คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 222 เหตุการณ์หายตัวไปที่เมืองเซียนเหม่ย
ทำกระเรียนเซียนฝูงหนึ่งหายไปอาจเป็นอุบัติเหตุ แต่เมื่อสัตว์ภูติหายตัวไปอย่างต่อเนื่อง แม้แต่สาเหตุก็ยังหาไม่พบ ต้องมีปัญหาแน่ๆ
ผู้อาวุโสตำหนักทั้งหมดในสำนักตงอวี้หวงมารวมตัวกันในตำหนักเซียวเทียน จู๋ซวีอู๋แห่งตำหนักซวีชิงยังไม่กลับมา ยังเป็นใบหน้าเดิมๆ ของคงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วสองคนที่มาแทนจู๋ซวีอู๋
บรรยากาศในห้องโถงประชุมหนักอึ้ง นอกจากตำหนักซวีชิง ผู้อาวุโสของตำหนักอื่นๆ ล้วนหน้าดำคร่ำเครียด คงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วย่อมไม่กล้าเผยสีหน้ายินดี ได้แต่ขมวดคิ้วทำหน้าอมทุกข์ สีหน้ายังอึมครึมน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่
ฉือชางเจินเหรินนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเจ้าสำนัก มองป้ายหยกในมือ ยิ่งดูสีหน้าก็ยิ่งปั้นยาก สุดท้ายเขาโยนป้ายหยกลงบนพื้นอย่างแรงและตวาดอย่างมีโทสะ “นี่เป็นการกระทำของผู้ใดกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะขโมยสัตว์ภูติในสายตาของสำนักตงอวี้หวงเรา นี่มันเรื่องอะไรกัน ถูกขโมยกรายถึงศีรษะแล้วยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย หรืออีกฝ่ายมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นแปลงจิตขึ้นไปจึงสามารถทำให้พวกเจ้าอับจนหนทางได้!”
ทุกคนล้วนมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ ถึงจะมีไม่กี่คนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ทว่าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ คิดไม่ถึงว่าจะให้คนมาขโมยสัตว์ภูติไปภายใต้เปลือกตา สีหน้าย่อมน่าเกลียดเป็นธรรมดา ทั้งยังถูกเจ้าสำนักตะคอกใส่อีก พวกเขายิ่งอับอายขายหน้าและเคียดแค้น
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านรีบคิดหาวิธีสิ ลูกเสือหยกขั้นหกคู่หนึ่งของข้าหายไปเมื่อวาน นั่นเป็นสิ่งที่ข้าใช้ทรัพย์สมบัติกว่าครึ่งซื้อกลับมาจากสถานประมูลนะ ตอนนี้แม้แต่เงายังหาไม่พบ” เมี่ยวอวี่เจินเหรินที่นั่งอยู่ด้านขวา เอ่ยด้วยสีหน้ากังวล
ฉือชางเจินเหรินด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี “เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่พกติดตัว มิได้หยดโลหิตหรือ ใช้จิตเชื่อมโยงค้นหาดูก็ได้แล้ว!”
เมี่ยวอวี่เจินเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ “ขังไว้ในถุงสัตว์ภูติตลอดเวลาไม่ได้ ต้องให้อออกกำลังบ้าง ไม่เช่นนั้นสัตว์ภูติจะไม่พอใจ อีกทั้งข้าไม่ได้ปล่อยสะเปะสะปะ ให้ศิษย์เฝ้าไว้ตลอด ตอนแรกยังทะเลาะกันอยู่หน้าข้า ต่อมามุดเข้าไปในพุ่มไม้ด้านข้างแล้วหายไปอย่างอธิบายไม่ได้”
“ใช้การรับรู้เชื่อมโยงค้นหาดูหรือยัง?” คิดไม่ถึงว่าจะขโมยสัตว์ภูติต่อหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ท่าทางพลังการบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่ายจะไม่ต่ำต้อย
เวลานี้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ชราที่มีรูปร่างผอมแห้งหนวดเครายาวหงอกขาวอีกคนหนึ่งกระแอมขึ้น “ใช้จิตใจเชื่อมโยงอะไร ข้าเคยใช้นานแล้ว ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ถ้ามิใช่ถูกอีกฝ่ายใส่ไว้ในพื้นที่มิติก็คือถูกฆ่าทันที”
เขาคือเหลียนเจิ้ง ผู้อาวุโสตำหนักชื่อรื่อแห่งยอดเขาชื่อรื่อ อย่าเห็นว่าเขาหน้าตาเหมือนยังมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ที่จริงนิสัยรุนแรงยิ่ง แมวบินได้ สัตว์พาหนะที่เขาเลี้ยงดูอย่างอุตสาหะจนเลื่อนขั้นได้สามครั้งก็หายไป เคยใช้จิตเชื่อมโยงค้นหาก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ขาดแมวสุดที่รักซึ่งนั่งจนชินตัวนี้ไป เขาก็มีโทสะจนแทบอยากฆ่าคน
“ฮึ” ในเวลานี้เอง ในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียน มีเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลนดังมา เป็นการราดน้ำมันบนกองไฟแท้ๆ ทุกคนเลื่อนสายตามองไป คิดจะดูสิว่าใครกำลังหัวเราะอย่างเย็นชา ไม่แน่ว่าสัตว์ภูติอาจจะถูกเขาขโมยไป
หลังจากเห็นชัดว่าเป็นใคร ทุกคนก็เบนสายตาออก ไม่คิดจะสบตากับดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วสีเลือดของคนผู้นี้
คนที่ส่งเสียงฮึ คือบุรุษที่ใส่ของตุงไปทั้งตัว ดูแล้วมีอายุเพียงสามสิบกว่าปี ดวงตาสองข้างดูเหมือนไม่เคยพักผ่อนมานานปี เป็นริ้วสีเลือดทั้งหมด
นี่คืออู๋หลงที่ชอบเลี้ยงสัตว์ภูติที่สุดในสำนักตงอวี้หวง ตลอดชีวิตชมชอบเพาะเลี้ยงสัตว์ภูติที่สุด แม้แต่สัตว์ภูติของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขึ้นไปจำนวนมากในสำนักล้วนซื้อมาจากเขา
สิ่งตุงๆ บนร่างของเขาทั้งหมดเป็นถุงสัตว์ภูติ ปกติอย่างน้อยที่สุดต้องพกสัตว์ภูติหลายร้อยตัว ในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง เขาเรียกสัตว์ภูติแปดร้อยกว่าตัวออกมาในคราวเดียว ใช้สัตว์ภูติตบอีกฝ่ายให้ตายทั้งเป็น ทว่าเรื่องของถูกโจรกรรมในครั้งนี้ อู๋หลงก็ถูกขโมย แต่ไม่รู้ว่าเขาสูญเสียสัตว์ภูติไปมากเพียงใด เพียงได้ยินว่าเสียหายไม่น้อย
ตอนนี้เขายังส่งเสียงฮึออกมาได้ ท่าทางจะมิได้สูญเสียเล็กน้อย แต่สูญเสียมากเกินไปจนบ้าไปแล้ว
ฉือชางเจินเหรินเอ่ยถาม “ศิษย์น้องอู๋ เจ้าเสียสัตว์ภูติไปมากเพียงใด?”
อู๋หลงหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชาแล้วเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ทั้งหมด!”
“อะไรนะ?” ทุกคนนึกว่าตนเองได้ยินผิด ฉือชางเจินเหรินก็ถามเพิ่มอีกประโยคหนึ่ง
“ทั้งหมด สัตว์ภูติขนาดใหญ่ของข้าทั้งหมดไม่เหลือหลอ แม้แต่ไข่ที่เก็บรักษาไว้ก็ถูกขโมยไปทั้งหมด แต่ข้าเดาความชอบของคนผู้นี้ออก เขาขโมยสัตว์ภูติที่มีเนื้อทั้งหมดของข้าไป แต่สัตว์ภูติจำพวกแมลงกลับไม่เอาไปแม้แต่ตัวเดียว” อู๋หลงเอ่ยด้วยสีหน้าเยียบเย็น
เวลานี้มีคนเอ่ยแทรกว่า “เจ้ายังโชคดี อย่างน้อยที่สุดยังเหลือสัตว์ภูติให้เจ้าบ้างดีกว่าไม่เหลือสักตัว แมลงมีจำนวนมากเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีสัตว์ภูติใช้ตอนจัดการกับคู่ต่อสู้”
“โชคดีอะไร! ขโมยของวิเศษของพวกเจ้าไปหมด จากนั้นเหลืออาวุธเวทกองหนึ่งไว้ให้ พวกเจ้ายังจะดีใจได้อยู่หรือ! ถ้าแมลงทั้งหมดร้ายกาจขนาดนั้น ข้ายังจำเป็นต้องเลี้ยงสัตว์ภูติอื่นๆ อีกหรือ!” อู๋หลงมีโทสะอย่างยิ่ง ใช้เสียงอันเยียบเย็นด่าทอ
“จริงสิ ดูเหมือนจะไม่ได้ยินว่าตำหนักซวีชิงมีสัตว์ภูติหาย อีกทั้งตำหนักซวีชิงของพวกเจ้ามีอยู่คนหนึ่งที่น่าสงสัย สัตว์ภูติเหล่านี้คงไม่ได้ถูกนางจับไปกินหมดหรอกนะ” เวลานี้พลันมีผู้บำเพ็ญเซียนเอ่ยถึงเรื่องนี้ หัวใจของคงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วกระตุกวูบ ทว่าสงบลงในพริบตา
คงจู๋อู๋ยืนขึ้นและประสานมือคำนับทุกคน เอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “ผู้อาวุโสทุกท่าน ตำหนักซวีชิงของเราไม่มีสัตว์ภูติหายไปจริงๆ นั่นเป็นเพราะไม่มีให้หาย นอกจากสัตว์หมิงเฟิงที่เฝ้าเตาหลอมยาซึ่งศิษย์น้องคงจู๋โหย่วเลี้ยงไว้ ก็มีเพียงกระต่ายที่ศิษย์คนหนึ่งเลี้ยงไว้ดูเล่นไม่กี่ตัว อีกทั้งสัตว์หมิงเฟิงตัวนั้น ศิษย์น้องของข้าพกติดตัวไว้ตลอด ไม่กล้าปล่อยให้มันเฝ้าเตาหลอมยาแล้ว”
“ไม่ใช่พวกเจ้าไม่มีสัตว์ภูติ แต่สาเหตุเนื่องจากกระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังต่างหาก” อู๋หลงสงสัยพวกเขาอยู่นานแล้ว เวลานี้เหลือบมองคงจู๋อู๋แล้วเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
คงจู๋อู๋ส่ายศีรษะ “ไม่มีจริงๆ ศิษย์คนอื่นๆ อย่างมากก็มีสัตว์ภูติขั้นหนึ่งขั้นสอง สัตว์ภูติแบบนี้ตนเองยังไม่ต้องการ โยนทิ้งไว้บนยอดเขาซวีชิงให้วิ่งไปทั่ว ไม่รู้ว่าหายไปหรือถูกโจรจับตัวไป เนื่องจากไม่มีค่าดังนั้นจึงไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ ถ้าทุกคนไม่เชื่อสามารถไปดูที่ตำหนักซวีชิงได้”
“แล้วสตรีที่ชื่อจินเฟยเหยาเล่า!” อู๋หลงจ้องมองคงจู๋อู๋ราวกับคิดจะมองทะลุคำโกหกของเขา
คงจู๋อู๋ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “นางใกล้จะกินจนตำหนักซวีชิงล่มจมแล้ว ข้ากำลังคิดว่าไม่กี่วันนี้จะให้ศิษย์ออกไปขายของวิเศษสักหลายชิ้นแลกศิลาวิญญาณมาซื้อสิ่งของกรอกท้องจำพวกหลิงกู่กลับมาให้นางกิน”
ที่จริงจินเฟยเหยาไม่เคยกินหลิงกู่ของพวกเขาแม้แต่เม็ดเดียว ทุกคนหลบอยู่ในการป้องกันของตนเองและทำอาหารทั้งวัน ไป๋เจี่ยนจู๋กลายเป็นเด็กรับใช้วิ่งเต้นมารายงานร่องรอยของนางที่ตำหนักซวีชิงทั้งวัน
“หลายวันนี้นางเคยกินเนื้อลับหลังพวกเจ้าหรือไม่ พบพวกกระดูกสัตว์ หนัง ขน อะไรหรือไม่?” เมี่ยวอวี่เจินเหรินเอ่ยถามอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน
“เรียกนางมาถามดูตรงๆ เถอะ ดูสิว่านางจะกล้าพูดโกหกต่อหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มากมายขนาดนี้หรือไม่!”พอมีคนเอ่ยเสนอแนะเช่นนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนทันที ต้องการให้ตำหนักซวีชิงเรียกจินเฟยเหยามาสอบถามที่นี่
คงจู๋อู๋เอ่ยอย่างลำบากใจ “ผู้อาวุโสทุกท่าน จินเฟยเหยาไม่อยู่ ศิษย์สตรีที่ชื่ออวี้จูแห่งตำหนักตงไถ ระยะนี้มักมาหานางบ่อยๆ เช้าวันนี้ก็เรียกนางออกไป บอกว่าจะไปซื้อของที่เมืองเซียนเหม่ย”
“เมืองเซียนเหม่ย?” สถานที่นั้นอย่างน้อยที่สุดต้องวันพรุ่งนี้จึงสามารถกลับมาได้” ทุกคนไม่พอใจอย่างยิ่ง ไม่ออกไปเร็ว ไม่ออกไปช้า เหตุใดจึงออกไปวันนี้ ผู้อาวุโสของตำหนักตงไถถูกสายตากินคนสิบกว่าสายกวาดมาถึงในพริบตา
ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย มองข้าทำไม! หานเฟิงเฉิน ผู้อาวุโสแห่งตำหนักตงไถตำหนิในใจอย่างอารมณ์ไม่ดี เมืองเซียนเหม่ยเป็นสถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากสำนักตงอวี้หวงสี่ห้าชั่วยาม เป็นมืองขนาดไม่เล็กนัก คนของหลายสิบสำนักรอบด้านล้วนมาซื้อขายสิ่งของที่นี่
ทว่าตั้งแต่หนึ่งร้อยกว่าปีก่อน รอบเมืองเซียนเหม่ยมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหายตัวไปอย่างอธิบายไม่ได้ติดต่อกัน ส่งคนออกไปค้นหาก็ไม่ได้ความเลยสักนิด แค่สำนักตงอวี้หวงสำนักเดียวก็มีศิษย์สตรีขั้นฝึกปราณหายตัวไปสามคนแล้วทำให้ทุกคนไม่สบายใจ สุดท้ายบรรดาสตรีที่ไปเมืองเซียนเหม่ยก็นัดหมายผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษไปด้วย
ต่อมาคนที่หายสาบสูญมีจำนวนน้อยลง หนึ่งปีปรากฏขึ้นเพียงสองครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีสำนักหลายสิบสำนักร่วมแรงค้นหาอีก อวี้จูคิดจะมาเมืองเซียนเหม่ย แต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงเรียกจินเฟยเหยาที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมมาด้วย
หลักๆ ยังเป็นเพราะความสัมพันธ์กับเฟิงอวิ๋นจู๋ อวี้จูมักจะมาหาจินเฟยเหยาบ่อยๆ คิดจะตีสนิทกับนาง จากนั้นให้จินเฟยเหยาช่วยพูดคำพูดดีๆ ต่อหน้าเฟิงอวิ๋นจู๋มากๆ หน่อย
จินเฟยเหยาไหนเลยจะมีเวลาว่าง ทุกวันต้องจัดการขโมยสัตว์ภูติไม่ว่างสนใจนางเลยสักนิด แต่อวี้จูรู้ว่าจินเฟยเหยาชอบอะไร ทุกครั้งที่มาต้องนำอาหารที่ใช้วัตถุดิบดีๆ มาหลายถัง จินเฟยเหยาเห็นแก่สิ่งของเหล่านี้จึงรับปากนาง
ครั้งนี้นางต้องไปเมืองเซียนเหม่ยเป็นเพื่อนอวี้จู นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนสำนักตงอวี้หวงที่เฝ้าสัตว์ภูติอย่างแน่นหนาทำให้นางขโมยสิ่งของไม่ได้มาสามวันแล้ว นางยังคิดจะขายวิญญาณมังกรหลายตัวแลกเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลางเล็กน้อย
แต่สถานการณ์ในตอนนี้คืออะไร? จินเฟยเหยาเพิ่งสอบถามราคาตลาดของวิญญาณมังกรเสร็จสิ้น และเดินออกจากร้านกับอวี้จู ข้างกายมีเงาคนวาบผ่าน อวี้จูก็หายไปจากด้านหลังนาง
ชิงตัวผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกลางถนน เห็นข้าเป็นคนตายหรือ? จินเฟยเหยาเห็นเงาร่างนั้นหายเข้าไปในตรอกเล็กๆ ด้านข้าง อดไล่ตามไปอย่างเดือดดาลไม่ได้
เงาดำรวดเร็วถึงขีดสุดและคุ้นเคยกับภูมิประเทศเป็นอย่างดี วนอยู่ในตรอกน้อยหลายรอบจึงสลัดจินเฟยเหยาทิ้งไว้ในซอยตันแห่งหนึ่ง
เห็นซอยตันนี้ จินเฟยเหยาก็หงุดหงิด อวี้จูถูกคนลักพาไปภายใต้หนังตาของตนเอง ตนเองกลับไปคนเดียวดูเหมือนจะขายหน้าเกินไป ที่จริงสาวน้อยตัวอวบอ้วนคนนั้นเป็นคนไม่เลวทั้งยังดีต่อศิษย์พี่เฟิง ถ้าศิษย์พี่เฟิงคิดจะแต่งงานกับนาง แล้วตนเองพบเห็นการตายโดยไม่ช่วยเหลือ มิเอาวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจของศิษย์พี่เฟิงมาเปล่าๆ หรือ
คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาเรื่องข้า ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร สองนิ้วของจินเฟยเหยาลูบผ่านดวงตา ในดวงตาวาบแสงสีขาว ซอยตันเบื้องหน้าในดวงตาของนางก็ปรากฏกุญแจการป้องกันที่ไหวกระเพื่อม
“ที่นี่มีการป้องกันซ่อนอยู่จริงๆ ด้วย เวทค้นวิญญาณของอาปู้ใช้ได้ดีจริงๆ ข้าจะดูสิว่าเป็นผู้ใดจึงกล้าขนาดนี้ ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่สวมชุดของสำนักตงอวี้หวงก็ยังกล้าลักพาตัวไป” จินเฟยเหยามองประตูการป้องกันที่ส่งแสงสีขาวจางๆ แห่งนี้ หยิบวัตถุสะเดาะกุญแจจากกำไลเฉียนคุนออกมา เตรียมใช้เวทสะเดาะกุญแจที่อาปู้สอนเปิดกุญแจการป้องกันอันนี้
………………………………….