ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 9 บทที่ 263 แขกสกุลหลิน
คนของที่บ้านมา? ในใจของหลินเมิ้งหยาพลันเกิดความรู้สึกลิงโลด
นางล้างมือก่อนจะตามคนรับใช้ไปยังห้องรับแขก
เพียงเดินผ่านประตูเข้ามาก็ได้พบกับร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ที่ห้องรับแขก
“ท่านพี่! ท่านมาได้อย่างไรกัน”
ปลื้มปีติที่ได้เห็นใบหน้าของพี่ชาย หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ท่านพ่อส่งมาจะเป็นพี่ชายของตนเอง
หลินหนานเซิงหันหน้ากลับมา ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนเหมือนในวัยเด็ก
“ข้ายังห่วงเจ้าก็เลยขอท่านพ่อมาที่นี่ด้วยตนเอง เป็นเช่นไรบ้าง? สบายดีหรือไม่?”
น้องสาวตรงหน้าสวมใส่อาภรณ์หรูหรา ท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขาม แต่หลินหนานเซิงกลับนึกเสียดาย เหตุเพราะน้องสาวของเขามิอาจใช้ชีวิตโดยอย่างไร้กังวลได้อีกต่อไปแล้ว
“สบายดีแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่กับท่านพ่ออย่าได้กังวลไปเลย จริงสิเจ้าคะ ท่านพี่กินข้าวหรือยัง? ป๋ายจื่อ รีบบอกให้โรงครัวเตรียมอาหาร”
หลินเมิ้งหยาพาหลินหนานเซิงไปที่ตำหนักหลิวซินของตนเอง
เพียงเดินผ่านประตูสวนเข้ามา หลินหนานเซิงได้เห็นดอกไม้นานาชนิด ส่ายหน้าเบาๆ ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง แต่ถ้าหากน้องสาวชอบเช่นนั้นมันก็คุ้มค่า
“น้องสาวของข้า ทุกอย่างในสวนของเจ้าล้วนดีไปหมด เพียงแต่หินเหล่านั้นกลับเป็นของปลอม เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าหาหินจริงมาตกแต่งดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาพูดไม่ออก ทั้งท่านพี่ ชิงหูและเสี่ยวอวี้ พวกเขาล้วนอยากมอบสิ่งของมีค่าให้กับนางทั้งสิ้น
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ จริงสิท่านพี่ ท่านพ่อส่งท่านมาด้วยเหตุอันใดหรือเจ้าคะ?”
พ่อบ้านเติ้งมีฝีมือในการจัดการงานค่อนข้างดี เขาจัดการทุกอย่างได้อย่างสบายๆ ไม่เหมือนนาง
ตอนนี้ตำหนักหลิวซินเหลือเพียงสาวใช้คนสนิทของนางที่คอยรับใช้ หาได้มีคนอื่นมารบกวน หลินเมิ้งหยาจึงผ่อนลมหายใจ นางกลัวเหลือเกินว่าท่านพี่จะได้เห็นภาพบรรยากาศอันแสนยุ่งวุ่นวายของตนเอง แล้วคิดว่าหลงเทียนอวี้ใช้งานนางเสมือนทาส
“ท่านพ่อเห็นด้วยและจะช่วยเจ้าให้ได้เข้าไปในวัง แต่ท่านพ่อมีเรื่องที่ต้องกำชับเจ้า แม้ในวังหลวงจะมีคนสนิทของท่านพ่อ แต่หากไม่ถึงเวลาอันสมควร คนเหล่านั้นจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นอันขาด ดังนั้นเจ้าจำต้องระมัดระวังตัวให้มาก”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า สมแล้วที่เป็นท่านพ่อ เกรงว่าเขาจะวางแผนทุกอย่างอย่างละเอียดรอบคอบหมดแล้ว
“อีกอย่าง ท่านอ๋องฉงซานและท่านอ๋องหลีซานเองก็จะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเจ้า หากมิใช่สถานการณ์คับขันจริงๆ ซึ่งข้อนี้เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี แม้พวกเขาจะเป็นสหายเก่าของท่านพ่อ แต่เรื่องในราชวงศ์ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นเขาต้องวางตัวและใช้อำนาจอย่างเหมาะสม เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
อันที่จริงตอนแรกหลินเมิ้งหยามิได้คิดถึงสิ่งใดมากมายนัก นางเพียงอยากเข้าไปในวังหลวงเพื่อดูพระอาการประชวรของฮ่องเต้เพียงเท่านั้น
แต่ดูเหมือนตอนนี้การดึงขนเพียงเส้นเดียวจะทำให้ร่างกายขยับไปหมดทั้งร่างแล้ว คาดว่าการเข้าวังของนางในครานี้จะทำให้ท่านพ่อและเหล่าขุนนางที่เป็นหมากสำคัญเหล่านั้นเริ่มดำเนินการตามแผน
“ข้าเข้าใจดีเจ้าค่ะ อันที่จริงข้าก็ได้เตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว ตอนนี้ฮองเฮายังมิกล้าทำอะไรข้าหรอก ท่านพ่อยังมีสิ่งใดกำชับมาอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
หลงเทียนอวี้เองก็มีสายลับอยู่ในวังหลวง แต่นางได้ยินมาว่าตำแหน่งของสายลับคนนี้ไม่อาจเข้าถึงฮ่องเต้ได้
ข้อมูลที่ได้รับมาก็เพียงแค่ฮ่องเต้ยังคงบรรทมไม่ฟื้น โดยไม่รู้ว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
“อันที่จริงสายลับของท่านพ่อเคยเล่าว่าทุกสามวัน ฮองเฮาและไท่จื่อมักจะเสด็จไปที่ตำหนักชิงกงของฮ่องเต้ แม้จะมิได้พาผู้อื่นเข้าไปด้วย แต่ทุกครั้งที่กลับออกมา สีหน้าของพวกเขามักจะเคร่งขรึมเสมอ ฉะนั้นพวกท่านพ่อจึงบังอาจคาดเดาว่าอันที่จริงฮ่องเต้มิได้มีพระอาการดั่งเช่นที่พวกเขาป่าวประกาศ พระองค์อาจจะมิได้ประชวรไม่ฟื้น”
ข่าวนี้ทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุกระรัว
แต่เพราะเหตุใดผู้ที่เปรียบเสมือนเจ้าผู้ครองชีวิตของคนทุกหมู่เหล่าจึงยอมตกอยู่ในการควบคุมของไท่จื่อและฮองเฮากันนะ?
หากฮ่องเต้มิได้ประชวรอย่างที่กล่าวอ้าง เช่นนั้นฮองเฮาและไท่จื่อเขียนพระราชโองการลวงออกมาอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนสถานการณ์ทางฝั่งฮ่องเต้จะซับซ้อนมากกว่าที่นางคิดไว้
ทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานป๋ายจื่อก็เตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย
หลงเทียนอวี้ออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าแล้ว ดังนั้นอาหารจึงมีค่อนข้างมาก
ป๋ายจื่อพาสาวใช้สองสามคนมาจัดสำรับ แม้อาหารจะหน้าตาธรรมดา แต่ถึงกระนั้นรสชาติกลับเลิศรส หลินหนานเซิงลอบสังเกตท่าทางเคารพเกรงใจน้องสาวตนเองจากคนรับใช้ในจวนอวี้
แม้พวกเขาจะมิได้ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบเหมือนกันหมดทุกคน แต่ถึงกระนั้นก็ทำงานได้อย่างดี น้อยมากที่จะเกิดข้อผิดพลาด ดูท่าว่าหลินเมิ้งหยาจะจัดการดูแลงานในจวนได้เป็นอย่างดี
“ท่านพี่ยิ้มอะไรหรือเจ้าคะ?”
หลินเมิ้งหยาจัดวางจานอาหารด้วยตนเอง แต่กลับเห็นมุมปากของหลินหนานเซิงยกขึ้น
“ข้ายิ้มเพราะกำลังคิดว่าเหตุใดเด็กโง่ของข้าจึงกลายเป็นนายหญิงที่ได้รับความเคารพจากคนทั้งจวนอวี้ได้กันนะ?”
ถลึงตาใส่พี่ชายตนเอง ขณะที่กำลังคิดจะเอื้อนเอ่ย ป๋ายจีกลับวิ่งเข้ามากระซิบข้างใบหูของนางด้วยใบหน้ากระวนกระวาย
“นางมาทำไม?”
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น หันไปมองสาวใช้ของตนเอง ป๋ายจีส่ายหน้า ก่อนจะหันหน้าไปทางหลินหนานเซิง
“พาข้าไป ท่านพี่รอที่นี่สักครู่ ข้าขอออกไปรับมือสักหน่อย อีกเดี๋ยวจะกลับมาเจ้าค่ะ”
หลังจากบอกกล่าวหลินหนานเซิงแล้ว หลินเมิ้งหยาก้มหน้ามองป๋ายจีและป๋ายจื่อเพื่อสั่งให้ออกไปพร้อมกับตนเอง
ด้านนอกประตู เหล่าคนรับใช้ต่างก้มตัวคุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทางเคารพนับถือ สายตาของหลินเมิ้งหยาทอดดูหญิงวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดของวังหลวง
“ลูกสะใภ้ถวายพระพรหมู่เฟย”
นานมากแล้วที่มิได้เจอกับพระสนมเต๋อเฟย ชุดชาววังสีม่วงขับให้นางดูมีสง่าราศีมากขึ้น
ทว่าสายตากลับเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่เหมือนกับคุณหนูผู้ถูกเลี้ยงดูมาจากตระกูลสูงศักดิ์
หลินเมิ้งหยารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ทว่านางพยายามเก็บอาการของตนเองให้มิดชิดที่สุด
“เปิ่นกงได้ยินมาว่าพี่ชายของเจ้า แม่ทัพหลินมาที่นี่ เปิ่นกงเห็นว่าพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเจ้าเป็นผู้น้อยคงมิกล้ามารบกวนเปิ่นกง เช่นนั้นเปิ่นกงจึงมาดูด้วยตนเอง เป็นอะไรไป? เปิ่นกงมิได้มารบกวนพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
สมองของหลินเมิ้งหยาร้องเตือน นับตั้งแต่วันที่อุปนิสัยใจคอของพระสนมเต๋อเฟยเปลี่ยนไป นางมิเคยหวังดีหรือปฏิบัติกับตนเองอย่างอ่อนโยนอีก
แต่ถึงกระนั้นนางก็มิอาจพูดอะไรได้ ทำได้เพียงระมัดระวังตัวเองเท่านั้น
“ลูกสะใภ้ไม่รู้ความเองเพคะ หม่อมฉันคิดว่าหมู่เฟยอาจจะกำลังพักผ่อน ดังนั้นจึงมิกล้าเข้าไปรบกวนและมิได้พาท่านพี่ไปถวายพระพรหมู่เฟยด้วยกัน”
อันที่จริงพระสนมเต๋อเฟยแทบจะไม่มีบทบาทสำคัญอันใดกับจวนอวี้อีกต่อไป
หลงเทียนอวี้เคยออกคำสั่งแล้วว่าไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องใดให้พระสนมเต๋อเฟยรับรู้ หากพระนางยื่นมือเข้ามายุ่ง เช่นนั้นเขาจะส่งพระสนมเต๋อเฟยไปยังบ้านแถบชนบท
แม้วิธีการปฏิบัติเช่นนี้จะแสดงออกถึงความไร้เยื่อใย ทว่าหลินเมิ้งหยารู้ดีที่สุด หลงเทียนอวี้ต้องการปกป้องพระสนมเต๋อเฟย
“ไม่จำเป็น เปิ่นกงรู้ว่าเจ้ากำลังยุ่ง ฉะนั้นจึงเดินทางมาด้วยตนเอง นำทางเถิด เปิ่นกงอยากเจอวีรบุรุษผู้นำชัยในสงคราม”
พระสนมเต๋อเฟยกล่าวอ้างโดยที่หลินเมิ้งหยามิอาจหาทางปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินนำพระสนมเต๋อเฟยเข้าไปด้วยกันในตำหนัก ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าป๋ายจื่อได้หายไปจากตรงนี้แล้ว
“กระหม่อมหลินหนานเซิงถวายพระพรพระสนมเต๋อเฟย”
พระสนมเต๋อเฟยนั่งลงบนตั่ง มองขึ้นๆ ลงๆ เพื่อสำรวจหลินหนานเซิง สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษ ใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ลูกไม้ช่างหล่นไม่ไกลต้น คุณชายหลินมีใบหน้าหล่อเหลามิต่างอันใดจากพ่อของเจ้าเลยแม้แต่น้อย เปิ่นกงเห็นแล้วรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก จริงสิ อาหารที่นี่ถูกปากหรือไม่? น้องสาวของเจ้ามัธยัสถ์จนเคยตัว หากมีสิ่งใดมิพึงพอใจก็สามารถบอกเปิ่นกงได้”
คำพูดของพระสนมเต๋อเฟยเหมือนกำลังชื่นชมหลินเมิ้งหยาเพื่อเอาชนะใจหลินหนานเซิง
แต่ในความเป็นจริง น้ำเสียงของนางแข็งทื่อไร้ความจริงใจ โชคดีที่ทั้งสองพี่น้องไม่ได้ตกหลุมพราง แม้ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยจะยังคงเปื้อนยิ้ม แต่ในความเป็นจริงนางกำลังโกรธแค้น
เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เปิ่นกงได้ยินมาว่าแม่ทัพหลินสูงศักดิ์ยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่ยังมิได้แต่งงาน เปิ่นกงเห็นว่าพวกเราล้วนเกี่ยวดองกันแล้ว เช่นนั้นเปิ่นกงเป็นธุระเรื่องนี้ให้ดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาและหลินหนานเซิงสบตากัน ไม่มีใครคาดคิดว่าพระสนมเต๋อเฟยจะเสนอเรื่องการแต่งงานของหลินหนานเซิงขึ้นมา
จู่ๆ ความโกรธเกรี้ยวพลันคุกรุ่นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา ความตายของพี่เยว่ถิงย่อมเกี่ยวข้องกับพระสนมเต๋อเฟยไม่มากก็น้อย เกรงว่าคนที่ไม่สมควรพูดเรื่องนี้ที่สุดควรจะเป็นพระสนมเต๋อเฟย
หลินหนานเซิงกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง ทว่าเรื่องการแต่งงานล้วนต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านพ่อ ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมเองมีว่าที่เจ้าสาวอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องขอบพระทัยในความเมตตาของเหนียงเหนียง”
พระสนมเต๋อเฟยที่ได้ยินกลับไม่โกรธ มุมปากเหยียดยิ้ม
“โอ้ เปิ่นกงจำได้แล้ว ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูสกุลเยว่สินะ น่าเสียดาย นางอายุสั้นเกินไป ฉินเอ๋อร์ออกมาพบท่านแม่ทัพหลินสิ ท่านแม่ทัพ นี่คือหลานสาวของข้านามว่าฉินเอ๋อร์ แม้นางจะไม่ว่านอนสอนง่ายเฉกเช่นเมิ้งหยา แต่นางก็มาจากสกุลของชนชั้นสูง ดังนั้นนางย่อมดีกว่าพวกผู้หญิงไร้ยางอายข้างนอกเหล่านั้นอย่างแน่นอน เปิ่นกงคิดว่าพวกเราทั้งสองตระกูลมาเกี่ยวดองกันดีหรือไม่?”
สีหน้าของสองพี่น้องสกุลหลินเปลี่ยนไป
เจียงหรูฉินซึ่งสวมใส่ชุดสีชมพูอ่อนเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ไอหยา! คุณชายหลินท่านนี้มิใช่ว่าที่คู่หมั้นของคุณหนูเยว่ที่เป็นข่าวฉาวทั่วเมืองกระนั้นหรือ? คิก คิก คิก น่าเสียดายเหลือเกิน นางไม่ชอบวีรบุรุษผู้หล่อเหลา แต่กลับไปหว่านเสน่ห์ใส่คนของซีฟาน สุดท้ายสร้างเรื่องขายหน้าแล้วทนแบกหน้าต่อไปไม่ไหวก็เลยฆ่าตัวตายล้างอายไปแล้ว”