ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 9 บทที่ 264 การปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุด
บรรยากาศภายในห้องเย็นเยียบลง สายตาของหลินเมิ้งหยาไม่เป็นมิตรอีกต่อไป เพราะเหตุนี้พระสนมเต๋อเฟยจึงรีบรุดพาเจียงหรูฉินมาที่นี่อย่างนั้นสินะ ที่แท้ก็มิใช่เพื่อพบกับพี่ชายของนาง
ขณะที่คิดจะตอบโต้ พี่ชายกลับยืนมือเข้ามาจับนางเอาไว้ หันไปสบตาพี่ชาย ร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครว่าร้ายพี่เยว่ถิงอย่างแน่นอน
แต่ที่เขาไม่ยอมระเบิดอารมณ์ออกมาก็เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างอึดอัดใจ
ส่งสายตาปลอบโยนพี่ชาย หลินเมิ้งหยาลุกขึ้น คิดว่านางที่มีความหยิ่งทะนงเป็นทุนเดิมจะยอมปล่อยให้เจียงหรูฉินต่อปากต่อคำอยู่ฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ?
“หากพูดถึงเรื่องความไร้ยางอาย ยังจะมีใครเกินเจ้าอีกหรือ? คุณหนูเจียง เตียงของฟู่จวินข้ายังปีนขึ้นไปง่ายอยู่หรือไม่?”
เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ใบหน้าของเจียงหรูฉินแข็งทื่อ
ก็นางด่าก่อนมิใช่หรือ? คิดหรือว่านางที่เคยปะทะฝีปากกับแม่ค้าปากตลาดมาแล้วจะกลัวคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนนี้?
ตอนนี้นางมิเกรงกลัวเลยที่จะฉีกหน้าของนางเป็นชิ้นๆ
“เจ้า…ท่านป้า นางไร้การอบรมสั่งสอน คนแบบนี้เหมาะสมกับตำแหน่งชายาอวี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เจียงหรูฉินมิอาจทำใจได้ วิ่งเข้าไปเขย่าแขนพระสนมเต๋อเฟยราวกับเด็กไม่รู้จักโต
“ข้าเหมาะสมหรือไม่หาใช่กงการอะไรของเจ้า เจียงหรูฉิน ข้ายังมิเคยเห็นผู้ใดไร้ยางอายเช่นเจ้ามาก่อน จริงสิ ข้าได้ยินว่าเจ้าหมั้นแล้วมิใช่หรือ? หรือเจ้าอยากให้ข้าไปพูดกับสกุลของว่าที่คู่หมั้นเจ้าหน่อยหรือไม่ ว่าแต่ก่อนเจ้าเคยทำเรื่องไร้ยางอายเช่นใดกับพระสวามีของข้าบ้าง?”
หลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งความกลัว คำพูดหยาบคายหลุดจากปากของนางจนอีกฝ่ายตัวแข็งทื่อ
เจียงหรูฉินเงียบกริบ ตอนแรกนางเพียงแต่ตามพระสนมเต๋อเฟยมาเพื่อยั่วยุหลินเมิ้งหยา แต่นางลืมไปว่าหากเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับหลงเทียนอวี้ถึงหูของสกุลคู่หมั้นแล้วล่ะก็ คราวนี้นางจบเห่แน่
นางตัดใจจากหลงเทียนอวี้ไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจทำใจให้หลงเทียนอวี้ไปเสวยสุขกับผู้หญิงคนนี้ได้
พระสนมเต๋อเฟยเงียบอยู่นาน สีหน้าเคร่งขรึม
ดวงตาคู่สวยจับจ้องหลินเมิ้งหยาก่อนจะเอ่ย
“ดูเถิดว่าสกุลหลินอบรมสั่งสอนลูกหลานมาเช่นไร ทั้งที่เปิ่นกงยืนอยู่ที่นี่ แต่น้องสาวของเจ้ากลับเริ่มแสดงความยโสออกมา เกรงว่าเปิ่นกงคงมิอาจรับได้กับลูกสะใภ้เช่นนี้ คุณชายหลินคิดเห็นเช่นไร?”
หลังจากสนทนาอยู่นานสองนาน ในที่สุดพระสนมเต๋อเฟยก็พูดถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการมาที่นี่
พระสนมเต๋อเฟยจะทำใจยินยอมปล่อยให้อำนาจของจวนอวี้อยู่ในมือของหลินเมิ้งหยาได้เช่นไร
ดังนั้นนางจึงสร้างเรื่องเหล่านี้ขึ้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อยืมมือคนสกุลหลินให้จัดการหลินเมิ้งหยา
สกุลหลินมีกฎระเบียบที่เข้มงวด พวกเขาไม่มีทางยอมปล่อยให้กฎเหล่านั้นถูกทำลายเพียงเพราะลูกสาวคนเดียว
สีหน้าของหลินหนานเซิงยิ่งไม่น่ามอง หันไปมองน้องสาว ก่อนจะหันไปมองพระสนมเต๋อเฟยอีกครั้งด้วยท่าทางลำบากใจ
“พูดอะไรบ้างสิท่านแม่ทัพ เป็นใบ้หรืออย่างไร? พวกเจ้าสกุลหลินล้วนมีวาทศิลป์ในการพูดมิใช่หรือ?”
เจียงหรูฉินกลับมามีท่าทีหยิ่งผยองอีกครั้ง ริมฝีปากเหยียดยิ้มยั่วยุ
ทว่าหลินหนานเซิงกลับลุกขึ้นยืน ดวงตาเผยให้เห็นความเย็นชา
“กระหม่อมคิดมาเสมอว่าพระสนมเต๋อเฟยเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แต่วันนี้พอได้เจอกับพระองค์แล้ว กระหม่อมคงต้องเปลี่ยนความคิด เหตุใดตอนที่มาขอลูกสาวสกุลหลินไปเป็นลูกสะใภ้จึงมิเอ่ยเช่นนี้หรือ? ได้โปรดอภัยให้กับความไร้มารยาทของกระหม่อมด้วย แต่เมื่อครู่กระหม่อมได้เห็นเพียงแค่กิริยาส่อเสียดบีบบังคับทำให้ผู้อื่นลำบากใจ วาจาหยาบคายเสียยิ่งกว่าแม่ค้าปากตลาด หากไม่พึงใจในตัวน้องสาวของกระหม่อม เช่นนั้นพระองค์สามารถยื่นฎีกาเพื่อขอให้อ๋องอวี้แยกทางกับน้องสาวของกระหม่อมได้ แม้พระสนมเต๋อเฟยจะเป็นโฮ่วเฟย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ขุนนางชั้นสูงในราชสำนักต้องอับอาย เกรงว่าการกระทำในคราวนี้จะมิใช่เพียงกำลังดูหมิ่นขุนนางชั้นสูง แต่ยังดูหมิ่นพระราชโองการของฮ่องเต้ด้วย! แน่นอนว่าลูกสาวสกุลหลินของกระหม่อมมิเคยได้รับการสั่งสอนเช่นนี้ วันนี้กระหม่อมจะพาน้องสาวกลับจวน พรุ่งนี้กระหม่อมจะยื่นฎีกาขอพระราชทานอนุญาตหย่าร้างระหว่างน้องสาวและอ๋องอวี้! ยิ่งไปกว่านั้น กระหม่อมจะขอประกาศโทษคุณหนูเจียงไปด้วยกันเสียทีเดียว! เมิ้งหยา กลับบ้านกับพี่”
ไม่มีใครคาดคิดว่าวีรบุรุษในศึกสงครามอย่างหลินหนานเซิงจะประกาศกร้าวปกป้องน้องสาวของตน
แม้อยู่ต่อหน้าพระสนมของฮ่องเต้ก็ไม่คิดละเว้น
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม เกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยจะเดินหมากพลาดเสียแล้ว
นับตั้งแต่วันที่สกุลหลินก่อร่างสร้างบ้านเมืองนี้ขึ้นมา พวกเขาได้รับชื่อเสียงในการปกป้องที่แข็งแกร่ง ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษสกุลหลินเคยเกือบถูกฮ่องเต้ประหารเพราะเขาปกป้องพี่น้องของตนเอง
ดังนั้นแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่คิดยุ่มย่ามกับสกุลหลิน ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกของการปกป้องพวกพ้องที่แข็งแกร่งย่อมถูกส่งต่อมาทางสายเลือด
เหตุการณ์ในอดีตทำให้ฮ่องเต้ได้รู้ว่าขอเพียงพวกเขาไม่แตะต้องคนของสกุลหลิน เช่นนั้นพวกเขาจะปกป้องประเทศด้วยความซื่อสัตย์ยิ่งชีพ สกุลหลินมีการปกป้องพวกพ้องที่แข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด บางครั้งโทษของความผิดพลาดยังร้ายแรงกว่ากฎหมายของบ้านเมือง
ดังนั้นที่ผ่านมาฮ่องเต้จึงเหมือนหลับตาลงข้างหนึ่งเสมอ
มีเพียงฮองเฮาและไท่จื่อเท่านั้นที่อยู่อย่างสุขสบายมานานมากจนเกินไป ดังนั้นจึงคิดจะเข้ามาทำให้คนของสกุลหลินต้องขุ่นเคือง
“ดี! เปิ่นกงได้เห็นการอบรมสั่งสอนของสกุลหลินมามากเพียงพอแล้ว! สักวันหนึ่งเปิ่นกงจะไปเยี่ยมท่านแม่ทัพใหญ่หลินถึงจวน อยากจะรู้เหลือเกินว่าเขาสั่งสอนลูกชายลูกสาวของตัวเองเช่นไร”
ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยบิดเบี้ยวจนแทบจะไหลลงมากองรวมกัน
แต่ใครบอกให้นางมาหาเรื่องคนสกุลหลินกันเล่า?
“น้อมส่งเหนียงเหนียง”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรมากมาย เสียงส่งเสด็จทำให้พระสนมเต๋อเฟยแทบคลั่ง
จ้องเขม็งก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ออกจากตำหนักหลิวซิน จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็หลุดขำพรืดออกมา
“ท่านพี่ พวกเราทำเหมือนครั้นยังเป็นเด็กเถิด นึกเสียว่าพวกนางเป็นเพียงคนที่เข้ามากลั่นแกล้งข้าแล้วท่านต่อยตีพวกนางกลับไปก็เท่านั้น”
สมัยเด็ก แม้หลินเมิ้งหยาจะมีใบหน้าน่ารัก แต่เพราะสติปัญญาที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ดังนั้นนางจึงถูกรังแกบ่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้นางยังจำใบหน้าบวมเป่งของพวกที่มากลั่นแกล้งนางได้ ท่านพี่ต่อยตีพวกเขาจนหนีหายกลับไป
“เจ้าเด็กบ้า!” หลินหนานเซิงดีดหน้าผากหลินเมิ้งหยาเบาๆ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู “นี่เจ้ากำลังว่าพี่อย่างนั้นหรือ? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะอยู่รับโทษที่นี่? ให้ข้ากลับไปคุยกับท่านพ่อเพื่อรับตัวเจ้ากลับไปดีหรือไม่? ข้าว่าพระสนมเต๋อเฟยหาใช่คนดีแต่อย่างใด เจ้าจะรับมือไหวหรือ?”
หลินหนานเซิงส่งสายตาเป็นกังวล แม้พระสนมเต๋อเฟยจะไม่น่าคบหา แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของหลงเทียนอวี้ ความขัดแย้งระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ หลงเทียนอวี้จะปกป้องหลินเมิ้งหยากระนั้นหรือ?
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหยักยิ้มอย่างไม่แยแส สายตาเจ้าเล่ห์
“ท่านคิดผิดไปแล้ว หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ฝ่ายข้า ท่านพี่โปรดวางใจ นับตั้งแต่วันที่ข้าแต่งงานเข้าจวนอวี้มา คนที่คิดทำร้ายข้าล้วนถูกต่อกรจนถอดใจหมดแล้ว”
เขาพูดไม่ออก มองดูสายตาเฉยชาของน้องสาว สุดท้ายจึงส่ายหน้าเบาๆ
ช่างเถิด ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป แต่ตอนนี้หลินเมิ้งหยาก็กลายเป็นชายาอวี้ไปแล้ว แม้เขาอยากจะปกป้องนาง แต่มันก็มิใช่เรื่องง่ายเหมือนก่อนอีกต่อไป
“เจ้าน่ะ…อย่าทำอะไรจนเกินตัว อย่าทำให้ตนเองต้องลำบากรู้หรือไม่?”
ในเมื่อมิอาจพูดสิ่งใดได้ เขาจึงทำได้เพียงกำชับนางเท่านั้น หลินเมิ้งหยาพยักหน้า เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหนานเซิง นางทำได้เพียงแสร้งเฉยชาว่าไม่รู้สึกอะไร
มองตามพี่ชายที่กำลังกลับไป หลินเมิ้งหยานั่งลงบนตั่งในห้องของตนเอง สายตาทอดยาว ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น โคมไฟสีแดงถูกจุดจนสว่างไสวสายลมพัดเอื่อยเฉื่อยกระทบร่างจนหนาวเหน็บ
ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีแดงสดปรากฏตัวราวกับโบยบินลงมาจากฟากฟ้า เส้นผมพลิ้วไหว ใบหน้าหล่อเหลา เขาตั้งใจแต่งเติมใบหน้าให้ขาวนวล เขียนคิ้วสีดำคมเข้ม
หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเข้าหากัน ทั้งที่เขาหายไปเพียงไม่นาน แต่ลำตัวกลับส่งกลิ่นหอมฉุนจนนางอยากไอ หมุนตัว ก่อนจะพินิจพิจารณาชายตรงหน้า
“เจ้าเด็กน้อย เหยียสวยหรือไม่? สมัยอยู่ที่เจียงหู เหยียหาได้มีเวลาเสพสุขเช่นนี้”
หลงตัวเองเสียจนอยากอาเจียน นอกจากชิงหูแล้วจะเป็นใครไปได้?
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่การแต่งหน้าและแต่งกายของชิงหูในเวลานี้กลับดูงดงามชวนมอง ท่วงท่าของเขามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างยิ่ง
ทว่าสายตาของเขากลับเจ้าเล่ห์เสียจนหลินเมิ้งหยารู้สึกสั่นสะท้าน
“เอาล่ะ เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นชายหนุ่มชนชั้นสูง หาใช่คณิกาชายไม่”
หยักยิ้มที่มุมปาก ชิงหูส่ายหน้าอย่างเสียดาย
เจ้าเด็กน้อยของเขาไม่รู้จักการชมเชยผู้อื่นเอาเสียเลย ทั้งที่เมื่อครู่เขาบินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามจนคนมองน่าจะหัวใจละลายแท้ๆ แต่การแสร้งทำท่าทางสุขุมเช่นนั้นช่างเหนื่อยเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงกลับมาส่งยิ้มขี้เล่นดังเดิม ก่อนจะเข้าไปใกล้หลินเมิ้งหยาราวกับต้องการของรางวัล
“เจ้าทำเรื่องที่ข้าขอให้แล้วหรือ?”
ชิงหูไม่เคยปฏิเสธคำขอของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงรีบพยักหน้าก่อนจะแย้มยิ้มเหมือนแมวขี้อ้อน
“เจ้าวางใจเถิด ข้ารับรองว่าทันทีที่ฟ้าสาง คนทั้งเมืองจะต้องรู้เรื่องนี้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็แค่แสดงละครเป็นพอ”
แม้ว่าหลินเมิ้งหยาจะยังสงสัยอยู่เล็กน้อยในการทำงานของชิงหู แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนเชื่อถือได้
เหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพยักหน้า
“เข้ามา เตรียมเมล็ดทานตะวัน ถั่ว กับแกล้มและชามะลิให้ข้า พรุ่งนี้คนของตำหนักหลิวซินจงหยุดพักผ่อนหนึ่งวัน ข้าอารมณ์ดีมากเหลือเกิน ทุกคนจงรับรางวัลไปคนละสองตำลึง”
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้น
ทว่าคนทั้งตำหนักหลิวซินล้วนสงสัย เหตุใดนายหญิงจึงอารมณ์ดีถึงเพียงนี้?