คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 100 ลักเล็กขโมยน้อย
“สหายเซียนเฉียนเล่า? เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเข้าไปช่วยเหลือ ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว” จินเฟยเหยาเหล่มองเขาและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
เขาเอ่ยอย่างถูกต้องชอบธรรมโดยไม่หวั่นเกรง “สู้จนเป็นแบบนี้ ถึงสังหารผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ก็ไม่มีโอกาสค้นกระเป๋าเก็บของ ไปก็ไม่ได้ศิลาวิญญาณ”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าสหายเซียนเฉียนจะเป็นคนชั่วช้า ที่นี่สับสนวุ่นวายเกินไป ข้าจะกลับไปในทางเดินศิลาใหม่ค้นหาผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว ทำความดีให้โลกหนานซานสักหน่อย” จินเฟยเหยาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มอย่างแปลกประหลาด เดินนำพั่งจื่อเข้าไปในทางเดินศิลา
“สหายเซียนจิน รอข้าด้วย ข้าจะไปกับเจ้า” ดูเหมือนสกัดคนในทางเดินศิลาจะดีกว่า ผู้แซ่จินหัวไวดีแท้ เฉียนซูเกิดโพธิปัญญาทันที รีบไล่ตามจินเฟยเหยาที่เพิ่งย่างเท้าเข้าไปในทางเดินศิลา ผู้ใดจะรู้ หลังจากเขาก้าวเข้าไปในทางเดินศิลา กลับพบว่าด้านในไม่มีใครสักคน “หรือว่าไม่อยากไปกับข้า ดังนั้นจึงใช้เวทมนตร์หนีไปไกลแล้ว?” เฉียนซูสงสัยยิ่ง หนีได้เร็วเกินไปแล้ว เขาลังเลนิดหนึ่งก็วิ่งตามไป คิดจะไล่ตามจินเฟยเหยาให้ทัน
รอจนเฉียนซูวิ่งไปจนไม่เห็นเงา ตรงปากทางเดินศิลาก็มีเสียงจินเฟยเหยาดังมา “เจ้างั่ง วงเวทส่งตัวอยู่ตรงนั้น ใครจะวิ่งกลับไป พั่งจื่อ จำคำพูดของข้าไว้ แค่แย่งชิงของแต่ไม่ต่อสู้”
“อ๊บ” พั่งจื่อที่ใช้ยันต์ซ่อนกายเช่นเดียวกันตอบรับ
“ไปเถอะ” ช่องว่างระหว่างแท่นราบไปยังวงเวทส่งตัวบนศิลาลอยได้กว้างอยู่บ้าง ถ้าหยิบพรมบินได้ออกมาตอนนี้ต้องดึงดูดสายตาคนแน่ จินเฟยเหยาจึงยกพั่งจื่อ ใช้เวทลอยกลางอากาศบวกกับเวทเหยียบอากาศกระโดดไปถึงศิลาลอยได้ นางหาสถานที่ซึ่งไม่มีคนต่อสู้วางพั่งจื่อลง ถ่ายทอดเสียงสั่งการหลายประโยค ให้มันไปหาของดีๆ เอง
ส่วนนางก็แอบไปคลำๆ ขอบเวทส่งตัวดู นางไม่กล้าวิ่งเข้าไปง่ายๆ ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากบนศิลาลอยได้ก็ไม่เห็นมีใครกระโดดเข้าไปในวงเวทส่งตัว ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ ส่วนวงเวทเล็กๆ หลายอันก็ไม่มีคนคอยเฝ้า มีแสงประหลาดแต่ละสายลอยเข้าไปในวงเวทส่งตัวตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
ความรอบรู้จำกัด จินเฟยเหยามองวงเวทเหล่านั้นแล้วรู้สึกมึนงง สิ่งที่ต้องเรียนรู้มีมากมายเกินไป อย่างไรเสียก็ดูไม่เข้าใจ นางจึงไม่สนใจวงเวทส่งตัว ขอเพียงคนเหล่านี้ต่อสู้เสร็จสิ้น ต้องมีคนไปทดลองวงเวทส่งตัวแน่
ในขณะที่นางเตรียมตัวจากไปก็เห็นสหายเซียนเหอที่แขนขาดข้างหนึ่งถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่โจมตีโดน ลอยออกจากแท่นราบร่วงลงไปยังน้ำตกด้านล่าง เห็นสหายเซียนเหอพยายามร้องตะโกนกลางอากาศ นางถูกโจมตีจนอาวุธเวทแก่นชีวิตลอยไป ผ้าไหมเส้นหนึ่งลอยมาคิดจะรับนางไว้ ไม่รู้ว่าพลังวิญญาณสูญเสียการควบคุมหรือการรับรู้เสียหาย ผ้าไหมเส้นนั้นไม่ได้รับสหายเซียนเหอไว้ ทว่ากลับโจมตีนางอย่างหนักหน่วง
สหายเซียนเหอกรีดร้องลั่นแล้วลอยออกไป โชคดีที่ทิศทางคือเกาะลอยได้ด้านนี้ จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองสหายเซียนเหอที่บินผ่านเหนือศีรษะไป เห็นนางเอาหัวปักเข้าไปในม่านแสงของวงเวทส่งตัว
“แย่แล้ว” จินเฟยเหยาสีหน้าเปลี่ยนแปลง รีบนำร่มดอกไม้ออกมาอย่างรวดเร็ว กางออกกั้นไว้ด้านหน้าร่างทันที
เสียงดังพรึ่บ ร่มดอกไม้ถูกโลหิตสาดกระเซ็นในพริบตา ทั้งยังมีสิ่งที่เหมือนเศษกระดูกและเศษเนื้อร่วงลงมาด้วย โชคดีที่จินเฟยเหยาเคลื่อนไหวได้เร็วพอ ไม่เช่นนั้นคงต้องถูกโลหิตของสหายเซียนเหอกระเซ็นเต็มหน้า
ขยับร่มดอกไม้ออก จินเฟยเหยาเอียงคอมองม่านแสงของวงเวทส่งตัว ในใจยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย โชคดีที่ตนเองไม่เดินเข้าไปง่ายๆ นี่มิใช่วงเวทส่งตัว ทว่าเป็นวงเวทบดเนื้อ สหายเซียนเหอลอยเข้าไปในม่านแสง พริบตาก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เศษเนื้อแต่ละชิ้นมีขนาดไม่ใหญ่กว่าเล็บเท่าใด คมกริบจริงๆ
สลัดเศษซากบนร่มดอกไม้ทิ้ง นางถ่ายเทพลังวิญญาณลงในร่มดอกไม้ คราบเลือดสกปรกบนนั้นก็ถูกจัดการจนสะอาด ร่มดอกไม้กลับคืนสู่ลักษณะเดิม จินเฟยเหยาเก็บร่มดอกไม้ หาแท่นราบที่มีคนไม่มากนัก เตรียมตัวปฏิบัติการ
บนแท่นราบนั้นต่อสู้กันใกล้จะสิ้นสุดแล้ว บนพื้นมีซากศพสามซาก ยังมีอีกสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด จินเฟยเหยาแอบบินไปร่อนลงบนแท่นราบเบาๆ ก้มศีรษะค้อมเอวค้นหาข้างศพ ค้นของวิเศษกับอาวุธเวทที่ร่วงพื้นและกระเป๋าเก็บของทั้งหมดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็บินไปอีกแห่งหนึ่ง ค้นหาสิ่งของอื่นๆ
นางระมัดระวังอย่างยิ่ง รื้อค้นอย่างเบามือ ไม่ถูกคนพบเห็นมาตลอด
“พั่งจื่อ เจ้าทำเป็นอย่างไรบ้าง หาสิ่งของได้เท่าใดแล้ว? จริงสิ ข้าลืมไปว่าเจ้าถ่ายทอดเสียงไม่ได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ระวังตนเองหน่อย อย่าบังเอิญได้รับบาดเจ็บเข้าล่ะ ตอนนี้ข้าก็อยู่บนแท่นราบ ข้ายกบนศิลาลอยได้ทั้งหมดให้เจ้า” จินเฟยเหยาหลบอยู่ตรงมุมแห่งหนึ่ง แอบถ่ายทอดเสียงถึงพั่งจื่อ เนื่องจากใช้ยันต์ซ่อนกาย นางเองก็ไม่รู้ว่าพั่งจื่ออยู่ที่ใด รู้เพียงแต่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ห่างจากนางไม่ไกลนัก หลังมีเสียงร้องอนาถดังขึ้น การต่อสู้แบบใช้สองคนล้อมโจมตีคนเดียวก็สิ้นสุดลง ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานสองคนถอนหายใจยาว รีบเก็บกวาดสินสงคราม คนของโลกเซียวไท่ยังมีอีกมาก เก็บของแล้วยังต้องสู้ต่อ คนทั้งสองแบ่งสรรสิ่งของของคนที่ถูกฆ่าเมื่อครู่แบบสุ่ม แล้วเดินไปยังคนที่กำจัดทิ้งก่อนหน้านี้ ส่วนจินเฟยเหยากำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนี้ เห็นคนทั้งสองเดินมา นางรีบลุกขึ้นแอบเดินหนีไปไกลๆ
“เอ๋? บนตัวของคนผู้นี้ไม่มีกระเป๋าเก็บของ อาวุธเวทที่ร่วงลงมาเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร พวกเราสองคนไม่เห็นมีคนขึ้นมาเลย”
“อย่ามองข้า ข้าอยู่กับเจ้าตลอด ยุ่งมาก เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเอาไป”
“เมื่อครู่เจ้าหาโอกาสวิ่งมาทางด้านนี้หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งยังพุ่งขึ้นมาด้านบน”
“เจ้าตาบอดหรือ นั่นเรียกว่าข้าพุ่งขึ้นมา? ข้าถูกเตะจนกลิ้งมาต่างหาก อย่างไรข้าก็ไม่ได้เอาไป เจ้าคาดเดาอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ เสียทีที่ข้าช่วยเจ้าต้านทานการโจมตีครั้งหนึ่ง”
“เป็นไร อยากให้ข้าชดใช้เจ้าหรือไม่? ว่ามา การโจมตีหนึ่งครั้งกี่ศิลาวิญญาณ ข้าจะจ่ายให้เจ้าไม่ได้หรือ”
“มีศิลาวิญญาณแล้วยอดเยี่ยมนักหรือ ดูเจ้าสิ ศิลาวิญญาณของเจ้าล้วนได้มาโดยมิชอบ”
“เจ้ารนหาที่ตาย”
“ข้ารนหาที่ตายแล้วอย่างไร มีความกล้าเจ้าก็เลียนเยี่ยงคนของโลกเซียวไท่ มาฟันข้าเลย”
“เจ้าอย่านึกว่าข้าไม่กล้านะ”
ได้ยินคนทั้งสองโต้เถียงกัน จินเฟยเหยาก็แลบลิ้นแล้วรีบหลบหนีไป
นางเล็งแท่นราบแห่งหนึ่งที่ยังไม่เคยไป เพิ่งเหินร่างไปยืนได้มั่นคง ก็ได้ยินพั่งจื่อร้องลั่นดังมาจากศิลาลอยได้ และยังมีเสียงคำรามอย่างมีโทสะของผู้บำเพ็ญเซียน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จินเฟยเหยามองไปบนศิลาลอยได้ ยันต์ซ่อนกายของพั่งจื่อหมดฤทธิ์แล้ว มันกำลังถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่เดือดดาลสองคนไล่ล่า กุมศีรษะวิ่งหนีไปทั่ว
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ ยันต์ซ่อนกายหมดฤทธิ์ได้อย่างไร ทว่าพั่งจื่อกำลังตกอยู่ในอันตราย นางไม่ทันได้คิดมากความ ก็รีบบินไปหามัน พั่งจื่อเพิ่งเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสอง ถึงจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์ภูติขั้นเดียวกัน ทว่าต้องรับมือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ทั้งยังมีถึงสองคน ไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น โชคดีที่มันหน้าหนา เนื้อหนังบนตัวก็แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าจินเฟยเหยาเท่าใด พวกดาบและกระบี่ที่ปักลงบนร่างมันก็เด้งออกไปดังเพี๊ยะพะ แม้แต่ของวิเศษป้องกันที่แขวนไว้บนเอวก็ไม่ต้องใช้
แม้แต่กระต่ายก็ยังมีโทสะสามส่วน[1] พั่งจื่อที่เย่อหยิ่งและภาคภูมิมาตลอดมีโทสะแล้ว ก็แค่หยิบกระเป๋าเก็บของบนพื้นไม่กี่ใบ ข้าไม่ได้แย่งกระเป๋าเก็บของบนเอวเจ้าเสียหน่อย จำเป็นต้องไล่ล่าอย่างดุร้าย หากไม่ฟันให้ตายก็ไม่เลิกราหรือ?
มันพลันหยุดลง หมุนตัวมามองผู้บำเพ็ญเซียนสองคนนั้น จากนั้นก็ใช้พลังปิศาจ บนผิวหนังอันเรียบลื่นของพั่งจื่อเริ่มมีสีขาวน้ำนมซึมออกมา กลิ่นหอมหวานลอยกำจาย
“คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะมีน้ำพิษ แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้” จินเฟยเหยาที่เพิ่งกระโดดมาถึงบนศิลาลอยได้ตกตะลึงนิดๆ
ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองคนหยุดไล่ตาม พิษที่เป็นของเหลวกลิ่นหวานหอมล้วนมีพิษร้ายแรง แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานไม่อาจล่าถอยเพราะน้ำพิษเล็กๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเจ้านี่เป็นแค่สัตว์ภูติขั้นสอง หากแพร่ออกไปมิขายหน้าแย่หรือ ที่สำคัญที่สุดคือบนร่างสัตว์ภูติตัวนี้แขวนของวิเศษป้องกันไว้ห้าชิ้น ถ้าไม่เอาไปก็เสียเปล่า
พั่งจื่อขับของเหลวสีขาวออกมา ไหลลงถึงพื้นเริ่มเกิดควันสีขาว ทั้งยังส่งเสียงชี่ๆ มีคุณสมบัติกัดกร่อนอย่างรุนแรง ผู้บำเพ็ญเซียนที่คิดจะขว้างของวิเศษโจมตีพั่งจื่อลังเล ถ้าเปื้อนพิษก็ต้องหล่อเลี้ยงไว้ในการรับรู้เป็นเวลานาน
ในยามนี้เอง ขาหน้าของพั่งจื่อก็กอบของเหลวสีขาวบนพื้น ใช้ขาหน้าสองข้างบีบๆ นวดๆ ฟองน้ำพิษสีขาวก็ถูกมันบีบออกมา จากนั้นมันก็ขว้างฟองน้ำพิษใส่ผู้บำเพ็ญเซียนสองคน ทั้งสองคนหลบหลีกอย่างลนลาน ฟองน้ำพิษกระแทกพื้นกัดกร่อนเป็นหลุมทันที น้ำพิษที่ลอยกระเซ็น สัมผัสถูกสิ่งใดก็กัดกร่อนสิ่งนั้น
เห็นการโจมตีของฟองน้ำพิษได้ผล พั่งจื่อก็คว้าน้ำพิษขึ้นบีบเป็นฟองแล้วขว้างออกไปอย่างตื่นเต้น ต่อมาก็หมุนตัวให้น้ำพิษสาดกระจายออกไปโดยตรง อีกฝ่ายทดลองปล่อยอาวุธเวทออกมา ก็ถูกน้ำพิษเหล่านั้นกัดกร่อนจนใช้การไม่ได้ เห็นอาวุธเวทไม่ได้ผลกับตนเอง พั่งจื่อกระโดดขึ้นพาร่างที่เต็มไปด้วยน้ำพิษวิ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสอง คิดจะไล่ล่าคนทั้งสองแทน
“เจ้าโง่นี่ ไม่หนีแล้วยังพุ่งเข้าใส่ทำไม” จินเฟยเหยาร้อนใจ รีบสาวเท้าพุ่งเข้าไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานก็มิใช่ชนชั้นกินเจ[2] พลังวิญญาณทะลัก พ่นเปลวเพลิงขนาดยักษ์ออกมา กลายเป็นสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่ง คำรามสนั่นพุ่งเข้าใส่พั่งจื่อ ไฟเป็นดาวข่มของพิษ พั่งจื่อสำนึกเสียใจในพริบตา จะเลือดร้อนไปทำไม เลียนแบบจินเฟยเหยาที่เจอคนแข็งแกร่งก็วิ่งหนีเจอคนอ่อนแอก็ลุยเข้าใส่ดีกว่า ตอนนี้ตนเองพุ่งเข้าใส่เปลวเพลิง คิดจะหยุดก็หยุดไม่ได้
“หลบไป” ในขณะที่สัตว์เปลวเพลิงพุ่งมาถึงเบื้องหน้าพั่งจื่อ พั่งจื่อพลันถูกคนเตะจากด้านข้าง ลอยออกไปกระแทกพื้นอย่างแรง จากนั้นไฟนรกพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า ปะทะกับสัตว์เปลวเพลิงเข้าพอดี เปลวเพลิงพุ่งทะยานสู่ฟ้า เปลวเพลิงสองขุมต่างกลืนกินกันและสะกดควบคุมกัน อานุภาพของไฟนรกมิใช่สิ่งที่เพลิงแท้ขั้นสร้างฐานจะเปรียบได้ หลังจากที่ปะทะกันหลายครั้ง ไฟนรกเป็นฝ่ายได้เปรียบ กลืนกินเพลิงแท้จนหมดสิ้น ฉวยโอกาสทำให้ร่วงจากฟ้า ทะเลเพลิงสีฟ้าพุ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสอง พริบตาก็ท่วมจนไม่เห็นพวกเขาสองคน
จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าสองคนนี้จะเป็นคนของโลกหนานซานหรือคนของโลกเซียวไท่ พลังวิญญาณแฝงด้วยไฟนรกทำลายสองคนนี้อย่างสุดกำลัง แม้แต่กระเป๋าเก็บของที่นางชอบที่สุดก็ไม่เหลือไว้
การต่อสู้ฉากนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็จบลง บนพื้นหลังจากทะเลไฟนรกล่าถอยไป ไม่เหลือแม้แต่ซาก ทว่าฤทธิ์ยันต์ซ่อนกายของจินเฟยเหยายังอยู่ ไม่มีใครมองเห็นชัดเจนว่าผู้ใดเป็นคนทำ
[1] แม้แต่กระต่ายก็ยังมีโทสะสามส่วน หมายถึง ต่อให้เป็นสัตว์ที่เรียบร้อยน่ารักก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก หากรังแกมันมากเกินไป มันจะแว้งกัดได้
[2] กินเจ หมายถึง คนที่มีจิตใจเมตตา หรือคนที่ล่วงเกินได้ง่ายๆ