลับได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากนาง รวมถึงความทรงจำและความรู้สึกด้วย เจ้าวางใจเถิด ข้ากับนางหาได้แตกต่างกันไม่”
เถียนหนิงพยักหน้าลงเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยอย่างมั่นใจ
“เจ้าอย่าได้หวาดกลัวไปเลย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าเจ้ากับนางกลายเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่….เพียงแต่ข้ายังไม่ทำใจยอมรับได้ ฮูหยินชิงและหลินเมิ้งหวู่ไม่รักษาชีวิตนางเอาไว้ให้ดี พวกนางไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตาย”
ความเจ็บปวดในน้ำเสียงของเถียนหนิงเริ่มเลือนหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความเย็นชา
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจ เหตุใดเถียนหนิงจึงรู้เรื่องนี้ หรือเขาจะมีพลังวิเศษ?
“เจ้ากำลังแปลกใจว่าเหตุใดข้าจึงรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?”
หันหน้าไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้หลินเมิ้งหยา สายตาของเถียนหนิงเสมือนมองผ่านร่างกายและทะลุเข้ามาในจิตใจของนาง
“ตอนนางอายุสามขวบ ข้ากับนายน้อยหนานเซิงพานางออกไปเที่ยว พวกเราได้พบกับนักพรตท่านหนึ่งระหว่างทาง นายน้อยหนานเซิงไปซื้อขนมให้นาง ฉะนั้นข้ากับนางจึงได้ยินสิ่งที่ท่านนักพรตพูดเพียงสองคน นักพรตท่านนั้นเอ่ยว่านางมีดวงชะตาหงส์ หากสามารถเติบโตจนแต่งงานออกเรือน เช่นนั้นนางจะมีชีวิตยืนยาวจนแก่เฒ่า หากนางสิ้นลม เช่นนั้นนางจะเกิดใหม่ในเพลิงโลกันต์เพื่อปลดปล่อยหงส์คืนฟากฟ้า!”
เถียนหนิงผินหน้า แหงนเงยมองพระจันทร์
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร จนวันที่ได้พบกับเจ้า แม้ท่วงท่าและการกระทำของเจ้าจะเหมือนกันกับนาง แม้แต่ความทรงจำต่อข้าและท่านแม่เองก็มิผิดเพี้ยน แต่แววตาของเจ้าและนางไม่เหมือนกัน นางมีแววตาใสซื่อไร้เดียงสา แต่เจ้าฉลาดเฉลียวและสุขุม นับตั้งแต่ครานั่นข้าก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว และนับจากวันนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นนาง เจ้าจะกลายเป็นหลินเมิ้งหยาเพียงหนึ่งเดียวคนนั้น”
คำพูดของเถียนหนิงทำให้หลินเมิ้งหยาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
หรือโชคชะตาจะกำหนดให้นางได้เข้ามาใช้ชีวิตแทนหลินเมิ้งหยาตั้งแต่แรก?
เพราะเหตุนี้นางจึงเข้ากับร่างกายของหลินเมิ้งหยาได้เป็นอย่างดี แม้แต่ความทรงจำและความรู้สึกเองก็ถูกถ่ายทอดมา โดยที่นางไม่รู้สึกต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
ที่แท้ก็เพราะโชคชะตาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ครุ่นคิด หากวันนั้นหลินเมิ้งหยามิได้ขึ้นไปบนเกี้ยวและไม่ได้กินพุทราอาบยาพิษของหลินเมิ้งหวู่ นางก็คงถูกฆ่าตายเพราะเป็นหนามยอกอกของสองแม่ลูกคู่นั้นอยู่ดีมิใช่หรือ?
หัวใจรู้สึกว้าวุ่น แต่เพราะคำพูดของเถียนหนิงทำให้ความกระวนกระวายและรู้สึกผิดค่อยๆ จางหายไป
“ฉะนั้นข้าจึงรู้ว่าเจ้าคือคนที่ฟ้ากำหนดมา วันนี้ที่ข้าพูดโน้มน้าวท่านแม่และพวกป๋ายจีก็เพราะเหตุผลนี้”
ดวงตาของเถียนหนิงกลับมาเป็นปกติ เขาเก็บซ่อนความทรงจำในอดีตเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
สำหรับท่านแม่แล้ว ขอเพียงเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเป็นเจ้านายและผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวของพวกเขาสองแม่ลูก
เหตุที่เขาพูดกับหลินเมิ้งหยาเรื่องนี้ก็เพราะเขาอยากบอกลาน้องสาวผู้น่ารักคนนั้นของเขาเป็นครั้งสุดท้าย
เด็กสาวใสซื่อไร้เดียงสาคนนั้น อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนตรงนี้จดจำนางได้
“ขอบใจท่านมาก พี่เถียนหนิง”
หลินเมิ้งหยาเฉลียวฉลาดกว่าที่เถียนหนิงคิดมาก ทั้งสองทำเพียงส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะแหงนหน้ามองพระจันทร์และเก็บงำความลับนี้เอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ