ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 9 บทที่ 259 วิชาแพทย์พิษอันแสนโหดเหี้ยม
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
เพราะเหตุนี้นับตั้งแต่ตอนที่แมลงพวกนั้นถูกเผา ซินชิงจึงมิได้ขยับเขยื้อน ที่แท้ก็เพราะเหตุผลนี้นี่เอง
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าหมายความว่าตอนนี้เขาขยับตัวไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าชิงหูยังคงตั้งท่าป้องกัน หลังจากได้ลองประมือกันแล้ว เขารับรู้ถึงความอำมหิตและความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
หากนี่เป็นเพียงการยื้อเวลา เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาและเขาเองก็คงไม่ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
“นายหญิง ฆ่าเขาเลยเจ้าค่ะ! โอกาสมาถึงแล้ว”
จู่ๆ ป๋ายซูก็ร้องตะโกนออกมา ทว่าหลินเมิ้งหยากลับลังเล
ชิงหูเคยเล่าว่าสกุลซินเป็นสกุลที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเลี่ยหยุนตี้ ซินหลีเป็นทายาทของตระกูล หากเขาถูกนางฆ่า เช่นนั้นนี่จะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างอาณาจักร
นางควรทำอย่างไร?
ขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น ซินชิงที่อยู่ในร่างของซินหลีพลันเปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอีกครั้ง ก่อนจะระเบิดออก ชิงหูที่ตั้งท่าป้องกันไว้อยู่ก่อนแล้วรีบเข้ามาอุ้มร่างของหลินเมิ้งหยาแล้วพากระโดดถอยหลัง
ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของทุกคน หลินเมิ้งหยาได้เห็นภาพอันหน้าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต
ใบหน้าโหดเหี้ยมของซินชิงกลายเป็นแมลงหลากสีสัน พิษของแมลงหลากสีปล่อยมาผสมกันจนเป็นน้ำหนองที่ไหลหยดลงพื้นหิมะ เสียงร้องเตือนของเรดาร์ในสมองของนางดังลั่น
หากจำแนกความอันตรายตามสมัยปัจจุบัน ชายตรงหน้าเสมือนความอันตรายลำดับที่สาม ส่วนอันดับแรกก็คืออาวุธชีวภาพ!
ตกลงเขาเป็นตัวอะไรกันแน่?
“จบแล้ว…”
ป๋ายซูที่กลายเป็นอัมพาตครึ่งซีกไปชั่วคราวอยู่ในวงแขนของคนที่อยู่ทางด้านหลัง
ที่แท้เรื่องเล่าของสกุลซินก็เป็นเรื่องจริง ผู้อาวุโสของกลุ่มเทียนหลงเคยเล่าว่าหากทำให้คนของสกุลซินตกอยู่ในที่นั่งลำบากจนยากจะรับมือ
เช่นนั้น…ไม่ว่าใครก็ต้องพบจุดจบแห่งความตาย
สีหน้าขาวซีด ดวงตาหม่นหมอง นางคิดไม่ถึงเลยว่าซินหลีจะยอมละทิ้งกายหยาบในฐานะมนุษย์ของตนเอง
“นี่มันอะไรกัน?”
แม้จะเคยผ่านความเป็นความตายมามากมาย ทว่าชิงหูกลับยังรู้สึกขยะแขยง สายตาคมกริบของหลินเมิ้งหยาจ้องชายตรงหน้าตาไม่กะพริบ นางจำเนื้อหาในคัมภีร์ของท่านอาจารย์ได้ ในนั้นเขียนถึงวิชาเหลียนกู่ซึ่งเป็นการสร้างพิษอันตรายขึ้นมา
แต่วิธีการสร้างนั้นค่อนข้างอันตรายและร้ายแรงมาก หาก….หากผู้สืบทอดของสกุลซินล้วนถูกเลี้ยงดูมาด้วยวิธีนั้นแล้วล่ะก็…
แต่เสี่ยวอวี้ไม่มีอาการเช่นนี้ หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่สกุลซินต้องการกำจัดเขา?
“ข้าจะกลับมาชำระแค้นในวันนี้อย่างแน่นอน”
เสียงแหบแห้งราวกับถูกบีบรัดคอเอาไว้ดังขึ้น เขาเมินเฉยต่อความเป็นความตายของลูกน้องตนเอง ขยับขากระโดดขึ้นสูงสองสามครั้ง ก่อนจะลับหายไปด้วยวิชาตัวเบา
“นี่มันอะไรกัน?”
ชิงหูขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น แม้เขาจะเคยพบเห็นคนแปลกประหลาดมามากมาย แต่เขาเพิ่งจะเคยเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“เขาคือกู่เหริน สภาพร่างกายแทบมิต่างอะไรจากเจ้า มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือเขาใช้กายเนื้อของตนเองเพื่อเลี้ยงดูแมลงกู่เหล่านั้น”
หลินเมิ้งหยามองทางที่ซินหลีหายตัวไป นี่เป็นครั้งแรกที่หัวใจของนางรู้สึกต่อต้านชายแห่งเมืองเลี่ยหยุนตี้คนนี้
ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่าคนในเมืองเลี่ยหยุนตี้ล้วนเติบโตมากับยาพิษ เหตุเพราะพิษของยาส่งผลให้คนเมืองนี้บ้าคลั่งกว่าคนทั่วไป
ที่ต้าจิ้นยังดี ส่วนเมืองอื่นบริเวณรอบๆ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมกับคนของเมืองเลี่ยหยุนตี้เท่าไหร่นัก
นางสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าสุดท้ายแม้แต่ปรมาจารย์ด้านยาพิษก็จะกลายเป็นบ้ากันไปหมด
“ชิงหู เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ชิงหูก้มหน้าสบตาสายตาจริงจังของหลินเมิ้งหยา เขารีบพยักหน้าทันที
“เจ้าถอดรองเท้าของเจ้าให้ข้าใส่หน่อยได้หรือไม่ เย็นจะตายอยู่แล้ว!”
คิ้วขมวดเข้าหากัน หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะรู้ว่าฉากสวยงามในทีวีล้วนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพ
ฤดูหนาวปกคลุม แต่กลับสวมใส่เพียงผ้าไหม อีกทั้งยังต้องเดินย่ำบนพื้นหิมะ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตายเลยแม้แต่น้อย
“โอ้…”
สงสัยเล็กน้อย ชิงหูคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะขอร้องเขาเช่นนี้ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกตัว มือหนาคู่หนึ่งเอื้อมเข้ามาอุ้มร่างของหลินเมิ้งหยาไปโดยไม่ลังเล
ชิงหูตกตะลึง มองดูแขนที่ว่างเปล่าของตนเอง ทั้งยังชะงักไปชั่วครู่
เงยหน้า ก่อนจะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของหลงเทียนอวี้ จู่ๆ หัวใจพลันปรากฏความรู้สึกสับสนขึ้นมา
ทั้งที่มาช้าเหลือเกิน แต่กลับยังมาชิงของของเขาไปอย่างหน้าไม่อายอีก
“ขออภัย ข้ามาช้าเกินไป”
ส่งสายตาเชิงขอโทษให้กับหญิงสาวในอ้อมกอด ก่อนจะขยับร่างบางของนางให้อยู่ภายในเสื้อคลุมตัวหนาของเขา
“เหตุใดจึงมีกลิ่นเลือดบนตัวของท่าน ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ?”
จมูกที่ว่องไวของหลินเมิ้งหยาพลันได้กลิ่นเลือดบนร่างกายของเขา ดวงตาเบิกกว้าง จ้องหลงเทียนอวี้เขม็ง
ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ย
“ไม่มีอะไร เป็นเลือดของคนอื่น ไปเถิด พวกเรากลับจวนกัน”
ใช้เสื้อคลุมตัวหนาของตนเองห่อร่างของหลินเมิ้งหยาเอาไว้เพื่อมิให้นางสัมผัสกับสายลมอันหนาวเหน็บ
หลงเทียนอวี้ไม่คิดจะเล่าให้หลินเมิ้งหยาฟังถึงเรื่องที่ตนเองพยายามปกป้องหลินจงอวี้อย่างสุดชีวิต ก่อนจะพาลูกน้องของตนล้อมศัตรูเอาไว้
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่นางต้องการความช่วยเหลือที่สุด เขากลับไม่ได้อยู่ข้างกายนาง
เขารู้ถึงความน่ากลัวของคนสกุลซินเป็นอย่างดี
หากมิใช่เพราะไหวพริบของนาง หากชิงหูมิได้อยู่ข้างกายนาง หาก…
มีสมมติฐานนับพันนับหมื่น ทว่าหากพลาดไปเพียงนิดเดียว นางคงจากเขาไปตลอดชีวิต
ออกแรงที่แขนมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวจนหลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บเล็กน้อย
“พระองค์รู้หรือไม่ว่าซินหลีเป็นกู่เหริน ตระกูลบ้าคลั่งนั่นไม่สนใจแม้แต่ความเป็นความตายเลยหรือ?”
หดตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาส่งเสียงบ่นพึมพำ
การสร้างกู่เหรินเป็นเรื่องซับซ้อนและน่าสังเวช
อันดับแรกจะต้องหาผู้หญิงที่กินยาเทวดามาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่นางตั้งครรภ์ พวกเขาจะต้องคิดหาวิธีให้หญิงสาวคนนั้นได้กินยาพิษเข้าไปทุกวัน
เท่านี้เด็กที่เกิดมาก็จะมีร่างกายที่มีทั้งยาพิษและยาวิเศษผสมผสานกันอย่างลงตัว
เมื่อเด็กน้อยอายุราวหนึ่งขวบ พวกเขาจะนำเด็กเหล่านั้นไปไว้ในหลุมแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยยาพิษและแมลงมีพิษ
หลังจากร่างกายที่แม้กระทั่งเส้นผมก็ถูกอาบย้อมไปด้วยยาพิษแล้ว พวกเขาจะขังเด็กไว้ในห้องแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีแมลงกู่และแมลงมีพิษอื่นๆ อยู่ภายใน
อันที่จริง มันคือการส่งเด็กไปสู้รบกับแมลง หากเด็กชนะ พวกเขาก็จะกลายเป็นกู่เหริน แต่ถ้าหากแมลงชนะ เช่นนั้นแมลงกู่ก็จะกลายเป็นพญากู่
หลินเมิ้งหยานึกภาพไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนคิดวิธีอันแสนบ้าคลั่งเช่นนี้ขึ้นมา
ท่านอาจารย์ยังเล่าอีกว่าคนที่ใช้วิธีนี้ได้จะต้องเป็นคนมีความชำนาญเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านอาจารย์ลงมือทำด้วยตัวเองก็ไม่อาจรับประกันผลสำเร็จได้
สกุลซินเป็นอย่างไรกันแน่?
“สกุลซิน….ล้วนเป็นพวกบ้าคลั่ง”
หลังจากได้ยินเสียงบ่นของหลินเมิ้งหยา จู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็เอ่ยปาก
“เมื่อสิบปีก่อน ท่านอาจารย์ของข้าได้รับคำเชิญจากสกุลซินเพื่อเดินทางไปยังบ้านแถบชนบทของสกุลซินแห่งเมืองเลี่ยหยุนตี้ แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับการดูแลต้อนรับแต่เพียงจวนชั้นนอกเท่านั้น ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่าคนของสกุลซินล้วนเป็นพวกบ้าคลั่ง จวนชั้นนอกงดงามดั่งสรวงสวรรค์ แต่จวนชั้นในกลับไม่ต่างอันใดจากคุก เจ้าตระกูลซินเอ่ยว่าคนสกุลซินที่ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดจากตำหนักหลังมาได้ล้วนเป็นฝันร้ายของโลกใบนี้ ฉะนั้นตำหนักหลังจึงอนุญาตให้เพียงผู้ชายเข้าออก ส่วนพวกผู้หญิงอยู่อาศัยได้เพียงจวนชั้นนอก เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อของซินหลีมีภรรยามากถึงสิบแปดคน ทว่าเขาเป็นลูกเพียงคนเดียวที่เติบโตขึ้นมา”
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองเย็นเฉียบ นางขยับตัวแนบชิดหลงเทียนอวี้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ภรรยามีมากถึงสิบแปดคน แต่ลูกกลับเหลือเพียงคนเดียว หลินเมิ้งหยาไม่กล้านึกถึงจุดจบของลูกคนอื่นๆ
“อย่าคิดมากเลย แม้เขาจะหนีออกจากเมืองหลวงไปได้ แต่ข้าสั่งให้คนไปจับตาดูเขาเอาไว้แล้ว ต่อให้เขากลับไปถึงเมืองเลี่ยหยุนตี้ แต่ข้าก็จะทำให้เขาต้องชดใช้กับสิ่งที่เขาทำลงไป”
น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้เย็นยะเยือก
ซินหลีบังอาจยิ่งนัก คิดหรือว่าเขาจะสามารถเข้าออกต้าจิ้นได้อย่างอิสระ?
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ตอนนี้นางเพียงอยากพักผ่อนให้สบายกายสบายใจ อาบน้ำอุ่นๆ เพื่อผ่อนคลายจากอาการเหนื่อยล้าและขับไล่ความหวาดผวาที่เกิดขึ้น
วันนี้นางได้เห็นวิชาแพทย์พิษอันแสนอันตราย
กว่าจะกลับถึงจวนอวี้ สีของท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นแล้ว
หลินเมิ้งหยาที่ไม่ได้ปิดตาหลับตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนขดตัวลงในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้แล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
เขาอุ้มร่างบางลงจากรถม้าแล้วเข้าไปในห้อง หลงเทียนอวี้ไม่ยอมมอบหน้าที่นี้ให้ใครอื่น เขาค่อยๆ วางร่างของนางลงบนเตียงท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนจะรับน้ำอุ่นมาจากป๋ายจีแล้วล้างเท้าสีขาวราวหิมะให้กับนาง
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าทำเอง”
แม้จะตกตะลึง แต่สุดท้ายแล้วพวกนางก็ออกไปนอกห้องแต่โดยดี ดังนั้นห้องอันแสนอบอุ่นแห่งนี้จึงเหลือเพียงแค่หลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยา
ความเงียบสงบเข้าครอบคลุม หลินเมิ้งหยายังคงหลับสนิท หลังจากหลงเทียนอวี้ช่วยล้างเท้าให้นางเสร็จแล้ว เขาใช้มือหนาของตนเองนวดขาเล็กๆ ที่เย็นเฉียบของนาง
เหตุใดเวลาหลับจึงมีท่าทางว่านอนสอนง่ายเช่นนี้กันนะ?
สายตาไล่มองตั้งแต่ขนตางอนยาว จมูกจุ๋มจิ๋มน่ารัก ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งลูกเชอรี่ ท่าทางไร้พิษภัยของนางในเวลานี้ทำให้คนมองรู้สึกใจอ่อนยวบยาบ
จู่ๆ เงาสีดำพลันปรากฏขึ้นในห้อง สายตาของหลงเทียนอวี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หันหน้ามองดูผู้มาเยือน
“เจ้ารับปากกับข้าแล้วว่าจะไม่ให้นางเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเจ้าลืมเรื่องนี้ไปแล้ว?”
เสียงทุ้มต่ำ ราวกับกำลังยับยั้งความโกรธเกรี้ยวในหัวใจ ดวงตาคมกริบดั่งนกอินทรีเพ่งตรงไปที่ฝ่ายตรงข้ามเขม็ง