คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 159 ไม่ใช่ของเจ้า
คนที่พุ่งออกมาจากในคฤหาสน์กุ่ยเม่ยมาถึงตรงกำแพงในพริบตา คนที่ขี่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวคือหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีขั้นกำเนิดใหม่ สตรีหน้าตาธรรมดา เห็นได้ชัดว่าแก่ชรา สวมกระโปรงยาวสีขาวทั้งตัว สีหน้าเฉยเมย สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณใต้ร่างสีขาวหิมะตลอดตัว งดงามอย่างยิ่ง
ส่วนบุรุษผู้นั้นและหวาซีหน้าตาคล้ายกัน ดูแล้วอายุมากกว่าหวาซีนิดหน่อย ใส่ชุดยาวแบบจีนสีขาวธรรมดาเช่นเดียวกัน บนศีรษะสวมก้วนหยกสีขาว เงยหน้ามองหวาซีด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้”
“ท่านพ่อ มีสหายเก่าคนหนึ่งมาหาข้า น้องเสี่ยวจือกลับทะเลาะกับสหายเก่าของข้า คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะลงมืออย่างกะทันหัน สุดท้ายก็กลายเป็นแบบนี้” หวาซีตอบด้วยท่าทีเฉยเมย ราวกับไม่ค่อยเคารพพ่อของเขาเท่าใด
“เหลวไหล! นี่เป็นสหายเก่าอะไรของเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะแล่นมาก่อเรื่องในอาณาเขตของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ทั้งยังทำลายป่าจนกลายเป็นแบบนี้ เจ้ารีบหิ้วศีรษะของมันมาพบข้า” หลังจากบิดาของหวาซีฟังจบ ไม่ถามเลยสักนิดว่ามีเรื่องใด ก็ให้หวาซีสังหารคนทันที
หวาซีขมวดคิ้ว วางหวาหวั่นซีในอ้อมอก ท่าทางยังเฉยชาดังเดิม “เรื่องนี้โทษสหายเก่าของข้าไม่ได้ น้องเสี่ยวจือไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใด เอ่ยปากยั่วยุสหายเก่าของข้า และคิดไม่ถึงว่าน้องเสี่ยวจือจะใช้มุกไฉ่กวงเหนือเมืองนี้ หากมิใช่สหายเก่าของข้าลงมือ เกรงว่าทั้งเมืองคงถูกทำลาย ยามนี้ไม่รู้ว่ามีคนตายมากเพียงใด”
“หวาซีพูดอะไรอย่างนั้น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงก่อนว่าเพราะเหตุใดจือเอ๋อร์จึงใช้มุกไฉ่กวง ต่อให้นางใช้มุกไฉ่กวง เจ้าก็ยืนอยู่ข้างๆ จะเบิกตามองนางทำลายเมืองได้อย่างไร เจ้าพูดเช่นนี้ หรือว่าคิดจะช่วยคนนอกรังแกคนในตระกูล?” สตรีขั้นกำเนิดใหม่เอ่ยอยู่ด้านข้าง
จากนั้นนางก็หันหน้ามาพูดกับท่านพ่อของหวาซี “ดูลูกอกตัญญูของเจ้าสิ ราวกับเบื้องบนจนถึงเบื้องล่างของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยมีความแค้นกับเขากระนั้น ทั้งยังกล้าพาคนนอกแซ่มาเป็นคนในคฤหาสน์ ไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงเห็นด้วยกับการพาสตรีเช่นนี้เข้าสู่คฤหาสน์กุ่ยเม่ย!” สายตาดุร้ายของนางจับจ้องหวาหวั่นซีที่ยืนอยู่บนยอดกำแพงอย่างระแวดระวัง อยากจะโยนนางลงจากกำแพงให้ร่วงลงมาตายทันทีใจแทบขาด โดยเฉพาะใบหน้าที่เหมือนกับสตรีผู้นั้นอย่างกับแกะ ทุกครั้งที่ได้เห็นทำให้นางแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ท่านปู่…หวั่นซีอยากให้ท่านปู่อุ้ม” หวาหวั่นซีพลันยื่นมือออกมา ยิ้มพลางเอ่ยกับท่านพ่อของหวาซีอย่างอ่อนหวาน
คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อของหวาซีที่เมื่อครู่ยังมีสีหน้าเย็นชายื่นกลับมือไปอุ้มหวาหวั่นซีขึ้นบนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นเอ่ยเย้านาง “หวั่นซียิ่งน่ารักขึ้นทุกที อีกเดี๋ยวปู่จะพาเจ้าไปกินขนม”
“ขอบคุณท่านปู่” หวาหวั่นซีหอมแก้มเขาแรงๆ ทีหนึ่ง พิงอ้อมอกเขาอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วเอ่ยอย่างงอนๆ “ท่านปู่ เมื่อครู่น้าเสี่ยวจือโยนมุกเม็ดใหญ่มากออกมา เกือบจะร่วงลงไปทับคนที่อยู่ข้างล่าง ท่านพ่อคิดจะไปช่วยคนด้านล่าง เนื่องจากเกรงว่าวางข้าไว้บนกำแพงคนเดียวจะไม่ปลอดภัย ยามกะทันหันจึงไม่ได้ลงมือ ท่านปู่ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ท่านปู่ลงโทษหวั่นซีเถอะ”
“ปู่จะโทษหวั่นซีได้อย่างไร พ่อเจ้าทำถูกต้องแล้ว วางใจเถอะข้าจะไม่ลงโทษเขา” ท่านพ่อของหวาซียิ้มพลางเอ่ย ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของหวั่นซี
สีหน้าของสตรีขั้นกำเนิดใหม่อึมครึมราวกับไปจัดการงานศพ หวาหวั่นซียังยิ้มให้นาง ยิ่งทำให้นางมีโทสะแทบตาย
“พวกเจ้าไปเอาตัวเสี่ยวจือกลับมา คิดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้มุกไฉ่กวงเหนือเมือง กลับมาก็ลงโทษขังนางไว้ในถ้ำ อย่างน้อยสิบปีห้ามออกมา! หวาซี เรื่องนี้ต่อให้สหายของเจ้าคลี่คลายสถานการณ์จึงไม่ทำให้มุกไฉ่กวงบดขยี้ลงไป ข้าจะไม่เอาเรื่องที่นางมาก่อเรื่องที่คฤหาสน์กุ่ยเม่ย ฉวยโอกาสที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ ให้นางไปจากคฤหาสน์กุ่ยเม่ยทันที”
จากนั้นท่านพ่อของหวาซีก็อุ้มหวาหวั่นซีแล้วเอ่ยว่า “เอาหวั่นซีไว้ที่ข้าก่อนสักหลายวัน ถึงเวลาข้าจะให้คนส่งกลับไป”
จากนั้นเขาก็เรียกสตรีที่มีสีหน้าอยากจะกินคนข้างกาย ทิ้งเรื่องที่นี่ ขี่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกลับยอดเขาคฤหาสน์กุ่ยเม่ย
สีหน้าของหวาซีไม่น่าดูอย่างยิ่ง ทว่าก็ได้แต่เบิกตามองดูหวั่นซีถูกท่านพ่อพาไป ส่วนคนรอบด้านราวกับรู้อะไรบางอย่าง ทั้งหมดรีบขี่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณมุ่งไปยังตำแหน่งที่หวาเสี่ยวจือลอยไป ข้างกำแพงเหลือเพียงหวาซีและจินเฟยเหยาอีกครั้ง
จินเฟยเหยามองพวกเขามาจากในคฤหาสน์กุ่ยเม่ยด้วยอารมณ์ตึงเครียด ตอนได้ยินว่าจะเอาศีรษะของตนเอง ยังครุ่นคิดว่าจะหลบหนีออกไปจากตรงไหนดี ทว่านางยังครุ่นคิดไม่เสร็จสิ้น คนผู้นี้ก็ถูกเด็กหญิงอายุห้าหกขวบปะเหลาะไป นี่เรียกว่าอะไร
“นี่มอบให้เจ้า เจ้ารับไว้แล้วรีบจากไปเถอะ” หวาซีจ้องมองทิศทางที่หวาหวั่นซีจากไปอยู่นาน จนกระทั่งพวกเขาหายลับไปบนยอดเขาจึงหันหน้ากลับมา หยิบถุงเฉียนคุนใบหนึ่งออกมาจากอกโยนให้จินเฟยเหยา
จินเฟยเหยารับถุงเฉียนคุนไว้ ไม่ได้เปิดออก กลับเอ่ยถาม “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความ? เจ้าชอบศิลาวิญญาณและสิ่งของมีค่าที่สุดมิใช่หรือ ในนี้คือรางวัลที่ข้าให้เจ้า” หวาซีมองนางอย่างสงบนิ่ง
“เป็นค่าเลี้ยงดูเนี่ยนซี?” จินเฟยเหยายกถุงเฉียนคุนขึ้นเอ่ยถาม
หวาซีพยักหน้ารับ “ถือว่าใช่ ข้าเองก็มีส่วนผิดต่อเจ้า ให้เจ้าดูแลคนโง่งมมานานหลายปี ด้านในมีศิลาวิญญาณและวัตถุดิบบางอย่าง ข้าคิดว่าสามารถชดเชยเจ้าได้”
“แล้วเนี่ยนซีล่ะ? เจ้าจะชดเชยนางอย่างไร?” จินเฟยเหยาเหล่มองแล้วเอ่ยถาม
“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นแค่ของชั้นต่ำ เจ้าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย!” หวาซีเดือดดาล ขึ้นเสียงใส่จินเฟยเหยาอย่างไม่พอใจ
จินเฟยเหยาโยนถุงเฉียนคุนคืนไป จากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “ห้ามเจ้าว่านางเป็นของชั้นต่ำต่อหน้าข้า เจ้าสร้างนางขึ้นมา จากนั้นโยนให้คนอื่น ไม่มีสิทธิ์จะพูดแบบนี้ ข้ารักสมบัติ แต่ของแบบนี้ข้าไม่ต้องการและไม่ยินดีรับ ข้าแนะนำเจ้าเพียงประโยคเดียว เจ้าคืนชีพสตรีของผู้อื่นมา ขอเพียงนางคืนชีพขึ้นมาในฐานะท่านแม่ของเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันได้นางไปชั่วนิรันดร์”
จินเฟยเหยาเห็นฉากเมื่อครู่แล้ว คนตาบอดก็มองออก ขอเพียงหวั่นซีเติบโต ต้องหนีไม่รอดอุ้งมือมารของท่านพ่อหวาซีแน่ จินเฟยเหยารู้สึกได้จากบทสนทนาและการแสดงออก เด็กหญิงที่หน้าตาเหมือนเนี่ยนซีอย่างกับแกะคนนี้ ถึงเพิ่งอายุห้าหกขวบ แต่ต้องมิใช่ชนชั้นกินเจแน่ ต่อไปเป็นไปไม่ได้ที่หวาซีจะได้รับความรักของมารดาจากนาง และอาจจะเลี้ยงอสรพิษที่งามสะคราญออกมาได้ตัวหนึ่ง”
“เจ้าจะรู้อะไร เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของตระกูลข้า รีบเอาสิ่งของแล้วไปเสีย” เห็นชัดว่าหวาซีไม่อยากรับฟังคำพูดนี้ คำพูดนี้คือการใช้มีดปักลงในบาดแผลภายในใจเขา
“ฮึ ข้าไม่สนใจเรื่องของตระกูลเจ้าหรอก และข้าก็ไม่อยากเจอเจ้าอีก ต่อไปทางที่ดีพวกเราอย่าได้พบกัน เรื่องแต่งงานกับญาติสนิทที่ตระกูลของพวกเจ้ากระทำ ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ” จินเฟยเหยาด่าทออีกประโยค ก็จากมาโดยไม่เหลียวหลัง
หวาซียืนอยู่บนกำแพงอย่างสงบนิ่ง มองนางเหาะออกจากการป้องกัน หายลับไปจากสายตา
ส่วนจินเฟยเหยาบินออกจากการป้องกันของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยอย่างองอาจ แล้วเดินต่ออีกครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคน นางก็นั่งพรมบินอย่างเจ็บปวด “ข้านี่โง่จริงๆ ยังจะเสแสร้งทำไม ทำไมไม่เอาถุงเฉียนคุนใบนั้น!”
“ด้านในบรรจุอะไรไว้กันแน่? ศิลาวิญญาณที่เขาเอ่ยถึงจะเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลางไม่ใช่ศิลาวิญญาณชั้นล่างหรือไม่ คิดๆ ดูตอนนี้ผู้อื่นเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมแล้ว สิ่งของที่อยู่ในมือต้องไม่ใช่ของห่วยๆ แน่ อีกทั้งเขายังมาสายขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าต้องเลือกของดีๆ มาให้ข้า ดังนั้นจึงมาช้า ข้านี่โง่จริงๆ!” จินเฟยเหยากุมศีรษะอย่างสับสน นั่งอยู่บนพรมบินอย่างรู้สึกเสียใจภายหลัง ด่าตนเองว่าโง่ตลอดเวลา
ในที่สุดพั่งจื่อที่หดตัวเล็กลงอยู่ในถุงตรงเอวของนางก็ทนไม่ไหว กระโดดออกมาชกหน้านางรัวๆ จากนั้นยังด่าทอนางอย่างเหยียดหยามหนึ่งยก “อ๊บๆๆ! อ๊บ…”
สวรรค์จึงรู้ว่ามันกำลังด่าว่าอะไร แต่หลังจากที่จินเฟยเหยาถูกมันชก ก็ระบายโทสะทั้งหมดลงบนตัวพั่งจื่อ ประเคนหมัดและเท้าใส่มัน จนสบายใจอย่างยิ่ง
พั่งจื่อนอนอยู่บนพรมบินอย่างสำนึกเสียใจ ตนเองวิ่งออกมาทำไมกันนะ ทนฟังนางบ่นพึมพำไปก็พอ เหตุใดต้องออกมาเป็นเป้าให้นางโจมตีด้วย ความหุนหันพลันแล่นทำร้ายกบเกือบตาย
“ไปเถอะ หาสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามโปรยเถ้ากระดูกของเนี่ยนซีลงในน้ำ ข้าไม่มอบนางให้เจ้าคนวิปริตแบบนั้นหรอก เป็นไปได้ว่าข้าเพิ่งจากมา เถ้ากระดูกก็ถูกเขาต้มผสมน้ำเป็นโจ๊กกินจนหมด” จินเฟยเหยาหลังระบายโทสะแล้วจิตใจปลอดโปร่ง ยืนอยู่บนพรมบินราวกับผู้บังคับการเรือ ชี้ไปข้างหน้าพลางเอ่ย
ส่วนพั่งจื่อหดตัวจนมีขนาดเพียงฝ่ามือ หัวเทินเปลือกแตงโมเป็นการปลอมตัว นอนหลับเป็นตายอยู่บนพรมบิน ไม่ว่าใครหลังถูกทุบตีอย่างหนักหนึ่งยก ก็คงไม่เปลี่ยนเป็นฮึกเหิม
โลกวิญญาณเป่ยเฉินมีทะเลสาบปาทงซึ่งเกิดจากแม่น้ำแปดสายไหลมารวมกัน บนริมทะเลสาบปาทงมีเมืองเล็กๆ น่ารักแห่งหนึ่ง เนื่องจากในอดีตเมืองนี้ถูกเผ่ามารยึดครองเป็นเวลานาน ดังนั้นสิ่งก่อสร้างของที่นี่จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศชนต่างเผ่า
ที่ริมทะเลสาบจินเฟยเหยาซึ่งปักปิ่นโปร่งใสสองชิ้นบนศีรษะและบนร่างสวมชุดบุรุษกำลังเทเถ้ากระดูกของเนี่ยนซีลงในทะเลสาบ ให้เถ้ากระดูกสีขาวเทาค่อยๆ ลอยไปตามกระแสน้ำไปไกลอย่างช้าๆ
นางยืนอยู่ริมทะเลสาบเนิ่นนาน จากนั้นโยนขวดลงในทะเลสาบ ปัดๆ มือแล้วจากไป
เพื่อหลบการค้นหาจินเฟยเหยาจึงสวมชุดบุรุษ ใบหน้าไม่ได้ใช้เวทแปลงโฉมทั้งหมด ทว่าเปลี่ยนพวกมุมคิ้วเล็กๆ น้อยๆ ทำให้นางดูเหมือนบุรุษ ไม่ใช่มีพลังปราณเต็มหน้า ไม่เช่นนั้นคนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงพอมองดูก็รู้ ว่าเจ้าหมอนี่ปลอมแปลงมา ทำให้เกิดความสงสัยได้ง่าย
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ จะมีเพียงพลังปราณจางๆ เล็กน้อย ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนมีปราณวิญญาณแฝงนิดหน่อยเป็นเรื่องปกติ จะไม่ทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย
จินเฟยเหยาหยิบพัดออกมาโบกเบาๆ พลางเดินไปยังเมืองปาทงที่อยู่ด้านข้างด้วยลักษณะบุตรหลานตระกูลร่ำรวย
ตอนใกล้จะถึงประตูเมือง มีคนสวมชุดยาวแบบจีนสามคนเดินผ่านข้างกายนางไปอย่างรีบร้อน จินเฟยเหยามองตามไป พลันพบว่าคนหนึ่งในนั้นดูคุ้นๆ
เอ๋? นี่คือใคร เหตุใดจึงคุ้นตานัก? เมื่อครู่จินเฟยเหยามองเห็นไม่ชัด จึงรีบเดินไปหลายก้าว หลังจากเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นชัดเจน นางก็ตกตะลึงจนยืนอยู่ที่เดิม หลังประหลาดใจอยู่นาน นางจึงเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “จินเฟยหยาง! เขาหายตัวไปที่เมืองลั่วเซียนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้”