ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 6 บทที่ 176 เนรคุณ
หลินเมิ้งหยาปิดปากสนิทไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดออกมา
พระสนมเต๋อเฟยโกรธจนแทบจะขว้างแก้วชาทิ้ง โชคดีที่ชายาหลิงหนานแย่งไปก่อน
“เหนียงเหนียงอย่าโกรธเลยเพคะ พระชายายังเด็กหากทำผิดก็สั่งสอนนาง โกรธไปก็รังแต่จะเสียสุขภาพเปล่าๆ แต่ถึงอย่างนั้นฮุ่ยเอ๋อร์ก็น่าสงสารยิ่งนัก”
แม้ชายาหลิงหนานจะรู้สึกยินดีแต่มิอาจแสดงออกมาได้
ผลปรากฏว่าพระสนมเต๋อเฟยยิ่งโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม
นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางหลินเมิ้งหยา ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสั่น
“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
พระสนมกล่าวออกมาด้วยความโกรธ คนที่อยู่บริเวณรอบๆ อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกแทนชายาอวี้
หลินเมิ้งหยาคุกเข่าลงทั้งที่รู้สึกไม่อยากทำแต่ถึงกระนั้นก็ยังมิยอมพูดถึงความผิดของตนเอง
“เมื่อก่อนเปิ่นกงสอนเจ้าอย่างไร? แต่วันนี้เจ้ากลับใช้อารมณ์โดยไร้เหตุผลแล้วอย่างนี้จะดูแลจวนอวี้ได้อย่างไร”
ราวกับพระสนมเต๋อเฟยโกรธจัด นางไม่สนใจสายตาคนรอบข้างก่อนจะดุด่าลูกสะใภ้ของตนเอง
น้ำตารินไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง
หลินเมิ้งหยากัดฟันแน่นไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมา
กลับกันกับซ่างกวนฮุ่ยที่ตัวเปียกชื้นไปด้วยน้ำ ฟันกระทบเข้าหากันเพราะความหนาว อดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ออกมา
“คุณหนูซ่างกวน ข้าผิดเองที่สอนคนของตนเองไม่ดี จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้าวางใจเถิดข้าจะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาเจ้า”
พระสนมเต๋อเฟยส่งสายตาเชิงขอโทษไปทางซ่างกวนฮุ่ย ทว่านางกลับรู้สึกสงสัย
หยาเอ๋อร์ไม่เคยทำอะไรบุ่มบ่ามมาก่อน อีกทั้งนางยังรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างทั้งคู่แปลกประหลาด
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง ฮุ่ยเอ๋อร์…ฮุ่ยเอ๋อร์ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของเหนียงเหนียงมาก ท่านป้า ท่านป้า พวกเรากลับกันเถิด”
ซ่างกวนฮุ่ยเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ดังนั้นเสื้อผ้าของนางจึงเปียกชื้นจนแนบลำตัว
แววตาหวาดผวา หดตัวเล็กลง ไร้ซึ่งภาพลักษณ์คุณหนูผู้สูงศักดิ์
“ดูซิว่าเจ้าทำอะไรลงไป เปิ่นกงเองก็ไม่มีหน้าอยู่ที่นี่แล้ว กลับถึงจวนเมื่อไหร่ข้าจะสั่งสอนเจ้าอีกรอบ”
พระสนมเต๋อเฟยแสดงท่าทางประหนึ่งกำลังโกรธอย่างแท้จริง
บังเอิญขันทีที่รับผิดชอบดูแลงานเข้ามาประกาศ
“ใกล้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญนั่งลงเถิด”
เมื่อเห็นขันทีที่อยู่ด้านนอกผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่เมื่อครู่จึงสลายตัว
หลินเมิ้งหยาฝืนคุกเข่าอยู่ที่เดิม วันนี้นางทำให้ตัวเองและวงศ์ตระกูลต้องขายหน้าแล้ว
กลุ่มคนแยกย้ายกันไป ซ่างกวนฮุ่ยถูกหลิงหนานพาตัวกลับไปแล้ว ดังนั้นในตำหนักนี้จึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาคนเดียว
“รีบลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะนายหญิง พื้นมันเย็นนัก”
ป๋ายซูที่แอบอยู่อีกฝั่งรีบเข้ามาพยุงร่างของหลินเมิ้งหยา
ขณะเดียวกันก็ยัดกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งใส่มือของนาง
“นี่คือกระดาษที่คุณหนูหวังแอบยัดให้ข้าเจ้าค่ะ”
ป๋ายซูกระซิบข้างหูของหลินเมิ้งหยา
คืนนั้นหลินเมิ้งหยาปล่อยให้คุณหนูหวังมาดูอาการของแม่ตนเอง
คุณหนูหวังที่มักเป็นคนร้ายกาจร่ำไห้อย่างน่าสงสาร
ที่แท้หลังจากที่แม่ของนายตาย พ่อของนางคิดอยากจับนางแต่งงานออกเรือนไป
หากมิใช่เพราะนางต้องการไว้อาลัยให้แม่ เกรงว่าป่านนี้นางคงถูกพ่อไล่ไปแล้ว
หลินเมิ้งหยาคลี่กระดาษออก เมื่อเห็นตัวอักษรภายในมุมปากจึงหยักยิ้มขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะวางแผนแยบยลกว่าไท่จื่อเสียอีก”
นางเผากระดาษเล็กๆ ใบนั้นทิ้ง
หลินเมิ้งหยาจัดแต่งเสื้อผ้า
“ไปเถิด พวกเราควรขึ้นแสดงแล้ว”
ภายในตำหนักชุนเอิน ไท่จื่อ ฮองเฮา รวมถึงชนชั้นสูงอื่นๆ ล้วนนั่งอยู่ในตำหนักแห่งนี้
เพราะเรื่องของซ่างกวนฮุ่ย ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงกลายเป็นคนดังในงานวันนี้
แต่น่าเสียดายสายตาที่จับจ้องมาทางนางล้วนแตกต่างกัน
“เฉินเซี่ยมาสายแล้ว ไท่จื่อและฮองเฮาได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ด้วยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา หลินเมิ้งหยาในเวลานี้จึงดูน่าสงสารจับใจ
แม้จะเกลียดหลินเมิ้งหยามาก แต่เพราะเป็นผู้ชายดังนั้นเขาจึงอยากได้ผู้หญิงคนนี้มาปรนนิบัติรับใช้
ดวงตาของไท่จื่อเผยให้เห็นความลังเลแต่กลับถูกสายตาของชายารองตู๋กูเห็นเข้า
“ไม่เป็นไร เป็นเพียงงานเลี้ยงในครอบครัวเท่านั้น ไปนั่งที่เถิด”
สายตาของฮองเฮายังคงเหมือนเดิม
ในสายตาของนางหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงปลาตัวน้อยเท่านั้น
แม้ไท่จื่อจะพ่ายแพ้แก่หลินเมิ้งหยา แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น
“เพคะ ฮองเฮา”
พระสนมเต๋อเฟยยังคงแสดงท่าทางโกรธเกรี้ยว หลินเมิ้งหยานั่งลงด้วยท่าทางไม่มีความสุขนัก
ผู้คนรอบๆ มองอย่างสนอกสนใจ
บรรยากาศในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างอึดอัด หลินเมิ้งหยาดื่มเหล้าไปสองแก้ว ก่อนจะอ้างว่ามึนเมาจึงขอตัวไปพักผ่อน
สาวใช้ของหลินเมิ้งหยารู้ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงไม่มีใครตื่นตกใจ
เพียงเดินออกจากประตูตำหนักฉุนเอิน หลินเมิ้งหยาเลิกแสดงท่าเดินโซซัดโซเซก่อนจะรีบเดินไปที่ด้านขวาของตำหนักฉุนเอิน
เรือนที่เดินไปถึงไม่ใหญ่แต่กลับสะอาดสะอ้าน
ด้านในมีเก้าอี้วางเรียงเอาไว้นับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับพักผ่อนชั่วคราว
“นายหญิง เหตุใดคุณหนูหวังจึงนัดท่านมาพบหรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซูมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเขตตำหนักของฮองเฮา
อีกทั้งเย่กับชิงหูยังมิอาจล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ได้ง่ายๆ
แม้จะคุยกับคุณหนูหวังไว้อย่างดีแล้วแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกไม่วางใจ
“บางทีอาจจะคุยเรื่องที่พ่อของนางกำลังสร้างความลำบากให้กับท่านอ๋องกระมัง เมื่อคืนนางได้เห็นสภาพของฮูหยินหวังแล้ว ท่าทางตื่นตระหนกยิ่งนัก ฉะนั้นนางอาจจะยังไม่เข้าใจแผนการของพวกเราก็เป็นได้”
หลินเมิ้งหยากลับมิได้ใส่ใจ ในเมื่อคุณหนูหวังนัดนางออกมา เช่นนั้นนางจะต้องได้ข่าวใหม่อย่างแน่นอน
ผลปรากฏว่าไม่นานก็มีคนเดินถือโคมไฟเข้ามา
ประตูเรือนถูกเปิดออกหญิงสาวในชุดสีแดงทับทิมก้าวเข้ามา
“ขออภัยที่ทำให้พระชายาต้องรอนานเพคะ”
หน้าตางดงามดั่งเช่นฮูหยินหวังเพียงแค่ต่างช่วงอายุเท่านั้น
“ไม่เป็นไร แต่เจ้านัดข้าออกมาทำไมอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของคุณหนูหวังแสดงความอึดอัดสุดท้ายนางทอดถอนหายใจ
“หม่อมฉันคิดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อจะเป็นคนไร้ยางอาย หากมิใช่เพราะอาการของท่านแม่ยังมิรู้ว่าจะเป็นหรือตายแล้วล่ะก็ หม่อมฉันคงไม่อยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้ว”
ยังไม่ทันจะพูดจบคุณหนูหวังก็ส่งเสียงสะอื้น
ท่าทางของนางน่าสงสารแม้แต่ป๋ายซูยังใจอ่อน
“โอ้? ใต้เท้าหวังมีแผนอันใดอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง คุณหนูหวังก้าวเข้ามาข้างหน้าสองสามก้าว ก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ท่านพ่อเอ่ยว่าหากท่านไม่ตาย เช่นนั้นข้าคงต้องแต่งงานกับคนสารเลว”
ประโยคที่เอ่ยขึ้นเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น
คุณหนูหวังที่เคยมีท่าทีน่าสงสาร สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต
จู่ๆ นางชักมีดที่ส่องประกายคมกริบออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะเตรียมแทงหลินเมิ้งหยา
“นายหญิง ระวัง!”
ปลายมีดพุ่งไปทางดวงตาของป๋ายซูอย่างรวดเร็ว
แม้นางจะวาดเท้าเตะคุณหนูหวังออกแต่ก็มิช่วยอะไร
เลือดสีแดงสดรินไหลจากมือของหลินเมิ้งหยา
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าในช่วงเวลาสำคัญ หลินเมิ้งหยามิหวาดกลัว นางใช้มือข้างที่ว่างเปล่ารับมีดของคุณหนูหวังเอาไว้
“นายหญิง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ป๋ายซูกลัวเหลือเกินว่าหลินเมิ้งหยาจะเป็นอันตราย
“ข้าไม่เป็นไร มือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
ล้วนมีแต่คนบอกว่านิ้วทั้งสิบเชื่อมกับหัวใจ ทว่ามือที่กำลังกุมมีดเล่มนี้ถูกแทงจนเจ็บปวดไปถึงกระดูก
หลินเมิ้งหยาคลายมือออกด้วยท่าทางเย็นชา
ขณะเดียวกันมีดที่อาบไปด้วยเลือดหล่นลงบนพื้น
“ป๋ายซู สะกดจุดที่มือของข้า”
ป๋ายซูพยักหน้า นิ้วมือทั้งสองเสมือนไฟฟ้าที่ช๊อตลงบนมือของหลินเมิ้งหยา
เลือดที่กำลังรินไหลทำให้มือของนางดูน่ากลัว
แต่ที่น่าหวั่นกลัวยิ่งกว่าคือใบหน้าที่ยังคงเฉยชาดังเดิม
ราวกับว่านางมิเป็นอะไรเลย
“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้?”
แรงถีบของป๋ายซูไม่ใช่เบาเลย คุณหนูหวังพยายามลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงนอนแบ็บอยู่มุมหนึ่ง มองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ข้า…ข้า…ข้าไม่อยากแต่งกับคนสารเลว เจ้าเป็นชายาอวี้ เป็นลูกสาวของท่านแม่ทัพ เจ้าจะรู้ความเจ็บปวดของข้าได้อย่างไร”
มุมปากมีเลือดซึม
ลูกเตะของป๋ายซูน่าจะทำให้กระดูกของนางหัก
ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย
“เพื่อตัวเจ้าเอง แม้แต่ชีวิตของผู้เป็นแม่ก็ไม่ละเว้นอย่างนั้นหรือ?”
เดินเข้าไปใกล้ ด้วยใบหน้าเย็นชาและเลือดที่กำลังรินไหล หลินเมิ้งหยาจึงดูราวกับเป็นปีศาจ
“แม่ของข้า…ถ้าแม่ของข้ารู้ว่าความตายของนางจะทดแทนกันได้ เช่นนั้นนางก็คงยอมตาย แม่…ควรสละชีวิตเพื่อลูกมิใช่หรือ”
เพียงได้ยินประโยคนี้แม้แต่หัวใจของหลินเมิ้งหยายังสั่นสะท้าน
มีคนเคยบอกว่าเสือไม่คิดกินลูกของตัวเอง แต่คุณหนูหวังมีจิตใจวิปริตผิดมนุษย์ เพื่อตนเองแล้วแม้แต่แม่ก็ไม่ต้องการ
“จะพากลับไปสอบสวนที่จวนหรือไม่เจ้าคะนายหญิง?”
นางมองดูบาดแผลของนายหญิงด้วยความกังวล
ป๋ายซูอยากจบชีวิตผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน
“ฆ่าทิ้ง”
หลินเมิ้งหยาสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกตัดสินชีวิตของคุณหนูหวัง
ร่างบางที่กำลังขดตัวอยู่ที่มุมห้องเหลือกตาโต ส่งเสียงร้องขอชีวิต
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องการจะบอกมีคนต้องการฆ่าเจ้า”
มือของป๋ายซูชะงักค้างกลางอากาศ
หลินเมิ้งหยามองดูคุณหนูหวังรู้สึกลังเลเล็กน้อย
“พูดมา ใครต้องการฆ่าข้า?”
มองดูตนเอง นางมีโอกาสเอาชีวิตรอดแล้ว คุณหนูหวังเตรียมบอกชื่อผู้อยู่เบื้องหลัง
“คนนั้นคือ…อ๊าก…”
เลือดสีแดงสดพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ ป๋ายซูรีบกระโดดหลบ ก่อนจะกลับมายืนข้างกายหลินเมิ้งหยา
“เจ้า…เจ้า…”
คุณหนูหวังไม่อยากจะเชื่อ มองดูหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลง ส่งเสียงเจ็บแค้น
“แม้แต่แม่ของตัวเองยังฆ่าได้ คนแบบเจ้าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน”