ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 14 บทที่ 393 โต้เถียงอีกครา
หลังจากเจอเรื่องตื่นตระหนกเมื่อช่วงเช้า หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวเลือกที่จะรับประทานอาหารในห้องพัก
รถม้าจอดอยู่ใกล้กับประตูโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์วาจาดีมีมารยาทเข้ามาต้อนรับขับสู้
หลังจากหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวลงจากรถม้า นางพบว่าตอนนี้โรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยผู้คน
ทว่าคนในตำบลล้วนเป็นพวกพ่อค้า เรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หลินเมิ้งหยาเคาะศีรษะของตนเองเบาๆ บางทีนางอาจคิดมากเกินไป
“เชิญท่านลูกค้าด้านในขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์สวมผ้าหยาบสีเทาเดินนำทาง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ห้องโถงมีโต๊ะสองสามแถวซึ่งมีคนนั่งอยู่เต็มพื้นที่
กลิ่นหอมของอาหารฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้องโถง
คนที่ได้กินเพียงหมั่นโถวและผักแกล้มอย่างหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวล้วนโหยหาอาหารเลิศรส
กระซิบกระซาบกันเพื่อปรึกษาว่าจะกินอะไรดี
ท่าทางสนิทชิดเชื้อของทั้งคู่ดูราวคู่สามีภรรยาที่รักกันมาก
“ห้องของข้าอยู่ข้างๆ หากมีเรื่องอะไรก็เรียกข้าได้”
ชั้นสองคือห้องพัก หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้อยู่ห้องข้างกัน
คราวนี้ชิวอวี้มิได้หาข้ออ้างไร้ยางอายเพื่อขออยู่ห้องเดียวกับพวกนาง
มองตามหลังชิวอวี้ที่เดินเข้าห้องของตนเองไป หลินเมิ้งหยารู้สึกสงสัยเล็กน้อย
นับตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมเมื่อเช้า เขามีท่าทางหงุดหงิดไม่แช่มชื่นเหมือนก่อน อีกทั้งยังพูดกับพวกนางเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น
หรือเขาจะโกรธ? แต่ชิวอวี้ไม่ได้ดูเหมือนคนขี้น้อยใจ
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามเสี่ยวเอ้อร์ไปยังห้องของตนเอง
ท่านกัวเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว บางทีเขาอาจอยากชดเชยให้หลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงมอบห้องที่ดีที่สุดให้
ห้องหับสะอาดสะอ้าน หน้าต่างสามารถมองเห็นถนน เมื่อมองลงเบื้องล่างจะเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งตำบลอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าโต๊ะ เตียงหรือแม้กระทั่งโคมไฟย่อมครบครัน ซ้ำยังมีแจกันดอกไม้อีกสองสามใบ
แม้จะมิสวยงามเช่นร้านหรูอี้ แต่ถึงกระนั้นก็สะอาดและสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง
หลินเมิ้งหยาสั่งอาหารก่อนจะปิดประตูลงและเดินไปตรวจสอบบริเวณรอบๆ กับป๋ายซ่าว
โชคดีที่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เมื่อออกนอกบ้าน นางจำต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
“นายหญิง ท่านคิดว่าใต้เท้าชิวโกรธข้าหรือไม่?”
ป๋ายซ่าวรินชาให้หลินเมิ้งหยา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
แม้ฝีปากของนางจะจัดจ้านไปบ้าง แต่ชิวอวี้ขี้น้อยใจเกินไปหรือไม่ ทั้งที่ตำหนิเขาไปเพียงครึ่งคำ แต่เขากลับขุ่นเคืองตลอดทั้งวัน
หลินเมิ้งหยากลับหัวเราะพลางส่ายหน้า จากนั้นกระซิบเสียงแผ่ว
“เขามิได้โกรธเจ้า ข้าคิดว่าเขาแสร้งทำท่าทางเช่นนี้ให้คนอื่นดู”
ระหว่างการเดินทาง หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้แสร้งส่งเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดทาง
เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ท้ายขบวน
แม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาพุ่งเป้ามาที่นางหรือไม่ แต่ช่วงเวลาพักผ่อนตอนกลางวัน ชิวอวี้แอบหายออกไปพักใหญ่
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง นับตั้งแต่ตอนที่ชิวอวี้กลับมา นางได้กลิ่นคาวเลือดจากร่างกายของเขา
เดาว่าชิวอวี้คงไปจัดการเก็บกวาดคนเหล่านั้น
หากดูจากนิสัยใจคอของชิวอวี้ เขาคงมิได้ทำร้ายหมายเอาชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็คงทำเพื่อเค้นถามเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์
เพียงแต่ตอนนี้คงมิใช่เวลาเหมาะสมในการอธิบายให้นางฟัง
ป๋ายซ่าวเข้าใจความหมายของหลินเมิ้งหยาทันที
นับตั้งแต่วันที่เข้ามาทำงานในจวนจนผ่านมาค่อนปี นางผ่านเรื่องเลวร้ายกับหลินเมิ้งหยามามาก
ผงกศีรษะลงและไม่ได้ถามสิ่งใดอีก
“อาหารมาถึงแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าสะดวกให้นำเข้าไปส่งหรือไม่?”
ด้านนอก เสี่ยวเอ้อร์เคาะประตูเบาๆ ก่อนจะตะโกนถาม
หลินเมิ้งหยาจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีทางเผยข้อบกพร่องใดๆนางจึงเอ่ยอนุญาต
กลิ่นกับข้าวหอมฟุ้งเตะจมูก แม้ที่นี่จะไม่ได้ใช้ผักสดทำก็ตาม
โชคดีที่พ่อครัวค่อนข้างมีฝีมือ ดังนั้นเขาจึงสามารถนำผักและเต้าหู้มาประกอบอาหารชวนน้ำลายสอเช่นนี้ได้
เมื่อวางลงบนข้าวสวยร้อนๆ นิ้วมือของคนรอก็พร้อมจะขยับทันที
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวลงมือกินอาหารทันที ด้านหน้าประตูมีคนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย
มองดูบรรยากาศคึกคักด้านนอก คาดว่าคงมีขบวนพ่อค้าจากที่อื่นมาพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น คนยิ่งเยอะก็ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกคนเหล่านั้นจะต้องไม่ยอมตัดใจง่ายๆ อย่างแน่นอน
ดูเหมือนแผนการออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนคงต้องพักไว้ชั่วคราว
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ท่านกัวส่งคนมาเชิญนางลงไป
นางกำชับป๋ายซ่าวให้ลงกลอนอย่างแน่นหนา หากนางไม่มาเรียกด้วยตนเอง ห้ามมิให้เปิดประตูเป็นอันขาด
หลินเมิ้งหยาเปลี่ยนชุดเรียบร้อยก่อนจะเดินจากชั้นสองลงสู่ชั้นล่าง
หลินเมิ้งหยากินอิ่มและล้างหน้าล้างตาจนสะอาดสะอ้านแล้ว เมื่อเทียบกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับการเดินทางมาตลอดหลายปี ใบหน้าของคุณชายหยวนจึงงดงามดั่งหยก เขาไม่เหมือนคนในขบวนการค้าเลยแม้แต่น้อย
ภายในห้องโถงมิได้มีเพียงขบวนพ่อค้าของท่านกัวเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองขบวนพ่อค้าซึ่งสวมใส่ชุดแปลกตา
ทว่าไม่ว่าชายหรือหญิง พวกเขาล้วนปิดบังหน้าตาเอาไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าและเผยเพียงดวงตาสีดำ ขณะเดียวกัน สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องมาที่นาง
แย้มยิ้มเป็นมิตร หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าตนเองแตกต่างจากผู้อื่น
ทว่านางไม่คิดอย่างเก็บเนื้อเก็บตัวเสมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง
ยกมือขึ้นเล็กน้อย พัดด้ามไม้ไผ่ในมือโบกสะบัดเข้าหาตัวเบาๆ รอบกายนางมีบุรุษทุกรูปแบบ
บุรุษผู้สง่างาม? ไม่หรอก ธรรมดาเป็นอย่างมาก
“ท่านกัว พี่ชายทั้งสอง”
หลินเมิ้งหยามองข้ามสายตาเหล่านั้นแล้วเดินเข้าไปทางโต๊ะของท่านกัวพร้อมทั้งยกมือขึ้นประกบกันเพื่อคารวะ น้ำเสียงไม่อ่อนหวานหรือแข็งกระด้าง
ขณะเดียวกัน สายตาเหนียมอายระคนเร่าร้อนจ้องมองมาทางนางหลายคู่
หลินเมิ้งหยาอดที่จะรู้สึกภาคภูมิใจมิได้
ดูเถิด นางเองก็มีเสน่ห์ไม่เบา!
หวนนึกถึงพี่ชายของตนเอง แม้จะมีคู่หมั้นคู่หมายที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นคนเลือก แต่คาดว่ากลับไปคราวนี้นางต้องสั่งสอนเขาดูสักตั้ง
ท่านกัวยังคงสูบยาสูบเช่นเคย แต่เมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้ว วันนี้ใบหน้าของเขายิ้มแย้มและใจดีกว่าเดิม
เหวินสือและจ้าวเฟยยังคงเหมือนเดิม หลังจากได้ทำความรู้จักกันมาสองวัน ดูท่าพวกเขาจะชื่นชอบความไม่ยึดติดของหลินเมิ้งหยา
“มานั่งเถิด พวกเขาล้วนเป็นหัวหน้าขบวนการค้ามีชื่อ หากต้องการเดินทางค้าขาย เช่นนั้นจะต้องได้พบกันอีกหลายครา หยวนหลิน เจ้ารีบคารวะพวกเขาเสียสิ”
ท่านกัวอ้างว่านางเป็นลูกชายของสหายเก่า เหตุเพราะความสนิทสนม ดังนั้นจึงต้องดูแลนางมากเป็นพิเศษ
อีกทั้งยังอยากให้พวกหัวหน้าขบวนพ่อค้ารู้จักนางเอาไว้ คราวหน้าหากได้พบกัน พวกเขาจะได้ไว้หน้านางบ้าง
หลินเมิ้งหยารีบค้อมตัวคารวะ พวกหัวหน้าขบวนการค้าผงกศีรษะลงด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงเริ่มแนะนำตัว
แม้โรงเตี๊ยมจะกว้างขวาง แต่เพราะอยู่ใจกลางตำบล ฉะนั้นห้องโถงจึงมีเพียงสี่โต๊ะเท่านั้น
ท่านกัวนั่งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออก ส่วนคนที่นั่งอยู่ทางทิศตะวันตกคือกลุ่มพ่อค้าซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองตงเซี่ย หัวหน้าขบวนพ่อค้าอายุรูปร่างท่าทางไม่ต่างจากท่านกัวนัก
แม้จะไม่ได้มีคุณธรรมเถรตรงอย่างท่านกัว แต่ถึงกระนั้นก็เป็นคนฉลาดเฉลียว ชายที่นั่งข้างเขามีท่าทางอบอุ่นสง่างาม
แต่เพราะเขาสวมใส่หน้ากากสีเงิน ดังนั้นจึงไม่มีใครมองออกว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร เสื้อสีขาวสว่างชั้นในรับกับผ้าหยาบสีเทาด้านนอกเป็นอย่างดี
ครุ่นคิด ก่อนที่หลินเมิ้งหยาจะปรากฏตัวออกมา เขาจะต้องตกเป็นเป้าสายตาจากทุกคนอย่างแน่นอน
“ท่านนี้คือท่านหม่าลิ่วที่ต้องการเดินทางไปยังเมืองตงเซี่ย พอพูดถึงชีวิตการเดินทาง ผู้เฒ่าคนนี้ใช้ชีวิตบนถนนหนทางมากกว่าข้าเสียอีก ผู้เฒ่า ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า? คิดจะไปรายงานตัวกับเหยียนหวัง [1] เมื่อใด?”
หลินเมิ้งหยารีบก้มตัวคารวะ เพราะเหตุนี้เขาจึงนั่งข้างท่านกัว เพียงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคือสหายเก่า
ท่านหม่าลิ่วมีอุปนิสัยขี้เล่น เขากระตุกยิ้มหัวเราะฮึฮึ ก่อนจะตอบโต้ท่านกัวกลับอย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ
“ขนาดผู้เฒ่าเช่นเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เหยียนหวังจะมาพรากชีวิตข้าไปได้อย่างไร ชีวิตตอนนี้นับว่าไม่เลว ร่างกายซูบผอมลงเล็กน้อย หากได้ร่ำเรียนวิทยายุทธ์จากผู้เฒ่ากัว คาดว่าคงมีกำลังวังชามากขึ้น แม้พวกเราเหล่าพ่อค้าจะไม่อาจเทียบกับผู้คุ้มกันได้ แต่ถึงกระนั้นก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย หากไม่ระวังก็อาจจะหลงเข้าไปอยู่ในเส้นทางที่ไม่มีทางออก”
ทันทีที่ท่านหม่าลิ่วพูดจบ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาระงับโทสะไม่อยู่
“ปัง” เสียงดังขึ้น มือหนาฟาดลงบนโต๊ะ
ชายผู้มีรูปร่างกำยำใบหน้าโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเหวินสือและจ้าวเฟยจ้องเขาอย่างมีโทสะ
“ไอ้แก่ใกล้ลงโลงเช่นเจ้าอย่าได้พูดจาเลอะเทอะอีก มิเช่นนั้นข้าเฮยฮู่จะฉีกปากเจ้า!”
ท่านหม่าลิ่วกลับไม่แสดงท่าทางไม่พอใจ ทว่าเขาเหลือบมองชายนามว่าเฮยฮู่ด้วยสายตาเหยียดหยาม
“พี่ชาย เหตุใดต้องมีอารมณ์ด้วยเล่า? ท่านหม่าลิ่วมีชื่อเสียงเรื่องการพูดเปรียบเปรย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมิได้เอ่ยถึงสกุลท่านแต่อย่างใด ใยท่านจึงต้องกินปูนร้อนท้อง”
ผู้พูดคือชายหนุ่มใบหน้าขาวสะอาดข้างๆ เฮยฮู่
หลินเมิ้งหยามองออก เฮยฮู่เป็นเพียงมือสังหาร แต่คนที่ควบคุมทุกอย่างคือชายหนุ่มที่มีท่าทางอ่อนแอยิ่งกว่านางคนนั้น
ชายหนุ่มคนนั้นสวมใส่ชุดผ้าไหมสีฟ้า แม้ใบหน้าจะเหมือนคุณชายสูงศักดิ์คนหนึ่ง แต่สายตาและกลิ่นอายแห่งความเจ้าเล่ห์แผ่ออกมาจากตัวเขา
หลังจากหลินเมิ้งหยาสบตาเขาเพียงครั้งเดียว นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนรับมือด้วยยากคนหนึ่ง
แต่หากกำลังพูดเรื่องประสบการณ์ชีวิต เช่นนั้นเหตุใดท่านหม่าลิ่วจึงเจาะจงพูดถึงเขาเล่า?
“ท่านหม่าลิ่วหาได้พูดจาเลื่อนเปื้อนไม่ ป๋ายหลง แม้ข้าจะไม่อาจทำอันใดกับการค้าขายมนุษย์ของเจ้าได้ แต่พวกเราคนเมืองเลี่ยหยุนจะไม่มีวันยอมปล่อยให้เจ้ารังแกได้ง่ายๆ จงปล่อยคนของพวกเราออกมาเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เสียงเคร่งขรึมดังขึ้นจากโต๊ะของคนที่สวมใส่ชุดแปลกตา
แม้เสี่ยวอวี้และป๋ายซูจะเป็นคนเมืองเลี่ยหยุน แต่พวกท่านเหยียนเลี่ยสวมใส่ชุดธรรมดาของต้าจิ้น
ดังนั้นนางจึงมองทางคนเมืองเลี่ยหยุนด้วยสายตาประหลาดใจ
————————–
หมายเหตุ
[1] เหยียนหวัง คือพญายม