ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 9 บทที่ 247 หาเรื่อง
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไท่จื่อและองค์ชายห้าเป็นสิ่งที่คนทั้งราชวงศ์รับรู้
แต่คนที่คิดจะกลั่นแกล้งเสี่ยวหยา พวกเขาควรจะใช้วิธีลอบทำร้ายมิให้นางรู้ตัว การจู่โจมเสี่ยวหยาโดยตรงเช่นนี้มิต่างอะไรจากการดูแคลนสกุลหลิน
“องค์ชายห้า…ไท่จื่อ….ฮึ! บังอาจรังแกน้องสาวของข้า หากข้าไม่มอบของขวัญกลับไปให้พวกเขา ก็คงจะเป็นการแล้งน้ำใจต่อพวกเขาที่อุตส่าห์ใส่ใจน้องสาวของข้าเป็นอย่างดี!”
หลินหนานเซิงที่อยู่ในวัยเลือดพลุ่งพล่านไม่อาจอดทนอดกลั้นได้อย่างหลินมู่จือ
ในพจนานุกรมของเขามีสุภาษิตหนึ่งที่กล่าวว่าบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ แม้ว่าอีกฝ่ายจะยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่เขาก็จะคิดหาวิธีทำให้คนเหล่านั้นไม่มีทางอยู่ดีมีสุข!
“ก็แค่มีสกุลเฉินเป็นที่พึ่งมิใช่หรือ ตอนนี้ขุนนางของสกุลเฉินใกล้จะหมดอำนาจเต็มที เขามิกลัวว่าจะไม่มีใครปกป้องเขาแล้วกระนั้นหรือ?”
ดวงตาของฉินมั่วเปล่งประกายอย่างดูแคลน
ไม่ว่าจะทั้งการบ้านการเมืองหรือวิชาการต่อสู้ เมื่อเทียบกับองค์ชายพระองค์อื่นแล้ว เขาไม่เคยเป็นตัวเลือกที่ทุกคนยอมรับ
ทว่าองค์ชายห้ากลับแสดงท่าทางหยิ่งยโส ก่อนนั้นเขามีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยปกป้อง แต่ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตายจากไปแล้ว สกุลเฉินมิต่างอันใดจากตระกูลที่รอวันล่มสลาย แล้วจะยังมีใครสนใจองค์ชายไม่ได้เรื่องผู้นี้อยู่อีกหรือ?
“ก็ยังมีไท่จื่อมิใช่หรือไร? เขาเป็นถึงคนสนิทของไท่จื่อ สกุลซ่างกวนและฮองเฮาไม่มีทางปล่อยให้ไท่จื่อถูกไฟคลอกตายอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของหลินหนานเซิงประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มเล็กน้อย ทว่านัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นความเกลียดชัง
“ไท่จื่อ? ตอนนี้เขาไม่อาจดูแลตัวเองได้ด้วยซ้ำ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฮองเฮาจะลงโทษพระญาติเพื่อองค์ชายห้า”
ทั้งสองสบตากันก่อนจะแสยะยิ้ม เรื่องบางเรื่องมิจำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
หลินเมิ้งหยาที่เสพความรักอย่างเต็มเปี่ยมแล้วใบหน้าแดงก่ำ ตอนนี้สติของนางกลับมามากพอที่จะรู้แล้วว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ต่อหน้าสาธารณะชน
ใบหน้าข้างแก้มร้อนผ่าว นางไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายมาเป็นนางเอกละครเวทีเช่นนี้
ทันทีที่เดินกลับมาถึงที่นั่ง ริมฝีปากของสาวใช้ทั้งสี่ฉีกยิ้มกว้าง
“ยิ้มอะไรกัน? ห้ามยิ้ม! มิเช่นนั้น….มิเช่นนั้น…”
เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาร้องออกมาอย่างคนหยิ่งยโส แต่นางกลับพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าของนางแดงเถือก ไร้ซึ่งท่าทางสุขุมเย็นชา
“พวกเราไม่ได้ยิ้มนะเจ้าคะ ดูซิ ดูซิ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ใครกันที่กอดรัดฟันเหวี่ยงกับท่านอ๋องต่อหน้าทุกคน….” ป๋ายซ่าวที่เป็นคนมีอุปนิสัยร่าเริงส่งเสียงหวานใส
นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างหันชนกันก่อนจะงอลงเล็กน้อยอย่างคลุมเครือ เพียงได้เห็นก็รู้ว่ากำลังเอ่ยแซวหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้
“เด็กบ้า หากเจ้าพูดจาเลื่อนเปื้อน ข้าจะฉีกปากเจ้า!”
ทั้งที่รู้ว่าคำพูดของตนเองในเวลานี้ไร้ซึ่งความน่าเกรงขาม แต่หลินเมิ้งหยากลับแสดงท่าทางขึงขังออกมา ทว่าสาวใช้ทั้งสี่กลับระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“เอาล่ะ พวกเจ้าเลิกหัวเราะข้าได้แล้ว ถึงอย่างไรข้ากับท่านอ๋องก็เป็นสามีภรรยา หากพวกเจ้าอิจฉาแล้วล่ะก็ เมื่อกลับไปถึงจวน ข้าจะขอร้องท่านอ๋องให้หาสามีให้กับพวกเจ้า”
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางเคร่งขรึม สาวใช้ทั้งสี่รู้แล้วว่าพวกตนเองไม่ควรล้อนายหญิงเล่นอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็แสดงท่าทางประหนึ่งว่า “ข้าจะปล่อยท่านไปในคราวนี้” ให้กับนาง ขณะเดียวกันหลินเมิ้งหยาก็รู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน
เฮ้อ จะมีเจ้านายคนไหนจะไร้ซึ่งความน่านับถือเช่นนางบ้าง?
แม้จะเอ่ยว่าเป็นงานเลี้ยงครอบครัว แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์อย่างเป็นทางการ แต่เพราะปีนี้ฮ่องเต้ยังทรงพระประชวร บรรยากาศในงานจึงมิได้ครึกครื้นเหมือนทุกปี
ฮองเฮาและไท่จื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้ว่าแผนการทำร้ายหลินเมิ้งหยาจะล้มเหลว แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม มิเผยสิ่งใดออกมาให้เห็น
รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าราวกับว่ากำลังตื่นเต้นกับงานเลี้ยงในคราวนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ญาติพี่น้องที่รักทุกท่าน ราชวงศ์ของพวกเรามิอาจขาดขุนนางคนใดคนหนึ่งไปได้ เหตุที่บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะความจริงใจและมุมานะของพวกท่าน งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในวันนี้ก็เพื่อขอบคุณทุกท่านที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการทำงาน หวังว่าต้าจิ้นของพวกเราจะสงบสุขสืบไป”
ฮองเฮาลุกขึ้นยืนที่ตำแหน่งของตนเอง ก่อนจะกล่าวคำพูดสวยหรู
ทุกคนยกแก้วในมือขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
คำพูดสละสลวยงดงามราวกับว่ามีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่เหมาะสมจะเอ่ยสิ่งเหล่านี้ อันที่จริงหลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย เหตุเพราะฮองเฮามีอำนาจในการดูแลวังหลังอยู่แล้ว เหตุใดนางจึงต้องสร้างเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา เนื่องจากไม่ช้าก็เร็วลูกชายของนางก็จะได้ขึ้นครองบังลังก์มังกร
หรือนางจะไม่มั่นใจจึงคิดกำจัดหลงเทียนอวี้? แล้วเหตุใดนางจึงสร้างความขุ่นเคืองกับสกุลหลิน
แม้ว่าตระกูลของฮองเอาจะเป็นตระกูลของนักรบ แต่ถึงกระนั้นชื่อเสียงและอำนาจก็ยังห่างชั้นจากท่านพ่อมาก
หากนางสามารถส่งซ่างกวนฉิงมาจับตามองดูได้ เช่นนั้นอำนาจของสกุลหลินก็ดูเหมือนกำลังสนับสนุนไท่จื่อแล้วมิใช่หรือ?
นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดฮองเฮาจึงเอ่ยเหมือนเอาใจเขามาใส่ใจเราเช่นนี้
“เทศกาลวันฤดูหนาวนี้เป็นการเฉลิมฉลองใหญ่แห่งต้าจิ้น เหตุเพราะเสด็จพ่อยังทรงประชวร ข้าที่เป็นลูกชายมิอาจข่มตาหลับสนิทได้ ดังนั้นข้าจึงขอมอบปะการังแดงเป็นเครื่องราชบรรณาการเพื่อขอพรให้แด่เสด็จพ่อ”
ไท่จื่อเองก็ลุกขึ้นยืนจากตำแหน่งของตนเอง ใบหน้าเผยให้เห็นความกังวล
ภายนอกแสดงท่าทีประหนึ่งกำลังกังวลกับอาการประชวรของฮ่องเต้
แต่หลินเมิ้งหยาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย หากไท่จื่อเป็นห่วงพระพลานามัยของฮ่องเต้จริง เช่นนั้นเขาควรจะแสดงความกตัญญูอยู่ที่ข้างเตียงของฮ่องเต้ มิใช่เอาเวลามาเกี้ยวพาราสีคนนั้นคนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเกี้ยวพาราสีไม่สำเร็จ ยังหันมาแว้งกัดคนผู้นั้นอีกด้วย
“ไท่จื่อมีความกตัญญูยิ่งนัก กระหม่อมซาบซึ้งเหลือเกิน อีกทั้งยังได้ยินมาว่าปะการังแดงคือตัวแทนของพระพุทธเจ้า การที่ไท่จื่อถวายเครื่องราชบรรณาการเช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องแข็งแรงในเร็ววันอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงเยินยอดังขึ้นมาในทันใด
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองทางต้นเสียง มีเพียงคนของสกุลซ่างกวนเท่านั้นที่จะเอ่ยอะไรเช่นนี้ออกมาได้
ทว่าการเดินหมากชื่นชมไท่จื่อในคราวนี้ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากขุนนางท่านอื่นไปไม่น้อย
แม้ภายนอกจะแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าในความเป็นจริงปากมิเคยตรงกับใจ หลินเมิ้งหยาปรายสายตาดูแคลนไปทางไท่จื่อ
ก็แค่ปะการังแดงมิใช่หรือ? ขอแค่มีเงินก็ซื้อได้ทั้งนั้น
โชคดีที่คำสรรเสริญเยินยอจบไปอย่างรวดเร็ว พิธีการดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หลงเทียนอวี้สั่งให้นักร้องและนักเต้นระบำขึ้นไปบนเวที จากนั้นงานเลี้ยงสังสรรค์จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
เสียงดนตรีพื้นบ้านซือจู่ดังไพเราะเสนาะหู นักเต้นระบำทั้งสิบกรีดกรายพลิ้วไหวชวนมอง ทุกย่างก้าวของพวกนางทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนต้องมนตร์
หลินเมิ้งหยาได้เห็นการแสดงเหล่านี้ก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นนางเองก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้
แตกต่างจากนักเต้นระบำของวังหลวง รูปร่างสูงโปร่งบอบบางพลิ้วไหวไปตามเสียงเพลง ท่วงท่าอ่อนช้อยเสมือนเทพธิดาในภาพวาด
แม้อาจจะมีจังหวะที่ผิดพลาดไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่อะไร
เหตุเพราะงานเลี้ยงจัดออกมาได้ไม่เลว ดังนั้นเหล่าพระญาติจึงหันมาให้ความสนใจกับการแสดง
ทว่าเมื่อการแสดงชุดแรกจบลง จู่ๆ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมา
“เฮ้อ ฮ่องเต้ยังทรงพระประชวร หากพระองค์รู้ว่าพวกเราจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเช่นนี้ พระองค์คงเสียใจ”
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองทางต้นเสียง หน้าตาไม่เหมือนคนสนิท เกรงว่าจะเป็นคนจากภายนอก
นางมองเห็นร่องรอยบางอย่างจากสายตาของไท่จื่อ จึงเข้าใจในทันทีว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคนที่ไท่จื่อส่งมาป่วนงานอย่างแน่นอน
หลังจากเสียงถอนหายใจดังขึ้น สีหน้าของเหล่าขุนนางต่างเคร่งขรึมลง
อาการประชวรของฮ่องเต้ถูกกล่าวขานกันทั้งต้าจิ้น
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าไท่จื่อต้องการอะไร
โชคดีที่นางเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว หลังจากหลงเทียนอวี้ได้เห็นการแสดงของคนตรงหน้า เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“แน่นอนว่าข้าตระเตรียมเรื่องนี้เอาไว้แล้ว สุขภาพพลานามัยของฮ่องเต้เปรียบเสมือนความสงบสุขแห่งต้าจิ้น ทุกท่านอย่าได้กังวลไปเลย เปิ่นหวังได้ตระเตรียมหญิงงามซึ่งเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลทั้งสิบเพื่อแสดงระบำนางฟ้า มีคำกล่าวขานว่านางฟ้าล้วนเป็นเทพธิดาของพระพุทธเจ้า หากร่ายรำได้อย่างงดงาม เช่นนั้นฮ่องเต้เองก็จะได้รับพร”
คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่หลินเมิ้งหยากำชับหลงเทียนอวี้ทั้งสิ้น
เมื่อหลายปีก่อนหลินเมิ้งหยาเคยไปที่ตุนฮวงเพื่อทำการวิจัย ทันทีที่ไปถึง นางรู้สึกทึ่งกับภาพจิตรกรรมของเหล่านางฟ้าที่กำลังเริงระบำ
อันที่จริงนางฟ้าเหล่านี้คือกังถ่าผ๋อและจิ่นนาหลัว คนหนึ่งมีหน้าที่จุดธูปหอม อีกคนมีหน้าที่ร้องรำ
ส่วนเรื่องชุดของนางรำ หลินเมิ้งหยาปรึกษากับป๋ายจีทั้งคืนเพื่อหาชุดที่เหมาะสมกับภาพลักษณ์ของนางฟ้าผู้มีเสน่ห์ชวนมอง
ยิ่งไปกว่านั้น นางประยุกต์ท่วงท่าการรำระหว่างท่ารำของชนเผ่าหูกับท่ารำของชนเผ่าหมินเข้าด้วยกัน ดังนั้นทุกคนจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
ผลปรากฏว่าหลังจากที่หลงเทียนอวี้กล่าวจบ เหล่าขุนนางเริ่มแสดงท่าทางสงสัย
ระบำนางฟ้า? เป็นชื่อการแสดงใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยิน หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้พยักหน้า ก่อนจะพาสาวใช้ทั้งสี่ไปเตรียมตัวด้านหลังเวที
ปรากฏว่านางรำทั้งสิบซึ่งได้ตระเตรียมเอาไว้มาไม่ได้ บางคนก็หายตัวไป
ทว่าพวกไท่จื่อคงนึกไม่ถึงหรอกว่า อันที่จริงหลินเมิ้งหยาได้เตรียมระเบิดชุดใหม่มาแทนที่แล้ว
ระบำนางฟ้ามีซ่างกวนฮุ่ยเป็นผู้นำในการแสดงคราวนี้
ส่วนคนทั้งสิบเป็นคนที่หลินเมิ้งหยาคัดสรรเองกับมือ ทุกคนล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลหลินและหลงเทียนอวี้ โชคดีที่ซ่างกวนฮุ่ยมิได้ปรากฏตัวนอกบ้านบ่อยนัก มิเช่นนั้นนางรำอีกเก้าคนจะต้องตั้งป้อมใส่นางอย่างแน่นอน
เพียงเดินผ่านเข้าประตูมา นางก็ได้เห็นนางรำทั้งสิบแต่งตัวเสร็จแล้ว