คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 218 งานเลี้ยงวันเกิดที่อนาถที่สุด
สำหรับฉือชางเจินเหรินแล้ว งานเลี้ยงวันเกิดปีนี้ เป็นวันเกิดที่เจ็บปวดที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่เชื่อฟังของตนเองขึ้นเขาลงห้วยค้นหาวัตถุดิบอาหารชั้นสุดยอดล่วงหน้าถึงสามปีเพื่องานฉลองวันเกิดในครั้งนี้ ทั้งยังเตรียมการเนิ่นๆ เจ็ดวัน วันนี้จึงใช้เพลิงแท้ปรุงออกมาในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้ตนเอง
อาหารโต๊ะหนึ่งสิ้นเปลืองเวลาขนาดนี้ ทั้งยังตั้งใจขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจุดจบสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้ สตรีที่จู๋ซวีอู๋พากลับมา เป็นสุกรโดยแท้ เป็นสัตว์เดรัจฉาน!
ตนเองกินนั้นช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าจะพากบสองตัวออกมากินด้วย น่าชังเกินไปแล้ว
ฉือชางเจินเหรินมองดูกบตัวอ้วนใหญ่เทินจานหยกบนศีรษะยืนอยู่หน้าโต๊ะและมองตนเองอย่างน่าสงสาร ก็เดือดดาลอย่างยิ่ง กบที่เทินจานหยกบนศีรษะตัวนี้มีผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นใส่อาหารให้นิดหน่อย เขามีฐานะเป็นถึงเจ้าสำนัก เหตุใดจึงตระหนี่เช่นนี้ ได้แต่นำปลาร้อยมังกรแล่ชิ้นบางๆ จานหนึ่งบนโต๊ะยื่นให้กบตัวนี้
ต้านิวรับปลาร้อยมังกรแล่เป็นชิ้นมา เดินบิดสะโพกจากไป ท่าทางบิดสะโพกช้าๆ อย่างน่ารัก ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนหัวเราะลั่น
ไม่รอให้ฉือชางเจินเหรินถลึงตาใส่จู๋ซวีอู๋แสดงว่าเขาไม่พอใจ พั่งจื่อก็เดินมาอีก กระพริบตาปริบๆ มองดูเขาอย่างโง่งม ทำอย่างไร เขามีฐานะเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ จะมีหน้าไปเอาเรื่องกบตัวหนึ่งหรือ จานอีกใบก็หายไปจากบนโต๊ะของฉือชางเจินเหริน
เนื่องจากอาหารเหล่านี้อร่อยเกินไป ทั้งยังมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น จินเฟยเหยาตัดใจให้พั่งจื่อและต้านิวกินไม่ได้เลยสักนิด พวกมันสองตัวทนไม่ไหวจริงๆ กลืนน้ำลายดึงเสื้อจินเฟยเหยาอย่างไม่ยินยอม นางถูกพัวพันจนหมดทางเลือก จึงให้จานหยกกับพวกมันสองตัวคนละใบ ให้พวกมันไปขออาหารเอง
สัตว์เลี้ยงนิสัยเหมือนเจ้าของ ประโยคนี้ถูกต้องที่สุด
พั่งจื่อและต้านิวแสร้งโง่ ทำท่าทางน่ารักสุดๆ เดินไปเดินมาหน้าโต๊ะของผู้บำเพ็ญเซียน บางครั้งแสร้งจ้องมองอาหารอย่างโง่งม บางครั้งกระพริบตาให้ บางครั้งยังไปทุบหลังทุบขาให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียน หยอกล้อจนบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเบิกบานใจอย่างยิ่ง เดินวนรอบหนึ่งก็ขออาหารมาได้ไม่น้อย
ทว่าเมื่อคงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วพาศิษย์ขั้นหลอมรวมมาถึงล่าช้า อาหารไม่กี่โต๊ะของพวกเขาก็ลงท้องจินเฟยเหยาไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อจู๋ซวีอู๋พบคงจู๋อู๋ พวกเขากำลังเตรียมออกเดินทางมาตำหนักเซียวเทียน แต่ถูกจู๋ซวีอู๋ก่อกวนทำให้มาล่าช้า ส่วนไป๋เจี่ยนจู๋ที่หิ้วของโจรเหล่านั้นหลังมองพวกจู๋ซวีอู๋จากไป จึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองต้องอาบน้ำเพราะต้องไปตำหนักเซียวเทียน
หน้าโต๊ะเตี้ยที่ตนเองนั่งเพียงวางกาสุราและจอกสุราไว้ พวกเขามองจินเฟยเหยาที่ถูกคนเจ็ดแปดคนรับใช้อย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาเพียงครู่เดียว ศิษย์น้องเล็กจึงอยู่ร่วมอย่างกลมกลืนขนาดนี้
มีความสุขเกินไปจริงๆ จินเฟยเหยาปลดปล่อยท้องให้กินอย่างบ้าคลั่ง วางจานอยู่ข้างปากแล้วกวาดอาหารทั้งหมดก็ลงท้อง จานนี้เพิ่งลงท้อง ด้านซ้ายก็มีคนยื่นอาหารจานหนึ่งมาให้ ส่วนด้านขวาก็มีคนเก็บจาน คนอื่นๆ ที่เหลือหากมิใช่ส่งอาหารมาตามทางน้อย ก็ยกจานชามที่กินแล้วไป
นี่ราวกับเทขยะใส่ถังโดยแท้ ทำให้คนอื่นๆ ไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด โชคดีที่ยังมีกบสองตัวทำให้ทุกตนบันเทิงใจ มารยาทบนโต๊ะอาหารแบบนี้เพียงดูให้ชินก็พอ
“ซือจุน[1]เจ้าสำนัก อาจารย์ลุงหลี่ซือผลาญใช้การรับรู้และพลังวิญญาณจนหมดสิ้น หมดสติไปแล้ว!” ยามนี้มีศิษย์ขั้นสร้างฐานคนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งร้อน กระซิบบอกที่ข้างหูของฉือชางเจินเหริน
“อะไรนะ! ปกติเขาฝึกบำเพ็ญอย่างไร ทำอาหารไม่กี่จานก็หมดสติไปแล้ว ถ้าเจอศัตรู ปล่อยเพลิงออกมาก็ต้องนอนหลับหรือ!” ฉือชางเจินเหรินมีสีหน้าเคร่งเครียด ศิษย์ขั้นหลอมรวมของตนเองไม่ได้ความขนาดนี้ เกินไปแล้ว
“เจ้าไห่เจินล่ะ พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ ให้เขามาเสริมตำแหน่งของหลี่ซือ” ฉือชางเจินเหรินเหลือบตามองจินเฟยเหยาที่กำลังกินแล้วบอกกับศิษย์น้อยคนนี้
ศิษย์คนนี้เอ่ยอย่างลำบากใจ “ซือจุน อาจารย์หมดสติไปก่อนอาจารย์ลุงหลี่อีก เค้นแรงออกมาไม่ได้แล้ว ตอนนี้นั่งอยู่บนพื้นลุกไม่ไหว ไม่มีทางใช้เพลิงแท้ปรุงอาหารได้อีก”
ฉือชางเจินเหรินมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างยิ่ง ตอนนี้อยากจะพุ่งตัวไปดูว่าศิษย์ไม่เอาไหนสองคนนี้กำลังทำอะไรอยู่
เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเจ้าสำนักน่าเกลียดขึ้นมา ศิษย์คนนี้ก็รู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องแก้ต่างให้อาจารย์สักหน่อย ดังนั้นเขาจึงกระซิบว่า “ซือจุน อาจารย์ลุงหลี่กับอาจารย์ของข้าทำอาหารรวมทั้งหมดหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าจาน ถ้าไม่ได้กินยาเสริมพลังคงยืนหยัดไม่ไหว อีกทั้งวัตถุดิบอาหารก็หมดแล้ว”
“มากมายปานนั้นเลย!” ฉือชางเจินเหรินนิ่งอึ้ง เขาเพียงแต่นั่งดูจินเฟยเหยากินอย่างสบายๆ ที่นี่ ไม่ได้สังเกตว่านางกินไปมากเพียงใด
ใช้เพลิงแท้ปรุงอาหารต้องสิ้นเปลืองพลัง เขารู้ดี เดิมทีวางแผนไว้แล้วว่าอาหารห้าร้อยกว่าชุดเพียงพอ สำหรับพลังการบำเพ็ญเพียรของหลี่ซือและเจ้าไห่เจิน เพียงผลาญใช้การรับรู้ไปครึ่งหนึ่ง
แต่ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะทำอาหารไปหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าจานโดยไม่รู้ตัว เกินขีดจำกัดสูงสุดของการรับรู้และพลังวิญญาณพวกเขาแล้ว มิน่าเล่าจึงทำจนหมดสติไป
ทันใดนั้น ฉือชางเจินเหรินก็ตระหนักได้ถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง หมายความว่าวัตถุดิบอาหารชั้นยอดเหล่านั้นหมดเกลี้ยงแล้ว!
สิ่งของที่ศิษย์สองคนของตนเองใช้เวลาสามปีค้นหามาแสดงความกตัญญูต่อตนเอง คิดไม่ถึงว่าจะถูกกรอกลงในท้องของสุกรตัวนี้จนหมด อีกทั้งไม่รู้ว่าคนผู้นี้มาจากไหน ศิษย์น้องจู๋ที่น่าตาย กลับมาช้าวันหนึ่งก็ไม่ได้ ดันเพิ่งกลับมาพอดี
เห็นฉือชางเจินเหรินไม่เอ่ยวาจาอยู่นาน สีหน้าอึมครึมอย่างยิ่ง ศิษย์คนนี้จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามว่า “ซือจุน ตอนนี้จะทำอย่างไรดี ทางนั้นดูเหมือนยังกินไม่อิ่ม”
ฉือชางเจินเหรินแอบทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง จึงโบกไม้โบกมือเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็กินหมดแล้ว แม้แต่คนทำอาหารก็หมดสติไปแล้ว ยังจะยกอาหารอะไรขึ้นโต๊ะได้อีก ผลไม้น่าจะยังมี พวกเจ้ายกมาให้นางทั้งเข่ง ให้นางกินจนเกลี้ยงให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
“ขอรับ” ศิษย์น้อยรับคำสั่ง รีบล่าถอยไปจัดเตรียม
กินไปเก็บจานไปเป็นข้อเสีย ทำให้คนไม่เห็นสภาพหลังกินเกลี้ยงจาน ทุกคนเห็นจินเฟยเหยากินจานแล้วจานเล่าก็ละเลยจำนวน เพียงแต่รู้สึกน่าสนุก นี่ต้องกินมากเพียงใดจึงอิ่ม ทุกคนต่างมองดูนางอย่างครึกครื้น
พั่งจื่อและต้านิวก็ฉวยโอกาสนี้ เริ่มยกจานขออาหารหน้าโต๊ะแต่ละโต๊ะอีกครั้ง ฉวยโอกาสที่ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้เพ่งความสนใจไปบนร่างจินเฟยเหยา พวกมันสองตัวใช้ลิ้นขโมยอาหารในจานกินทันทีอย่างไม่เกรงกลัว
บรรดาศิษย์ของตำหนักซวีชิงนั่งอยู่ในที่แห่งหนึ่ง นอกจากสุราจางๆ หนึ่งจอกบนโต๊ะ แม้แต่ผักสักชิ้นก็ไม่ได้ลิ้มลอง คนที่มายกอาหารขึ้นโต๊ะล้วนไปส่งตรงจินเฟยเหยาหมด ทิ้งคนอื่นๆ ไว้โดยไม่สนใจนานแล้ว
แค่อาหารเท่านั้น พวกเขาไม่มีอะไรไม่สบายใจ เพียงแต่ในใจเข้าใจกระจ่าง สำหรับศิษย์น้องเล็กคนนี้แล้ว ผลไม้สามผลกับปลาแห้งสองตัวมีคุณค่ามากเพียงใด คนที่กินเก่งขนาดนี้ สามารถงัดปลาแห้งสองตัวออกมาจากปากนางได้ ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
ไป๋เจี่ยนจู๋นึกถึงบัตรเชิญงานเลี้ยงในอกที่ตนเองต้องรับผิดชอบ พลันอยากจะหัวเราะ เรื่องนี้มอบหมายให้นางไปทำคาดว่าต้องสนุกสนานอย่างยิ่ง เขาไม่ค่อยชอบไปเข้างานสังคม น่าจะบอกว่าตำหนักซวีชิงนอกจากศิษยที่รับมาใหม่สิบคนแล้ว คนอื่นๆ ไม่ชอบเข้าสังคมเลยสักนิด ส่วนศิษย์ที่รับใหม่สิบคนนั้น หากมิใช่มีพลังการบำเพ็ญเพียรเพียงขั้นฝึกปราณ อยากจะไปเข้าร่วมงานสังคมก็ไม่มีสิทธิ์ และได้รับผลกระทบจากการที่ทุกคนเกลียดชังตำหนักซวีชิงจึงไม่ชอบมุดเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน
คิดถึงว่าต่อไปไม่ต้องไปนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนและพูดคุยไร้สาระกับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ แบบหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้มอีก ไป๋เจี่ยนจู๋ก็รู้สึกว่าจินเฟยเหยาเหมือนจะไม่ได้น่าชิงชังขนาดนั้นแล้ว อย่างน้อยหน้าตาของนางก็รื่นหูรื่นตากว่าสุกร
“บัตรเชิญที่ตำหนักอื่นๆ ส่งมามีเท่าใด?” ไม่รู้ว่าจู๋ซวีอู๋ลุกจากที่นั่งวิ่งมายังที่เขาตั้งแต่เมื่อใด โผล่ศีรษะมาเอ่ยถามพวกเขา
“ข้าจดไว้ในนี้ทั้งหมด มีแทบทุกวัน ดูเหมือนงานที่ช้าสุดต่อคิวไว้อีกหนึ่งปีให้หลัง” ไป๋เจี่ยนจู๋หยิบป้ายหยกในถุงเฉียนคุนออกมา เนื่องจากมีงานเลี้ยงมากมายทุกคนจึงส่งบัตรเชิญล่วงหน้า จดไว้รวมกันหมดแบบนี้กินครั้งหนึ่งลบทิ้งไปอันหนึ่งจะได้ไม่ผิดพลาด
“เอามาให้ข้า” จู๋ซวีอู๋รับป้ายหยกมา เดินไปหาจินเฟยเหยาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เวลานี้อาหารที่ขึ้นโต๊ะเป็นชุดสุดท้ายแล้ว ทุกคนล้วนมองดูนางอย่างสนุกสนาน วิธีกินแบบนี้น่าสนใจจริงๆ แน่นอนว่าพวกเขารู้มูลค่าของอาหารเหล่านี้ จึงแอบหัวเราะเจ้าสำนักที่ครั้งนี้ต้องขาดทุนอย่างหนัก จากนั้นจึงเห็นจู๋ซวีอู๋ถือป้ายหยกชิ้นหนึ่งเดินไปหา
“เสี่ยวเหยา กินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้หลอกเจ้าสินะ” จู๋ซวีอู๋นั่งลงข้างจินเฟยเหยาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแฉ่ง
จินเฟยเหยาตบพุง พยักหน้าตอบรับ “พี่จู๋ไม่ได้หลอกลวง อาหารของสำนักตงอวี้หวงอร่อยจริงๆ มีมากเพียงใดข้าก็กินได้ ตอนนี้เพิ่งได้ครึ่งท้อง”
ได้ยินจินเฟยเหยาเรียกเขาว่าพี่จู๋ ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนก็เหงื่อตก ไหนบอกว่าเป็นบุตรสาว ถึงไม่ได้ให้กำเนิดเอง เรียกพ่อบุญธรรมยังดีกว่าเสแสร้งเรียกพี่
“ไม่เป็นไร กินไม่อิ่มก็ยังมีอีก” จู๋ซวีอู๋ถือป้ายหยกในมือพลางยิ้มตาหยี “ในนี้ล้วนเป็นบัตรเชิญของบรรดาศิษย์พี่แต่ละตำหนัก ให้เจ้าเป็นตัวแทนตำหนักซวีชิงเราไปเข้าร่วมงานเลี้ยง เจ้ากินอย่างเต็มที่ ขอมอบหน้าที่นี้ให้เจ้า”
“พี่จู๋ ท่านดีต่อข้ามากจริงๆ ขอบคุณ” จินเฟยเหยารับป้ายหยกมาอย่างปลื้มปีติ เอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
ส่วนผู้บำเพ็ญเซียน ณ ที่นั้นสีหน้าขาวซีดกันหมด บัตรเชิญ? ตำหนักซวีชิงจะให้ยายนี่ไปกินเลี้ยง?
เมื่อครู่ยังแอบหัวเราะเยาะเจ้าสำนักว่าสูญเงินไปจำนวนมาก ผ่านไปได้ไม่เท่าไรก็ถึงรอบของตนเองแล้ว บรรดาผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่เชิญแขกไม่มากนัก ยามนี้เพียงลอบยินดีที่ตนเองไม่ได้คิดจะจัดงานเลี้ยง
ทว่าศิษย์ขั้นหลอมรวมจำนวนไม่น้อยกลับนั่งไม่ติด พวกเขาล้วนส่งเทียบเชิญไป ทว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เป็นเรื่องเล็กๆ จำพวกบรรลุขั้นหลอมรวมช่วงกลางหรืออนุภรรยาของศิษย์ผู้สืบทอดให้กำเนิดบุตร ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าพวกเขายังส่งบัตรเชิญไปตามธรรมเนียม
จะทำอย่างไรดี? เปลี่ยนงานเลี้ยงอาหารเป็นงานเลี้ยงน้ำชาเสียเลย ทุกคนดื่มน้ำชานิดหน่อยแล้วพูดคุยกันก็พอ น้ำมีอยู่มากมาย อยากดื่มเท่าไรก็ดื่มไป ส่วนอาหารนั้นเลี้ยงไม่ไหวจริงๆ
“เอ๋ โชคดีจริงๆ คืนนี้ก็มีงานเลี้ยง บนนั้นเขียนว่า ศิษย์พี่เฉียนจงเหวินแห่งตำหนักเฟิงหลิ่วบรรลุขั้นหลอมรวมช่วงปลาย ดังนั้นจัดงานเลี้ยงเชิญทุกคนไปพบปะกัน” จินเฟยเหยากวาดตาดูบนป้ายหยก แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ
เฉียนจงเหวินนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยาเข้าหูแล้ว พลันรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง ก็แค่บรรลุขั้นหลอมรวมช่วงปลายไม่ได้บรรลุขั้นกำเนิดใหม่เสียหน่อยยังจะจัดงานเลี้ยงอีก ผู้ใดใช้ให้เจ้าทำตัวโดดเด่น แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี!
…………………………………
[1] ซือจุน เป็นคำเรียกอาจารย์อย่างเคารพ