คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 165 อาเป่า
ความวุ่นวายของผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่าง จินเฟยเหยาเห็นอยู่ในสายตานานแล้ว แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ รีบขุดเอาสิ่งของออกมาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทงเทียนหรูอี้ชนกระเบื้องด้านล่างแตก จินเฟยเหยารีบใช้พลังวิญญาณดูดกล่องกระดูกหยกสลักลวดลายขนาดครึ่งตัวคนใบหนึ่งลอยออกมา
ไม่รอให้ถึงมือจินเฟยเหยา พลันมีคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากในดิน แรงดูดที่ทรงพลังยิ่งกว่าทะลักทลาย กล่องกระดูกหยกสลักลายถูกแย่งไปจากมือนางทันที
“ผู้ใด!” เห็นเป็ดย่างที่สุกแล้วบินไป จินเฟยเหยาคำรามอย่างเดือดดาลราวกับถูกสายฟ้าฟาด พลั่วทงเทียนหรูอี้ขนาดใหญ่สองเล่มบดขยี้ไปยังคนผู้นั้น
กองดินถูกนางตักขึ้น ทว่าคนผู้นั้นฉวยโอกาสที่รอบด้านมืดมิดหลบไปด้านข้างคิดจะหนีไป
“หยุดนะ คืนสิ่งของให้ข้า!” จินเฟยเหยากระโดดวูบขึ้น ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นกระบี่ยาวฟาดฟันคนผู้นั้น ทว่าที่นี่มืดสนิท วิสัยทัศน์ย่ำแย่อย่างยิ่ง คนผู้นั้นส่ายไหวกลืนเข้าไปในความมืด ทงเทียนหรูอี้จึงคว้าน้ำเหลว หลังจากฟันสะเปะสะปะอยู่ครู่หนึ่งก็บินกลับมาข้างกายนางอีกครั้ง
ที่นี่มืดเกินไปไม่เหมาะจะต่อสู้ สิ่งของถูกแย่งชิง จินเฟยเหยาเสียดายแทบตาย คนที่ลงมือชิงไปเมื่อครู่ต้องเป็นพวกจินเฟยหยางสามคนแน่ ท่าทางของชิ้นนี้ก็คือเป้าหมายของพวกเขา คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนตัวมาตลอด รอคอยสิ่งของปรากฏขึ้นสงบนิ่ง สิ่งของชิ้นนี้ต้องเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดอย่างแน่นอน
ถ้าสามารถทำให้ที่นี่สว่างก็เป็นไปได้ว่าจะแย่งชิงกลับมาได้ จินเฟยหยางที่น่าตายคิดไม่ถึงว่าจะต่อต้านข้าไปทุกเรื่อง
ในยามนี้เอง ปู้จื้อโหยวพลันถ่ายทอดเสียงมาหานาง “เจ้านี่โชคร้ายจริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง แต่หลังจากเจ้าได้ของแล้วต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”
ยามนี้จินเฟยเหยาไม่สนใจการแบ่งครึ่งอะไรทั้งสิ้น ชิงสิ่งของกลับมาก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นนางจึงตอบรับ
ได้รับคำตอบของจินเฟยเหยา ปู้จื้อโหยวให้นางรอครู่หนึ่ง เดี๋ยวจะทำให้นางจับผู้บำเพ็ญมารสามคนนี้ได้
ไม่รู้ว่าปู้จื้อโหยวคิดจะใช้วิธีการอะไรค้นหาพวกจินเฟยหยางสามคนให้พบ นางได้แต่ฟังความเคลื่อนไหวรอบด้านอย่างระมัดระวัง ใช้การรับรู้กวาดบนดินโดยรอบอย่างต่อเนื่อง คิดจะแยกแยะว่าที่ใดมีคนอยู่ ส่วนบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่เพิ่งพุ่งเข้ามาหาเรื่องจินเฟยเหยา เห็นมีคนแย่งชิงสิ่งของไปจากมือนาง ทั้งหมดจึงหยุดลง
การรับรู้ของพวกเขากวาดไปรอบด้านไม่หยุด ไม่พบผู้บำเพ็ญมาร คิดไม่ถึงว่าจะพบศิลาวิญญาณจำนวนมากในดิน ที่แท้สถานที่ซึ่งพวกเขายืนอยู่เป็นคลังสินค้าพอดี ในดินด้านล่างมีสมบัติกระจายอยู่จำนวนมาก สบายพวกเขาแล้ว
ทว่าตอนนี้ยังมีผู้บำเพ็ญมารสามคนอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเขาไม่ได้ไปขุดเอาสมบัติก่อน ทว่าจับตาดูรอบด้านอย่างระแวดระวังต่อ
“เหตุใดจึงช้าขนาดนี้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?” เวลาผ่านไปทีละน้อย ทางปู้จื้อโหยวยังไม่มีความเคลื่อนไหว จินเฟยเหยาร้อนใจอยู่บ้าง
หลังสิ้นเสียงนาง พลันมีบางอย่างเหมือนดอกไม้ไฟยิงเฟี้ยวขึ้นกลางอากาศ เสียงตูม สิ่งของเสียดแทงนัยน์ตาพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ สาดส่องจนดวงตาคนพร่าพรายราวกับแสงอาทิตย์ มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีขาว
ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนทยอยกันใช้มือและแขนเสื้อบดบังแสงสว่างนั้น ผ่านไปหลายอึดใจดวงตาจึงคุ้นชิน ลืมตามองดู โลกใต้ดินที่เดิมทีมืดมิดแห่งนี้เปลี่ยนเป็นสว่างไสวดุจกลางวัน มองเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจน
ยามนี้ทุกคนจึงพบว่า นี่เป็นถ้ำใต้ดินตามธรรมชาติ ตอนคฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลงร่วงลงมาก็ทับทำลายถ้ำไปครึ่งหนึ่ง ถ้ำครึ่งหนึ่งนี้ถูกเศษหินและดินที่ร่วงลงมาจากด้านบนปกคลุมไว้ ส่วนสถานที่ซึ่งสัตว์เกราะเหล็กทะลวงภูผาขุดกลับเป็นด้านที่ถ้ำอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่ถูกเศษหินและดินกลบฝัง
จินเฟยเหยายืนอยู่บนเศษหินและดินของคฤหาสน์ในตำแหน่งสูง กลางอากาศไม่ไกลจากนางมีมุกขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งกำลังเปล่งแสงรัศมีสว่างไสวอยู่กลางอากาศ วัตถุนี้กำลังส่องสว่างภายในถ้ำ
“หินแสงอาทิตย์ นี่เป็นสิ่งของของใคร?” ถึงจินเฟยเหยาจะไม่รู้จักมุกเม็ดนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ จะไม่รู้จัก เพิ่งมองเห็นรอบด้านชัดเจน ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจำมุกเม็ดนี้ได้
“นี่เป็นสิ่งของของข้า ให้ทุกคนยืมแสงสว่าง แต่ไม่อนุญาตให้หมายตามัน ข้าอาศัยมันขุดสุสานลงถ้ำ ถึงให้เงินก็ไม่ขาย” ปู้จื้อโหยวปรากฏตัวขึ้นในถ้ำด้านที่ไม่มีดิน ท่าทางเพิ่งมาถึง
คนสติไม่ดีจึงใช้หินแสงอาทิตย์ที่เป็นหยางสุดขั้วเป็นสิ่งของส่องสว่าง ถึงแม้มันจะใช้ส่องสว่างได้ดีจริงๆ สาดส่องจนสว่างไสวได้หมดทุกที่ ทว่าทุกคนยังมองเขาหลายแวบด้วยความอิจฉาริษยาและแค้นเคือง หลังจากพบกล่องธนูสามอันที่ด้านหลังเขา นอกจากพวกไป๋เจี่ยนจู๋ แม้แต่ศิษย์น้องซิ่นเทียนก็อดพยักหน้าไม่ได้ ที่แท้เป็นเจ้าหมอนี่ มิน่าเล่าจึงมีของดีๆ ใช้อย่างสิ้นเปลือง
จินเฟยเหยายืนอยู่บนยอดคฤหาสน์ มองแวบเดียวก็เห็นบนดินมีหลุมน้อยใหญ่จำนวนมาก มีคนขุดเอาสิ่งของด้านล่างไป นางอดคาดเดาไม่ได้ หลุมเหล่านี้คงเป็นปู้จื้อโหยวขุดออกมาเสียแปดส่วน เจ้าหมอนี่แอบขุดเอาสิ่งของไปมากมาย ตอนนี้แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งมา
มองดูสายตาของคนเหล่านี้ เขาต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงแน่ ดูคนเหล่านี้สิ แม้แต่เสียงสงสัยยังไม่มีเลยสักนิด
แต่ตอนนี้สว่างจ้าขนาดนี้ พวกจินเฟยหยางสามคนไปที่ใดแล้ว จินเฟยเหยาไม่สนใจพวกเขา ใช้การรับรู้ค้นหารอบด้านก็ไม่พบพวกเขาสามคน
นางพลันนึกถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ก็เห็นคนทั้งสามในชุดสีดำแนบติดกับเพดานถ้ำ ราวกับเป็นค้างคาวขนาดยักษ์สามตัว
“ไป!” จินเฟยเหยาชี้เพดานถ้ำ ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นบอลใหญ่ขนาดสองจั้งสองใบเหวี่ยงไปบนขยี้คนทั้งสามทันที ขณะที่ทงเทียนหรูอี้โจมตีมา
ร่างคนทั้งสามก็หายวับจากเพดานถ้ำมาปรากฏตัวบนกองดินคฤหาสน์ห่างจากจินเฟยเหยาไม่ถึงสามจั้งกว่าราวกับสายฟ้า
“ได้สิ่งของมาแล้ว ที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน พวกเรารีบจากไปทันที! เฟยหยาง พวกเราคุ้มกันเจ้าจากไป” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราภายใต้เสื้อคลุมสีดำของบุรุษผู้นี้เอ่ยเสียงต่ำลึกกับพวกจินเฟยหยางอีกสองคน
จินเฟยหยางดึงเสื้อคลุมสีดำบนร่าง ไม่เอ่ยอะไรก็จะหลบหนีไป
จินเฟยเหยาเห็นเขาจะหลบหนีไป ก็รีบตะโกนเสียงดังทันที “อาเป่า ช้าก่อน!”
“เจ้าเป็นใคร!” จินเฟยหยางที่เพิ่งคิดจะหลบหนีได้ยินคำพูดนี้ก็ไหวร่างแล้วหยุดลง มองจินเฟยเหยาอย่างตกตะลึง
เขาออกจากเมืองลั่วเซียนหลายสิบปีแล้ว เคลื่อนไหวเข่นฆ่าอยู่ที่ชายแดนของโลกวิญญาณเป่ยเฉินตลอด ครั้งนี้หากมิใช่มีผลประโยชน์ก้อนโต เขาจะไม่เสี่ยงอันตรายแล่นมาถึงสถานที่ซึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้อง เขาจำชื่อเล่นของตนเองไม่ได้ นานมากแล้วที่ไม่มีคนเรียกตนเองด้วยชื่ออาเป่า เขามองคนเบื้องหน้า รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา คนผู้นี้เป็นใคร?
เห็นใบหน้างุนงงของเขา จินเฟยเหยาลบเวทแปลงโฉมบนใบหน้า ลูกกระเดือกก็หายไป เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิม
จินเฟยหยางมองใบหน้าของนาง แววตกตะลึงพุ่งปราดขึ้นเต็มใบหน้า ตอนแรกแดงก่อนภายหลังจึงซีดขาว สุดท้ายเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำอย่างยิ่ง ราวกับอยากจะกินคนก็มิปาน
“จินเฟยเหยา!” ไป๋เจี่ยนจู๋ตะลึงงัน เขานึกว่าจินเฟยเหยายังอยู่ที่โลกหนานซาน ส่วนตนเองมาถึงโลกวิญญาณเป่ยเฉิน เกรงว่ายากจะได้พบจินเฟยเหยาอีก เขายังคิดไว้ว่าหลังเจี๋ยตันจะหาโอกาสไปโลกระดับดินสอบถามข่าวคราวของนาง คิดไม่ถึงว่ายายนี่จะแล่นมาที่นี่แต่แรก
“ศิษย์น้องไป๋ นี่ผู้บำเพ็ญเซียนน้อยที่เคยมีความหลังกับเจ้ามิใช่หรือ มีความสามารถไม่เบา คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ คิดถึงตอนนั้น ข้ายังเคยขายวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจให้นางถูกๆ เลย ไม่รู้ว่านางใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง” เฟิงอวิ๋นจู๋ก็จดจำจินเฟยเหยาได้ จึงตบบ่าไป๋เจี่ยนจู๋พลางเอ่ยยิ้มๆ
ศิษย์น้องซิ่นเทียนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ทั้งสองรู้จักผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้? ข้าเห็นนางรู้จักกับผู้บำเพ็ญมารคนนั้น พวกเราอย่าไปคลุกคลีด้วยเป็นดี”
“ผู้บำเพ็ญมาร…” ไป๋เจี่ยนจู๋เชื่อมั่นอย่างยิ่ง ยายนี่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญมารแน่ เดิมไฟนรกสีฟ้าก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งของธรรมดา น่าเสียดายที่ผู้บำเพ็ญเซียนโลกระดับดินมีความรู้น้อยเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีคนพบเห็นฐานะของยายนี่ ในเมื่อตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เช่นนั้นจะปล่อยนางไปไม่ได้
เฟิงอวิ๋นจู๋ก็ลูบคางครุ่นคิด ถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ จะไม่ใส่ใจอะไร ทว่าปีก่อนในประกาศตามหาคนปล่อยจอมมารหลงไปฉบับนั้น คนที่เอ่ยถึงคล้ายกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีผู้นี้เป็นพิเศษ
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาใช้ไฟนรกหรือไม่ ทว่าก็เคยเห็นกบที่ทั้งตัวใหญ่ทั้งโง่งมข้างกายนาง ในตลาดกลางคืนครั้งหนึ่ง ประทับใจอย่างลึกล้ำจะลืมก็ลืมไม่ลง
ครั้งนี้สนุกแล้ว เฟิงอวิ๋นจู๋หันหน้าไปเห็นสายตาของไป๋เจี่ยนจู๋มองจินเฟยเหยาอย่างตะลึงงัน ใช้ข้อศอกสะกิดแอบถ่ายทอดเสียงให้เขา “ศิษย์น้อง คนผู้นี้รู้จักกับผู้บำเพ็ญมาร เจ้าควบคุมอารมณ์หน่อย ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน ขอเพียงนางไม่ใช่ผู้บำเพ็ญมาร เจ้าก็พานางกลับไป คาดว่าอาจารย์คงไม่คัดค้านเรื่องเจ้าจะแต่งงานกับนาง ตอนนี้เจ้าต้องอดทนไว้ จะให้ซิ่นเทียนชมดูเรื่องสนุกไม่ได้”
“อ้อ” ไป๋เจี่ยนจู๋พยักหน้ารับ แล้วได้สติคืนมาทันที แทบจะลุกขึ้นเต้น เขาใช้มือดึงเฟิงอวิ๋นจู๋ ใบหน้ามีโทสะจนเขียวคล้ำ อยากจะตบบ้องหูแรงๆ สักหลายที
แต่ละครั้งล้วนเป็นเขา ได้ยินเสียงลมก็คิดว่าฝน[1] ทั้งยังเพิ่มเติมเนื้อหาที่ตนเองคิดเอาเองว่าใช่เข้าไป ทำเสียเหมือนเรื่องจริง ทำให้หลายปีนี้เขาได้รับการปลอบโยนจากบรรดาศิษย์พี่ไม่น้อย
“ศิษย์น้อง! เจ้าใจเย็นหน่อย การฝึกบำเพ็ญในหลายปีมานี้ของเจ้าหายไปที่ใดแล้ว ยามนี้ ไม่อาจให้เรื่องส่วนตัวของบุรุษสตรีมากลืนกินสติสัมปชัญญะ” เฟิงอวิ๋นจู๋นึกว่าศิษย์น้องเล็กของตนเองมีโทสะจนกลายเป็นแบบนี้เนื่องจากไม่อาจแสดงตัวว่ารู้จักกับจินเฟยเหยา จึงบอกให้เขาอดทนสักหน่อย เกรงว่าไป๋เจี่ยนจู๋จะไม่รู้จักกาลเทศะเฟิงอวิ๋นจู๋จึงรีบถ่ายทอดเสียงไปเตือนเขา
ไป๋เจี่ยนจู๋สูดลมหายใจลึกๆ หลายครั้งจึงปล่อยเฟิงอวิ๋นจู๋ จากนั้นตบบ่าเขาพลางเอ่ย “ศิษย์พี่ ได้ยินว่าศิษย์พี่อวี้จูแห่งตำหนักตงไถชอบเจ้า ก่อนหน้านี้ข้ายังรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่คู่ควรกัน ทว่าตอนนี้ครุ่นคิดดู ศิษย์พี่อวี้จูหน้าตางดงาม อ่อนโยนน่าสนิทสนม เหมาะกับศิษย์พี่อย่างยิ่ง หลังจากกลับไปข้าจะไปเอ่ยถึงเรื่องนี้กับอาจารย์ ให้อาจารย์เป็นพ่อสื่อให้เจ้า”
“ศิษย์น้อง อยู่ดีๆ เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้? ยายอ้วนนั่นอยากจะแต่งกับใครก็แต่งไปสิ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เอา เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างกะทันหัน เปลี่ยนนิสัยแล้ว?” เฟิงอวิ๋นจู๋มองเขาอย่างหวาดผวา ราวกับไม่รู้จักเขาเลย
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพวกเจ้าบีบคั้น ศิษย์พี่อย่าโทษข้าเลย ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงแต่คิดในใจอย่างร้ายกาจ
………………………………………
[1] ได้ยินเสียงลมก็คิดว่าฝน หมายถึง คิดไปเอง