ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 14 บทที่ 391 จงใจจับผิด
แม้จะปลดเปลื้องเครื่องประดับออกแล้วสวมเพียงชุดแบบบุรุษที่เรียบง่าย แต่ใบหน้าของนางยังคงงดงามดั่งหยก
หากมองข้ามกิริยาท่าทางอ่อนหวานอย่างสตรี เช่นนั้นนางก็มีใบหน้าไม่ต่างจากพี่ชายตัวเอง
“ถูกแล้ว เจ้าเตือนข้าเอาไว้แท้ๆ”
ก่อนนั้นท่านพี่อยู่ที่ค่ายทหาร นางไม่เคยคิดจะปลอมตัวเป็นเขามาก่อน
แม้ตำแหน่งชายาอวี้จะสามารถอำนวยความสะดวกได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีขีดจำกัด
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นางปลอมตัวเป็นหลินหนานเซิงแล้ววันหนึ่งเขารู้เข้า นางมั่นใจว่าเขาไม่มีทางโกรธนางอย่างแน่นอน
แม้ตอนแรกจะรู้สึกผ่อนคลาย แต่ต่อมาก็อดที่จะรู้สึกท้อใจไม่ได้
หากอันตรายปรากฏอยู่เบื้องหน้า เช่นนั้นนางจะผ่านพ้นไปได้เช่นไร
เวลายามค่ำคืนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ทว่าคนที่มีหัวใจหนักอึ้งอย่างเช่นหลินเมิ้งหยากลับมิอาจข่มตาหลับได้
ป๋ายซ่าวเองก็ยังคงตื่นตระหนกกับเรื่องเมื่อช่วงกลางวัน ฉะนั้นทั้งสองจึงนอนคุยกันถึงเช้า
ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีจาง แม้ทั้งสองจะยังคงง่วงเหงาหาวนอน ทว่าโรงเตี๊ยมกลับมีเสียงดังคึกคัก
ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาก ดังนั้นจึงต้องรีบเดินทางจึงจะเข้าสู่ตัวเมืองก่อนฟ้ามืด
จ้าวเฟยร้องเรียกรวมพลตั้งแต่เช้า หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวซึ่งถูกเสียงดังทำให้ตกใจตื่นมีท่าทางงัวเงีย แต่ถึงกระนั้นก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปยังห้องโถงอย่างว่าง่าย
โต๊ะสีดำมะเมื่อมมีอาหารเช้าง่ายๆ วางเอาไว้
ข้าวต้มสองสามชามถูกวางอยู่บนนั้น หลินเมิ้งหยามิได้แสดงท่าทางรังเกียจ นางทรุดตัวลงนั่งแล้วเริ่มรับประทานอาหาร แต่อยู่ๆ เสียงเอะอะพลันดังขึ้นที่โต๊ะอื่น
“มารดามันเถอะ!! ข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ก็เพื่อได้ร่ำสุราชั้นเลิศและกินเนื้อชิ้นใหญ่ แต่พวกเจ้าที่นี่กลับให้ข้ากินเพียงอาหารหมู! ข้าว่าผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเช่นเจ้ากำลังรนหาที่ตายใช่หรือไม่!”
หลินเมิ้งหยาก้มหน้ากินอาหารต่อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังปรายตามองทางนั้นครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนชายคนนั้นจะเป็นลูกน้องของอูยา หลินเมิ้งหยาพยายามเงี่ยหูฟัง ทว่าสายตากลับมองทางป๋ายซ่าวพลางกระซิบเสียงเบา
“กินข้าว กินเสร็จจะได้รีบไป”
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมคือเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดของราชสำนัก อันที่จริงพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรมากนัก
เงินจากการค้าขายทั้งหมดต้องถูกส่งมอบให้แก่ทางการ แต่เหตุที่พวกเขามาทำงานที่นี่ก็เพราะการงานที่มั่นคง
แน่นอนว่าคนที่มาที่นี่ล้วนผ่านการทดสอบคุณธรรมกันมาแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือพวกผู้ดูแลในโรงเตี๊ยมล้วนเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
ปกติพวกพ่อค้ามักจะให้ความเคารพผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเหล่านี้ เช่นเดียวกับพวกท่านกัวที่มักจะนำของขึ้นชื่อแต่ละท้องถิ่นมามอบให้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยม
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพวกจงใจจับผิด เหตุเพราะที่นี่ล้วนมีแต่คนในครอบครัวของผู้ดูแล หาได้มีพวกทหารหลวงคอยคุ้มกัน
“น้องชาย โรงเตี๊ยมของพวกเรามีเพียงชาราคาถูกและอาหารดาษดื่นเท่านั้น หากพวกข้าดูแลท่านไม่ดี เช่นนั้นต้องขออภัยด้วย”
ผู้ดูแลที่นี่เป็นคนมีประสบการณ์ ฉะนั้นจึงประเมินสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุเพราะที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมแรกหลังจากออกจากเมืองหลวง ผู้คนที่เดินทางมาล้วนดีเลวปะปนกันไป หลังจากได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายของชายคนนั้น เขาจึงเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนั้นหรือ? ฮึ ไม่ใช่ว่าสวะเช่นเจ้าจงใจกลั่นแกล้งข้าอย่างนั้นหรอกหรือ?”
ชายคนนั้นแสยะยิ้มไร้ยางอาย
คำดูถูกมากเพียงพอที่จะทำให้สีหน้าของผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดอยากฉีกหน้าอีกฝ่าย
“น้องชาย ที่นี่คือโรงเตี๊ยมข้างทาง หาใช่โรงเตี๊ยมหรูหราอะไร หากเจ้าอยากดื่มเหล้ากินเนื้อ เช่นนั้นในตัวเมืองมีสิ่งที่เจ้าต้องการครบหมดทุกอย่าง”
ชายเจ้าเล่ห์เหลือบมองผู้ดูแลเพียงครั้งเดียว ก่อนจะนั่งลงพร้อมสบถเสียงด่า
การโต้เถียงจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้
หลินเมิ้งหยารีบกินอาหารอย่างรวดเร็ว หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นางยกมือขึ้นเช็ดปากแล้วจับมือป๋ายซ่าวเพื่อพานางกลับไปยังรถม้าของพวกนาง
หยวนซานคอยท่าอยู่นานแล้ว แม้จะนอนหลับอยู่ในรถม้าตลอดคืน แต่ท่าทางของเขากลับกระปรี้กระเปร่าเสียยิ่งกว่าพวกหลินเมิ้งหยา
เมื่อเห็นเจ้านายของตัวเอง เขาจึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ทว่าเขากลับได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้เป็นนาย
ใครทำอะไรนางกันเล่า?
“เจ้าจงเฝ้ารถม้าอยู่ทางด้านนอก ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามมิให้ใครย่างกรายเข้ามาใกล้เป็นอันขาด เจ้าคอยรับหน้าเอาไว้ก็พอ ข้ากับฮูหยินจะไม่ออกมาเด็ดขาด”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง ก่อนจะเข้าไปในรถม้ากับป๋ายซ่าว
ทิ้งหยวนซานยืนเกาหัวแกรกๆ แต่หลังจากได้เห็นใครบางคนที่เดินตามออกมา เขาจึงเข้าใจได้ในทันที
ดูเหมือนจะมีคนอยากหาเรื่องเจ้านายอีกแล้วสินะ
คนที่เดินตามออกมาหาใช่ใครอื่น แต่เป็นชายหยาบคายเจ้าเล่ห์ที่ถกเถียงกับผู้ดูแลเมื่อครู่
ท่าทางเสมือนคนยังรับประทานอาหารไม่อิ่ม ปากของเขาขมุบขมิบขึ้นลงสบถคำด่า
แสร้งทำท่าทางมิได้ตั้งใจพร้อมเดินออกมา ทว่าหางตาของเขากลับหยุดลงที่รถม้าคันเล็กคันหนึ่ง
ดวงตาของหยวนซานกลอกไปมา ก่อนจะวางแผนในใจ
กระโดดขึ้นไปนั่งลงที่ตำแหน่งคนขับเสมือนมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
“ถุย! ไอ้สารเลว บังอาจให้ข้ากินอาหารหมูแบบนั้น แม้แต่เนื้อสักชิ้นก็ไม่มี เช่นนี้ยังเรียกว่าข้าวคนได้อีกหรือ”
ชายคนนั้นสบถคำหยาบขณะเดินเข้าใกล้รถม้าของหลินเมิ้งหยา
หลังจากมองเห็นคนขับรถม้า ชายคนนั้นรีบฉีกยิ้ม ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นผลักคนขับรถม้า
“คนขับ เจ้านายของเจ้าอยู่ในรถม้าหรือไม่?”
หยวนซานแสดงสีหน้าหวาดกลัว เขาพยักหน้าลงเบาๆ ก่อนจะรีบส่ายหน้าปฏิเสธทีหลัง
ครุ่นคิดในใจ ทั้งที่เขาเห็นเจ้านายขึ้นรถม้าเองกับตา แต่ยังแสร้งถามเสมือนมองไม่เห็น
การแสดงนี้มิสมจริงเลยแม้แต่น้อย
แต่ในสายตาของอีกฝ่าย ดวงตาของเขาเปล่งประกายเหมือนคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว
หยักยิ้มกว้าง ก่อนจะวางมือหนาลงบนบ่าของหยวนซาน
“น้องชาย ข้ารู้จักร้านหมูต้มซีอิ๊วและไก่พะโล้ที่อร่อยที่สุดในเมืองหลวง ร้านนั้นชื่อว่าร้านหรูอี้ ข้าว่าเจ้านายของเจ้าเองคงมิเคยได้รับความลำบากมาก่อน เขาจะต้องกินอาหารหมูเหล่านั้นไม่ได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นเจ้าเรียกเขาออกมา ข้าจะได้พาเขาเข้าป่าหาไก่เจินจูเลิศรสกินดีหรือไม่? พวกข้าจะรีบไปรีบกลับอย่างแน่นอน”
มองท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาของอีกฝ่าย หยวนซานรีบโบกมือไหวๆ ท่าทางร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแนบใบหูแล้วเอียงศีรษะลง ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ตนเองแล้วโบกมืออีกครั้ง
ชายคนนั้นจึงเข้าใจว่าคุณชายของคนขับรถกำลังนอนหลับอยู่ในรถม้า ยิ่งไปกว่านั้นคนขับรถม้ายังเป็นใบ้
นอน?
เมื่อนึกถึงเรือนร่างอรชรของฮูหยินที่เดินตามหลังชายหนุ่มคนนั้นต้อยๆ ชายเจ้าเล่ห์จึงอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
จากนั้นเขาจึงแสร้งทำทีไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ย
“ไอหยา แค่นอนหลับนิดหน่อยเท่านั้น เอาแบบนี้เป็นเช่นไร ข้าจะไปเรียกเจ้านายของเจ้าเอง หากเขาจะลงโทษ เช่นนั้นข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้แทนเจ้า”
พูดจบ ชายคนนั้นก็เดินอาดๆ ไปที่ประตูรถม้า
ทว่าดวงตาของหยวนซานเป็นประกาย ร่างกายเคลื่อนไหวเร็วดั่งสายลม ขณะที่มือหนาของชายคนนั้นกำลังจะเอื้อมเข้าไป ร่างของหยวนซานเข้ามาขวางไว้ได้ทันพอดิบพอดี
จากนั้นเขาประกบมือเข้าหากัน ท่าทางเสมือนกำลังร้องขอชีวิตจากชายคนนั้นด้วยความหวาดกลัว
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมตัดใจง่ายๆ สีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม เขาเตรียมออกแรงเพื่อผลักร่างของคนขับใบ้ออกไป
แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นยับยั้งเขาเอาไว้
“น้องชาย ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สะดวก ข้าว่าเจ้าอย่าทำให้เขาลำบากใจไปเลย”
ชายคนนั้นชักมือกลับทั้งที่ไม่อยากทำ แต่ชั่วพริบตาเขาหยักยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมทั้งขยับตัวออกห่างจากรถม้า
“ท่านกัวกล่าวอะไรกัน ข้าเพียงแค่เห็นว่าเขาเป็นคนของท่านกัวเท่านั้น จะมีนักเดินทางคนใดบ้างที่ไม่ไว้หน้าท่าน ไอหยา ข้ามีงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการกิน ตอนแรกเห็นว่าน้องชายคนนี้คงมีอุปนิสัยเหมือนกัน ฉะนั้นจึงมาเชื้อเชิญด้วยความหวังดี ข้าหาได้คิดสร้างความลำบากใจให้เขาแต่อย่างใดไม่ ไม่มีเลยจริงๆ”
ท่าวกัวยังคงถือกล้องยาสูบตัวเก่าพลางสูดพ่นควันออกมา
ภายในเมืองหลวง ท่านกัวสามารถอดทนต่อพวกอันธพาลได้ แต่หากอยู่บนถนนที่ทอดยาว คนที่รู้กฎย่อมรู้ดีว่าท่านกัวหาใช่คนที่จะเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยได้
ชายคนนั้นส่ายหน้าไปมา ก่อนจะขอตัวกลับไปแม้จะไม่อยากทำเช่นนั้นก็ตาม
แม้เขาจะพยายามระมัดระวังตัวจากท่านกัวขณะเดินผ่าน แต่ใบหน้าเขายังคงฝืนยิ้มกว้าง
สายตาของท่านกัวทอดยาว เขาเขย่ากล้องยาสูบเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“เขาคือหลานชายคนหนึ่งของข้า พวกเจ้าอย่าได้นำวิธีการเหล่านั้นมาใช้กับเขาเป็นอันขาด”
ชายคนนั้นรีบพยักหน้ารับ จากนั้นก็วิ่งหายไปจากสายตาของทุกคน
จ้าวเฟยและเหวินสือมองตามหลังเขา ใบหน้าเหยียดยิ้มแข็งทื่อ
อันธพาลเหล่านี้คิดจะทำร้ายคุณชายหยวน บังอาจเหลือเกิน
ท่านกัวกลับมิได้แสดงสีหน้าอื่นใด เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเหน็บกล้องยาสูบลงข้างเอว
ดูเหมือนนักเดินทางที่รู้กฎระเบียบจะน้อยลงเต็มที
เดินไปหยุดข้างรถม้า เมื่อครู่เขาเห็นการกระทำของหยวนหลินและหยวนซานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน หยวนหลินแหวกผ้าม่านอกพลางก้มศีรษะให้ท่านกัวเพื่อขอบคุณ
“ระวังตัวด้วย หากผ่านฉินโจวไปได้ก็จะดีขึ้น”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง
เหล่าขบวนพ่อค้าน้อยใหญ่มักเดินทางอยู่บนถนนสายนี้ ฉะนั้นย่อมมีพวกไม่รู้กฎเกณฑ์จำนวนมากคิดจะฉวยโอกาส
แต่หากพ้นฉินโจวไปได้ก็จะเหลือแต่เพียงขบวนพ่อค้าที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลินเทียน ดังนั้นพวกเขาจะปลอดภัยเพราะได้รับการดูแลจากท่านกัวและลูกน้องของเขา
“นายหญิง เหตุใดพวกเราต้องหลบอยู่ในรถม้าด้วยเล่า?”
ป๋ายซ่าวลูบหน้าท้องซึ่งยังย่อยได้ไม่ดีนักของตนเองพลางบ่นกระปอดกระแปด เมื่อครู่นายหญิงเร่งให้นางกินข้าวจนแทบจะเอาข้าวต้มกรอกคอตนเอง
นางไม่แม้แต่จะมีเวลาเช็ดปาก พวกนางรีบหลบเข้ามาอยู่ในรถม้า อีกทั้งนายหญิงยังกำมีดเอาไว้ในมือแน่น
“เพราะ…ช่างเถิด พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ จริงสิ พวกเรานำยาช่วยย่อยอาหารมาไม่ใช่หรือ? เจ้าเอามาให้ข้าด้วยสักสองเม็ดเถิด”