ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 7 บทที่ 198 อาจารย์ชั้นต่ำ
“เจ้าสามารถสงสัยในตัวตนของข้าได้ แต่เจ้าจะสงสัยวิชาแพทย์พิษของข้าไม่ได้!”
เพียงได้ยินคำตอบโต้ ป๋ายหลี่รุ่ยหันขวับมาถลึงตาใส่ชายตรงหน้า
“ตัวตน? ท่านมีสิ่งใดให้น่าเชื่อถือกัน? คุณชายกูซู หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!”
หยุนจู๋แผดร้องเสียงดังลั่น ก่อนที่นางจะหายไปในทางเดินลับ
“คุณชายกูซู? นาง….นางคือหยุนซี!”
เสมือนถูกสายลมกรรโชก ป๋ายหลี่รุ่ยไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้มาก่อน
ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองเส้นทางลับเขม็ง
ก่อนที่สายตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นยอมจำนน
“หยุนจู๋ รอข้าก่อน”
หลินเมิ้งหยาคิดจะวิ่งตามออกไป แต่นางกลับได้เห็นสภาพของอาจารย์ที่ไม่ต่างอะไรจากหุ่นกระบอก
เขานิ่งงั่น สายตาจับจ้องเลือดสีแดงอมม่วงด้วยท่าทางเลื่อนลอย
“ท่านอาจารย์ ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่? คุณชายกูซูกับหยุนซีคือใคร?”
หลินเมิ้งหยามิอาจเดินหน้าหรือถอยหลัง อาการของหยุนจู๋ในตอนนี้ยังน่าเป็นห่วง
นางกลัวว่าหากหยุนจู๋ถูกกระตุ้น นางจะกลายเป็นคนเสียสติ
ทว่าอาการของท่านอาจารย์เองก็ย่ำแย่มิต่างกัน หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว หลินเมิ้งหยาตัดสินใจอยู่กับอาจารย์ของนางก่อน
“เฮ้อ ทั้งหมดล้วนเป็นโชคชะตา”
ป๋ายหลี่รุ่ยหยิบปิ่นไข่มุกออกมาจากในวงแขน
ปิ่นอันนั้นดูเก่า แต่กลับงดงามเกินพรรณนา
ไข่มุกที่ถูกฝังถูกขัดจนเงางาม นางเห็นป๋ายหลี่รุ่ยหยิบมันออกมาพลิกดู
“ท่านอาจารย์ ข้าเคยได้ยินหยุนจู๋เล่าว่านางเคยรักผู้ชายคนหนึ่ง หรือว่า…ชายคนนั้นคือท่าน?”
ดวงตาของป๋ายหลี่รุ่ยแม้จะว้าวุ่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอมองออกว่าสมัยเขายังหนุ่ม เขาก็คือคุณชายรูปงามคนหนึ่ง
ป๋ายหลี่อู๋เฉินได้ป๋ายหลี่รุ่ยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ห้วงอารมณ์ของทั้งสองจึงมิต่างกัน
แต่สิ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าคือความหล่อเหลาของป๋ายหลี่รุ่ย
สมัยยังหนุ่ม คาดว่าเขาคงเป็นเครื่องจักรสังหารหัวใจของหญิงสาว
ชิงหูเคยเล่าว่าสาเหตุที่หยุนจู๋เปลี่ยนไปเช่นนี้ก็เพราะผู้ชายคนหนึ่ง
ยิ่งมองหลินเมิ้งหยาก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านอาจารย์คือชายคนนั้น
ทว่าคนที่กำลังตกที่นั่งลำบากกลับกลายเป็นนางเสียแล้ว
หากเกลี้ยกล่อมหยุนจู๋ไม่สำเร็จ เกรงว่ากลุ่มสามสหายจะถึงคราวล่มสลาย
“ข้าไม่รู้หรอกว่านางเคยรักข้าหรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าข้าเคยรักนาง แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ทำให้นางยอมตายเสียยังดีกว่าทนมีชีวิตอยู่”
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่ยอมเล่าเรื่องในอดีต หลินเมิ้งหยาเองก็ไม่คิดบีบบังคับ
นางส่ายหน้า เตรียมตัวจากไป
“นังหนู นำของชิ้นนี้ไปคืนนางเถิด ช่วยข้าบอกนางหน่อยเถิดว่าเมื่อสิบห้าปีก่อน…ข้าขอโทษ”
มองปิ่นไข่มุกในมือ สายตามิอาจทำใจ แต่สุดท้ายก็วางลงบนมือของหลินเมิ้งหยา
นางมองดูอาจารย์อย่างจนคำพูด เพราะเหตุนี้เขาจึงอยู่ในสถานที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันเช่นนี้ได้สินะ
หัวใจตายไปแล้ว จะยังมีอะไรให้ต้องคิดถึงอีก
“ไม่ ท่านอาจารย์ การหนีมิใช่ทางออกของการแก้ปัญหา หากท่านต้องการการให้อภัยจากนาง เช่นนั้นท่านต้องเป็นคนมอบมันด้วยตนเอง”
หลินเมิ้งหยาคืนปิ่นมุกกลับไป เรื่องนี้ควรให้พวกเขาเป็นคนแก้ไขเองจึงจะถูก
เดินออกจากทางลับ แต่กลับแปลกใจที่ได้เห็นหยุนจู๋ยังยืนอยู่หน้าประตูสวน
เหตุเพราะความตื่นตระหนกเมื่อครู่ นางจึงยังมิได้คลุมใบหน้า
รูที่ถูกอาจารย์ใช่เข็มแทงเข้าไปบนใบหน้ามีเลือดสีแดงม่วงซึมออกมา
ภายใต้ความมืด ใบหน้าเหี่ยวย่นดังคนชรา รอยเลือดที่ซึมออกมาบนใบหน้าส่งผลให้รูปลักษณ์ของนางในเวลานี้มิต่างอะไรจากภูติผีปีศาจ
“หากเจ้าอยากตายก็จงตื่นตระหนกเช่นนี้ต่อไป”
หลินเมิ้งหยาไม่กล้าเข้าใกล้ ทำได้เพียงส่งเสียงเตือนไกลๆ
มิรู้ว่าเพราะเสียงเตือนของหลินเมิ้งหยาได้ผล หรือเพราะหยุนจู๋เริ่มสงบลงแล้ว
“ถ้าหากเจ้าบอกข้าว่าคนที่รักษาข้าได้คือเขาล่ะก็ ข้ายินยอมที่จะตาย”
หยุนจู๋ที่สงบลงแล้วยกผ้าขึ้นมาคลุมใบหน้า
ทว่าน้ำเสียงกลับเจือไว้ซึ่งความเย็นชา ราวกับคนที่เคยมีความแค้นต่อกันมาอย่างเนิ่นนาน
“ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงเกลียดชังท่านอาจารย์ แต่เรื่องนี้ผ่านมานานถึงสิบห้าปีแล้ว เจ้าอย่าได้นำชีวิตของตนเองมาล้อเล่นเลย”
หลินเมิ้งหยาคิดมาตลอดว่าคนที่หยุนจู๋ต้องการจะช่วยคือคนรักคนนั้นของนาง
แต่เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ ราวกับว่านางมีความแค้นกับท่านอาจารย์อยู่
เฮ้อ ไม่ว่าคนฉลาดเฉลียวคนไหนต่างก็ล้วนกลายเป็นคนโง่เขลาเพราะความรัก
“เกลียด? เขาไม่มีค่าพอ! เจ้าพูดถูก ข้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าอยากบอกให้เขารู้ว่าเขาคิดผิดที่ทิ้งข้าไป!”
โอ้ว มาย ก็อด! นี่มันโศกนาฏกรรมของหญิงสาวที่ถูกผู้ชายสารเลวทอดทิ้งหรืออย่างไร?
หลินเมิ้งหยารู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้วแต่กลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย
“พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องเถิด”
หลินเมิ้งหยาสาบาน นางไม่มีวันยอมให้แมงหวี่แมงวันมาได้ยินเรื่องราวในอดีตของท่านอาจารย์หรอก
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีคนพบหยุนจู๋เข้าคงมิใช่เรื่องดี
นางมองทางหลินเมิ้งหยา ก่อนจะพยักหน้า
บรรยากาศในค่ำคืนนี้เหมาะสมที่จะฟังเรื่องของชาวบ้านยิ่งนัก
เย่ยังคงอยู่ดูแลหลงเทียนอวี้ในคุกใต้ดิน ชิงหูไปตรวจสอบที่ตำหนักหยาเสวียนยังไม่กลับมา หลินจงอวี้เองก็เตรียมพร้อมขว้างมีดไปที่หลงเทียนอวี้ในคุกใต้ดินได้ตลอดเวลา
คนที่อยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยาตอนนี้มีเพียงสาวใช้ทั้งสี่
หลังจากได้เห็นหยุนจู๋ ป๋ายจื่อที่ขี้ขลาดที่สุดก็รั้งป๋ายจีเอาไว้ในห้องของตนเองไม่กล้าออกมา
คนที่มีความกล้าอย่างป๋ายซ่าวและป๋ายซูทำได้เพียงอยู่กับพวกนางในห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้างกายหลินเมิ้งหยาไม่มีผู้ใดคอยปกป้องหรือจับผิด
ทั้งสองมิต่างอะไรจากเพื่อนที่กำลังนั่งสนทนากันที่โต๊ะ
“ตอนนั้นข้าเพิ่งเข้าร่วมกับเถาฮวาอู๋ เหตุเพราะข้ากำเนิดจากโสเภณี ข้าจึงรับผิดชอบสืบหาข้อมูลในซ่อง”
ภายในความทรงจำอันแสนโหดร้ายของหยุนจู๋คือเรื่องราวระหว่างทั้งคู่
คนหนึ่งคือหญิงสาวที่พร้อมอ้าแขนต้อนรับแขกผู้มาเยือน อีกคนคือปรมาจารย์แพทย์พิษ
การโคจรมาพบกันของทั้งคู่ก่อให้เกิดสิ่งสวยงาม
ทั้งสองพยายามปิดบังฐานะของตนเอง ก่อนจะหาเวลาออกมาพบปะเพื่อสานต่อความรักอันหวานซึ้ง
“หลังจากนั้นสองปี จู่ๆ เขาก็หายไป ข้าออกตามหาเขาแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไร้ร่องรอยใดๆ”
เมื่อพูดถึงความรักหวานซึ้งของทั้งคู่ ใบหน้าของหยุนจู๋แย้มยิ้มอ่อนหวาน
แต่เมื่อพูดถึงการหายตัวไป หลินเมิ้งหยาสังเกตเห็นถึงความเสียใจในดวงตาของนาง
ดูเหมือนการจากไปของท่านอาจารย์จะส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงกับนาง
“ในเมื่อเขาจากไปแล้ว เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงออกจากเถาฮวาอู๋? เหตุใดใบหน้าของเจ้าจึงถูกทำลายเช่นนี้?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความอ่อนโยนที่เคยมีเมื่อครู่พลันหายไป
“ต่อมาสหายของเขามาส่งข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงาน ข้ารู้ดีว่าคนที่มีฐานะต่ำต้อยเช่นข้ามิอาจแต่งงานกับเขาได้ ฉะนั้นข้าจึงเพียงแค่อยากไปมองให้เห็นกับตาแต่เพียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตัดบัวไม่เหลือใย เอ่ยว่าเขากลัวข้าจะไปทำร้ายภรรยาของเขา หากข้าต้องการจะไปจริงๆ เช่นนั้นข้าต้องกินยาของเขาก่อน ยาตัวนั้นจะทำให้กำลังภายในของข้าหายไปนานสามวัน น่าเสียดายที่ระหว่างทางข้าได้พบกับศัตรู ดังนั้นข้าจึงมิอาจขัดขืนและถูกวางยา ต่อมาสหายผู้น้องของเขาช่วยเหลือข้าโดยการเปลี่ยนยา ดังนั้นข้าจึงหาวิธีการย้ายพิษและกลายเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์ดั่งเช่นทุกวันนี้”
เห็นได้ชัดว่าหยุนจู๋เกลียดท่านอาจารย์มาก แม้แต่หลินเมิ้งหยาที่เป็นคนนอกยังอดที่จะรู้สึกโกรธไม่ได้
ตอนแรกนางคิดว่าท่านอาจารย์จะเป็นคนเที่ยงธรรม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลายเป็นคนสารเลวเช่นนี้
ไม่สิ!
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นับตั้งแต่วันที่ได้ร่ำเรียนกับอาจารย์ นางมิเคยได้ยินมาก่อนว่าอาจารย์ยังมีครอบครัวหลงเหลืออยู่
“ข้าร่ำเรียนกับอาจารย์มานานแล้ว มิใช่เพียงวันสองวัน แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขามีภรรยาหรือลูก”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย หยุนจู๋ชะงัก ก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม
“ฮึ เขาจะต้องทิ้งผู้หญิงคนนั้นไปอย่างแน่นอน เรื่องนี้เขาถนัดนักล่ะ”
หยุนจู๋เกลียดชังอาจารย์ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมีความสุขุมในการไตร่ตรองมากกว่า
สายตาอาลัยอาวรณ์ของท่านอาจารย์มิใช่ของปลอมอย่างแน่นอน
หรือยังมีเรื่องที่นางยังไม่รู้อยู่อีกนะ?
“เจ้าวางใจ ข้าจะสืบหาความจริงเรื่องนี้เอง แต่พิษในกายของเจ้าจะต้องรีบถอนออกอย่างเร่งด่วน”
“ข้ายอมตาย ข้าไม่มีวันเชื่อใจผู้ชายคนนั้น”
หยุนจู๋ยังคงแน่วแน่ หลินเมิ้งหยาหมดทางเลือก ทำได้เพียงสัญญาว่านางจะจัดการเรื่องทุกอย่างเอง
ปลอบโยนอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนที่นางจะจากไปพร้อมความโกรธ
ภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยาคนเดียว
ตกลงในตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หลังจากป๋ายหลี่รุ่ยลงมือรักษาหลงเทียนอวี้ ไม่นานเขาก็กลับมาแข็งแรงดั่งเดิม
ทว่าสีหน้าของเขายังคงขาวซีด
หลินเมิ้งหยาอ้างว่าป่วยจึงไม่ออกไปไหน แม้แต่คนในตำหนักของนางเองก็ไม่ออกไปด้านนอกหากไม่จำเป็น
แต่ทุกครั้งที่เขาคิดจะเข้าไปขอโทษ ชิงหูกับหลินจงอวี้มักจะเข้ามาห้ามเอาไว้
ตอนนี้แม้แต่เย่ก็ถูกชิงหูไล่ออกมา
เมื่อไม่มีทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงปกป้องนางจากด้านนอกแต่เพียงเท่านั้น
“ทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยออกตรวจโรงครัวในจวนทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเพียงโรงครัวในตำหนักหยาเสวียนเท่านั้นที่พบของสิ่งนี้”
เหตุเพราะความโกรธเกรี้ยว หลงเทียนอวี้จึงสั่งให้หลินขุยไปตรวจสอบความจริง
เขาไม่คิดอยากสงสัยหมู่เฟย เหตุเพราะป๋ายหลี่รุ่ยเอ่ยว่าหากถอนพิษยาชนิดนี้ไม่ทัน เขาจะต้องกระอักเลือดตาย
ทุกคนในจวนล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย ยกเว้นแต่เพียงหมู่เฟย
ทว่าหลินขุยกลับพบของสิ่งนี้ที่ตำหนักหยาเสวียน
“แน่ใจแล้วหรือไม่?”
หลงเทียนอวี้ผินหน้ามองไปทางสวน ใบไม้สีแดงกำลังร่วงหล่นลงพื้น
อีกไม่กี่วันจะเหลือเพียงกิ่งก้านเท่านั้น
“ส่งไปให้ท่านป๋ายหลี่ตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ มั่นใจแล้วว่าเป็นพิษชนิดเดียวกัน”
หัวใจสั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวด
เหตุใด…เพราะเหตุใดหมู่เฟยจึงวางยาเขา?
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่าแม้จะพบยาพิษชนิดนี้ในตำหนักหยาเสวียน แต่ก็อาจจะไม่ใช่พระสนมเต๋อเฟยที่เป็นผู้ลงมือ หยาเสวียนมีคนมากมาย บางทีอาจเป็นฝีมือของบ่าวรับใช้ที่ต้องการจะใส่ร้ายพระสนมเต๋อเฟยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ร่องรอยแห่งความหวังปรากฏขึ้นในใจของหลงเทียนอวี้