ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 231 พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
ป๋ายซ่าวกลับดึงทึ้งเส้นผมสีดำขลับของตนเองพร้อมทั้งส่งเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
ดวงตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตากวาดสายตามองทุกคน นับตั้งแต่วันที่เข้ามารับใช้งานในจวน มีเพียงนายหญิงและเหล่าพี่น้องของนางทั้งสามที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายพระชายา
“ข้าป๋ายซ่าวตัดเส้นผมเพื่อแสดงให้เห็นความตั้งใจว่าข้าจะไม่มีวันแต่งงาน ข้าจะรับใช้นายหญิงไปตลอดชีวิต”
ทุกคนคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้
สายตาของหลินเมิ้งหยาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เข้าไปคุกเข่าต่อหน้าหลงเทียนอวี้ สีหน้าจริงจังไร้ซึ่งการเสแสร้ง
“ท่านอ๋อง แม้เมิ้งหยาไม่อาจสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่จวนอวี้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็มิเคยทำผิดกฎของจวนเลยแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น ซ้ำยังถูกคนปองร้าย แม้เมิ้งหยาจะเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นก็มองออกว่าตนเองกำลังถูกคนใส่ร้าย ฉะนั้นหม่อมฉันจึงอยากขอแยกทางกับพระองค์ ท่านอ๋องได้โปรดส่งตัวหม่อมฉันและสาวใช้ทั้งหมดกลับไปที่บ้านเดิมด้วยเพคะ”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาราวกับเสียงฟ้าถล่ม พระสนมเต๋อเฟยและหลงเทียนอวี้กำลังตกที่นั่งลำบาก
วันนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อน หลินมู่จือและหลินหนานเซิงกลับมายังเมืองหลวงแล้ว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าสกุลหลินจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาอยู่อย่างสงบสุข
เมื่อถึงเวลานั้น เจียงซานคงสั่นคลอน
“เรื่องนั้น…”
สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยเผยให้เห็นถึงความลำบากใจ ขณะที่คิดจะเอื้อนเอ่ย หยุนลั่วกลับชิงพูดก่อน
“ทูลเหนียงเหนียง ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นหนู่ปี้มีเรื่องที่ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป หนู่ปี้เคยได้ยินคำพูดหยาบคายประหนึ่งต้องการจะเป็นอนุภรรยาของท่านอ๋องออกมาจากปากของจิ่นซู่ ทว่าตอนนั้นฐานะของหนู่ปี้ต่ำต้อย จึงไม่อาจพูดสิ่งใดได้ แต่ใครจะรู้ว่านางจะสร้างเรื่องราวร้าวฉานให้แก่พี่น้องของพวกเราขนาดนี้”
สิ้นเสียงของหยุนลั่ว ร่างของจิ่นซู่ทรุดลงกับพื้น
ใบหน้าขาวซีด ดวงตาถลึงโต แต่กลับไร้เสียงตอบโต้
“โอ้? ที่แท้นางก็เป็นคนสร้างเรื่องเช่นนี้ขึ้นมากระนั้นหรือ เข้ามา จงนำตัวนางไปคุมขังไว้ที่ตำหนักของพระชายา จากนั้นปล่อยให้พระชายาเป็นผู้ลงโทษ”
พระสนมเต๋อเฟยกลับมามีท่าทางสง่าผ่าเผยอีกครั้ง ทว่าหลินเมิ้งหยายังคงไม่ยอมลุกขึ้น
สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่เพียงคำพูดสองสามประโยคนี้ แต่เป็นผลลัพธ์บางอย่าง
หากหลงเทียนอวี้ไม่อาจให้นางได้ เช่นนั้นนางจะขอหย่าขาดกับเขาจริงๆ
บรรยากาศกลับมากดดันอีกครั้ง
หลินเมิ้งหยายังคงดึงดันเพราะต้องการให้หลงเทียนอวี้เปลี่ยนความคิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หมู่เฟยอย่าลำบากจัดการเรื่องในจวนอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์อยู่พักผ่อนที่ตำหนักหยาเสวียนอย่างมีความสุขสำราญเถิด จากนั้นขอให้พระชายาเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องในจวนทุกอย่าง ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขืน หากมีผู้กระทำความผิด จงใช้กฎระเบียบของจวนมาจัดการ”
คำพูดของหลงเทียนอวี้สร้างความมั่นคงให้กับตำแหน่งของหลินเมิ้งหยายิ่งขึ้น
เกรงว่าแม้แต่พระสนมเต๋อเฟยเองก็คิดไม่ถึงว่าลูกชายที่ตนเองรู้จักจะแสดงท่าทางไร้เยื่อใยกับนางเช่นนี้
ทุกคนล้วนมองออกว่าจิ่นซู่เป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น
หากไม่มีใครคอยหนุนหลัง มีหรือนางจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้
ขณะที่พระสนมเต๋อเฟยกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา หยุนลั่วกลับกระตุกชายเสื้อของนางไว้ ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อส่งสัญญาณว่าตอนนี้ยังมิใช่โอกาสเหมาะสม
พระสนมเต๋อเฟยกลืนคำพูดลงคอ ก่อนจะเหลือบมองหลินเมิ้งหยาที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น
นางแพ้แล้ว
“อวี้เอ๋อร์พูดถูก เปิ่นกงอายุมากแล้ว ต่อจากนี้ไปให้เมิ้งหยาเป็นผู้ดูแลจวนอวี้ให้ดี ส่วนจิ่นซู่ ข้าขอมอบให้พวกเจ้าเป็นคนจัดการ หยุนลั่ว กลับกันเถิด”
ทว่าจิ่นซู่เข้าไปคว้าแข้งขาของหยุนลั่วเอาไว้
ดวงตาเผยให้เห็นความหวาดกลัว แต่ทุกคนต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหญิงสาวที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่นี้ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว
หยุนลั่วก้มลงมองจิ่นซู่ที่กำลังเกาะแข้งเกาะขาตนเอง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ และเตะนางออก
เดินตามหลังพระสนมเต๋อเฟย คนเหล่านั้นลับหายไปจากสายตาของหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
“พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถิด”
เมื่อเห็นว่าพระสนมเต๋อเฟยเดินลับไปแล้ว หลินเมิ้งหยาไม่รอให้ใครเข้ามาประคอง นางรีบลุกขึ้นแล้วเข้าไปประคองร่างของสาวใช้ทั้งสอง
ในที่สุดหยาดน้ำตาก็รินไหลออกมาใบหน้าของป๋ายจื่อ ท่าทางน่าสงสารเสมือนลูกแมวตัวน้อย สายตามองทางหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าว
นางทั้งหวาดกลัวและยินดีที่ได้ยินคำพูดของป๋ายซ่าว นางรู้แล้วว่าคนที่ตนเองนับเป็นพี่น้องมิได้ทรยศหักหลัง
“ขอโทษนะป๋ายจื่อ ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง ข้าทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด”
ป๋ายซ่าวกอดป๋ายจื่อแล้วเปล่งเสียงร้องไห้ นางคิดไม่ถึงเลยว่าสวีมามาจะใส่ร้ายตนเองและลงมือกับป๋ายจื่อเช่นนี้
มองป๋ายจื่อด้วยความสงสาร แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกยินดีเล็กน้อย
“เอาล่ะพวกสาวใช้โง่เขลาของข้า อย่าร้องไห้อีกเลย พวกเรากลับไปที่ตำหนักกันก่อนเถิด ป๋ายซู ป๋ายจี พวกเจ้ามาประคองพวกนางไป”
ทว่าป๋ายจีกลับยังลังเลเล็กน้อย หลินเมิ้งหยาจึงดันศีรษะของนางเบาๆ ในที่สุด สาวใช้ทั้งสี่ก็กลับมารวมตัวกันเหมือนเดิม
“เจ้าดูคนไม่ผิด ป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อมิได้หักหลังเจ้า”
หลงเทียนอวี้ยืนข้างกายนาง ก่อนจะส่งเสียงเรียบ
หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปส่งยิ้มหวานให้กับเขา ก่อนจะเอ่ยขอบคุณด้วยใจจริง
“หากมิได้รับการช่วยเหลือจากท่านอ๋อง แผนการของหม่อมฉันคงไม่ราบรื่นเช่นนี้ ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง”
เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาส่งยิ้มออกมาจากใจจริงโดยไม่เสแสร้ง นางอยากแสดงความขอบคุณกับหลงเทียนอวี้ด้วยหัวใจ
รอยยิ้มพิมพ์ใจส่งผลให้ใบหน้าของหลินเมิ้งหยางดงามยิ่งขึ้น
ไร้ซึ่งการยั่วยวน แต่กลับมีเสน่ห์จนน่าตื่นตะลึง มีเพียงนางผู้เดียวที่จะทำให้เขารู้สึกเช่นนี้
“ไม่เป็นไร เจ้าเป็นชายาของข้า”
หลงเทียนอวี้ยกยิ้มมุมปาก เขามอบรอยยิ้มให้กับหลินเมิ้งหยาแต่เพียงผู้เดียว
แม้จะเป็นฤดูหนาวแต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจ
นางก้มหน้า ยิ้มเขินอาย หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังเต้นระรัว
ทำไมผู้ชายคนนี้จึงยิ้มอย่างมีเสน่ห์ชวนมองเช่นนี้นะ? ให้ตายเถอะ หน้าของนางยังไม่แดงใช่หรือไม่?
“ท่านอ๋อง มีข่าวส่งมาจากวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังตกอยู่ในภวังค์ เสียงของพ่อบ้านเติ้งพลันดังขึ้น
สีหน้าของพ่อบ้านเติ้งกระวนกระวาย ใบหน้าแดงระเรื่อของหลินเมิ้งหยาจึงเลือนหายไป
“พระองค์รีบไปจัดการงานเถิดเพคะ หม่อมฉันเองก็จะกลับไปดูแลพวกสาวใช้ที่จวน”
เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาไม่กล้ามองหน้าหลงเทียนอวี้ นางรีบกลับไปยังตำหนักหลิวซิน เมื่อเดินมาถึง สีหน้าของนางสงบนิ่งลงแล้ว
ตบเข้าที่ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของตนเอง ก็แค่รอยยิ้มที่ไม่ได้ตั้งใจของเขาเท่านั้นมิใช่หรือ?
นางไม่รู้เลยว่าตนเองกลายเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาตั้งแต่เมื่อไหร่
“พระชายา สองคนนี้เป็นคนที่ท่านอ๋องสั่งให้คุมตัวมา ไม่ทราบว่าพระองค์จะจัดการเช่นไร?”
หลินขุยพาองครักษ์สองคนเข้ามา อีกทั้งยังมีจิ่นซู่และสวีมามาที่ถูกส่งตัวมายังตำหนักหลิวซิน
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลาจัดการพวกนาง สั่งให้พวกนางคุกเข่าที่สวนก่อนเถิด”
ไม่แม้แต่จะชายตามอง ในเมื่อพระสนมเต๋อเฟยกล้าส่งคนมาให้นางโดยไม่รู้สึกรู้สาอันใด เช่นนั้นแสดงว่าพวกนางได้เตรียมแผนรับมือเอาไว้หมดแล้ว
ต่อให้นางสอบปากคำก็คงไม่ได้อะไร
กลับเข้ามาในเรือน สาวใช้ทั้งสี่กลับมามีท่าทางปกติแล้ว พวกนางทั้งหัวเราะและร้องไห้ไม่หยุด
“ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ จริงสิ ทายาบนหน้าของป๋ายจื่อหรือยัง?”
หลินเมิ้งหยาทั้งยินดีและสงสาร เพื่อนางแล้ว สาวใช้ของนางต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ป๋ายจื่อทำให้นางรู้สึกสงสารจับใจ แต่ทว่าป๋ายซ่าวกลับเป็นผู้เสียสละมากที่สุด
หลินเมิ้งหยาดึงตัวสาวใช้ผู้แสนโง่เขลาแต่จริงใจของตนเองเข้ามา มองดูเส้นผมขาดวิ่นของนาง สายตาเผยให้เห็นความรู้สึกผิด
“เด็กโง่ เจ้าทำเช่นนี้ทำไมกัน? ข้าเชื่อใจเจ้า เชื่อใจพวกเจ้าเสมอมา แค่นี้ก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
ร่างกายล้วนเป็นของพ่อแม่ หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าในสมัยโบราณให้ความสำคัญกับเส้นผมขนาดไหน
ตอนนี้เส้นผมที่เคยเหยียดตรงดำขลับของนางกลับถูกตัดจนแหว่ง แล้วแบบนี้นางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร
“นายหญิง ตั้งแต่วันที่ข้าหนีมา ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะมาจับตัวข้ากลับไปเสมอ เหตุเพราะใบหน้าของข้าจึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย ท่านแม่เคยไปดูดวงให้ข้า นางเอ่ยว่าข้ามีโชคชะตาดอกท้อ มีเพียงการขึ้นไปอยู่บนภูเขาเพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาดเท่านั้นจึงจะช่วยได้ แต่ท่านแม่ของข้ามิอาจทำใจได้ ดังนั้นข้าจึงกลายมาเป็นสาวใช้เช่นนี้ หลังจากที่ข้าได้ทำงานรับใช้ท่าน ข้าไม่เคยสนใจเรื่องอื่นใด ฉะนั้นท่านอย่าได้รู้สึกผิด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความต้องการของข้าเอง”
ป๋ายซ่าวมีใบหน้างดงาม ฝีมือเก่งกาจ แต่นางเป็นคนกตัญญูรู้คุณเป็นอย่างมาก
แม้จะถูกพระสนมเต๋อเฟยส่งตัวไปที่ตำหนักของหลงเทียนอวี้ แต่นางก็ไม่เคยทำเรื่องผิดประเวณี กลับกัน นางพยายามรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงเอาไว้ ดังนั้นสายตาของทุกคนในจวนจึงเปลี่ยนไป
“ข้ารู้ดีว่าทำดีย่อมได้ดี พวกเจ้าทั้งสี่สมควรที่จะมีความสุข”
สาวใช้ทั้งสี่ล้วนเป็นคนดี หลินเมิ้งหยาไม่เชื่อหรอกว่าสวรรค์จะปล่อยให้พวกนางอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต
เป็นเพราะนาง หากนางไม่อยู่ที่จวนอวี้ ชีวิตที่ไม่สงบสุขเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น สาวใช้ทั้งสี่เองก็จะไม่ต้องถูกทำร้าย
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนาง
เช่นนั้นนางจะต้องรับผิดชอบชีวิตพวกนางทั้งสี่
“เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกร้องไห้กันได้แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ข้าเชื่อว่าต่อจากนี้ไปมือของพระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางเอื้อมมาถึงตำหนักเราอย่างแน่นอน ป๋ายซู เจ้ากับป๋ายซ่าวช่วยกันจัดการตำหนักของเราให้สะอาดเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอเอาไว้”
สาวใช้ทั้งสี่รับใช้หลินเมิ้งหยามานานจึงได้รับอิทธิพลจากนางไม่มากก็น้อย
เวลาแห่งความอ่อนแอจบลงแล้ว ตอนนี้ทุกคนกลับมามีท่าทางเป็นปกติ
“จริงสิเจ้าคะนายหญิง เหตุใดจิ่นซู่จึงไม่หาข้ออ้างเพื่อให้ตนเองพ้นผิดเล่าเจ้าคะ? หรือนางทำใจเตรียมยอมรับโทษแล้วจริงๆ?”
ป๋ายจีเอ่ยถามในสิ่งที่ทุกคนต่างพากันสงสัย หลินเมิ้งหยาเหยียดยิ้มเล็กน้อย สายตาเย็นชาประหนึ่งเครื่องจักร ก่อนจะเอ่ย…