คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 236 มีคนสู้กัน
ฉือชางเจินเหรินจึงนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้มอบตานสัตว์ปิศาจและจดหมายที่ต้องส่งให้จินเฟยเหยา พลิกมือวูบ ป้ายหยกชิ้นหนึ่งและกระเป๋าเก็บของอันงามประณีตใบหนึ่งก็ปรากฏบนมือ
“รับไป บนป้ายหยกมีการป้องกัน เจ้าไม่ต้องแอบดู เพียงมอบให้หวังโหยวหลิงแห่งเมืองซันจือก็พอ หวังโหยวหลิงรับผิดชอบดูแลเขตเหมืองวิญญาณที่เมืองซันจือ สามารถหาตัวเขาพบได้ง่ายมาก” เอ่ยจบ ฉือชางเจินเหรินก็โยนสิ่งของในมือให้จินเฟยเหยา
เขตเหมืองวิญญาณ! จินเฟยเหยามีกำลังใจ ได้มาโดยไม่เปลืองแรง[1]จริงๆ นางตัดสินใจว่า ต้องไปส่งจดหมายนี้ถึงโลกระดับเทพให้ได้
จากนั้นนางโยนป้ายหยกใส่ในถุงเฉียนคุนโดยไม่มองเลยสักนิด เพียงหยิบกระเป๋าเก็บของขนาดเล็กมาดูด้านใน จากนั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ในนี้มีเพียงตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นและตานสัตว์ปิศาจขั้นหกห้าสิบเม็ด แต่ไม่มีศิลาวิญญาณชั้นกลาง”
“ศิลาวิญญาณ?” ฉือชางเจินเหรินนิ่งอึ้ง ย้อนนึกดูจึงจำได้ เมื่อวานในตอนแรกเคยบอกว่าจะให้ศิลาวิญญาณชั้นกลางหนึ่งพันก้อน ต่อมานางกับลั่วฝานเจินเหรินต่อรองจำนวนตานสัตว์ปิศาจอยู่นาน ทำให้ทุกคนลืมศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อนนี้ไป
“เหยียนถง ไปนำศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อนมา” ฉือชางเจินเหรินบอกศิษย์ขั้นฝึกปราณคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุม
เด็กน้อยที่ดูไปเพิ่งอายุสิบเอ็ดสิบสองปีพยักหน้าแล้วเดินไปด้านหลัง ครู่หนึ่งเขาก็นำกระเป๋าเก็บของที่บรรจุศิลาวิญญาณออกมามอบให้จินเฟยเหยา
จินเฟยเหยารับกระเป๋าเก็บของมาดูแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มตาหยี พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าจะออกเดินทางแล้ว ท่านรักษาตัวด้วย ถ้ามีเวลาว่างข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่าน เอาของขวัญจากโลกระดับเทพมาให้”
ฉือชางเจินเหรินหลับตาโบกไม้โบกมือ เพียงหวังให้นางรีบไปโดยเร็ว อย่าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าตนเองอีก
หลังจากกล่าวอำลาฉือชางเจินเหริน จินเฟยเหยาที่เดินออกจากตำหนักเซียวเทียนก็มองเหรินเยี่ยนที่ติดตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเย็นชา นางเหล่ตามองพลางบอกว่า “ข้าจะไปทันที เจ้าเล่า?”
“ข้าจะกลับไปเก็บของสักครู่” เหรินเยี่ยนตอบ เขามาแล้วจึงรู้ว่าตนเองต้องไปหอฉีเทียนเป็นเพื่อนสตรีผู้นี้ ที่แท้เป็นเรื่องอะไร เขาก็ไม่รู้กระจ่างชัด ตอนนี้ย่อมต้องย้อนกลับไปถามอาจารย์
จินเฟยเหยาเท้าสะเอว เอ่ยอย่างหมดความอดทน “เจ้าต้องรีบหน่อยล่ะ ไม่เช่นนั้นฟ้าจะมืด ข้ารีบ”
เหรินเยี่ยนมองนางแวบหนึ่ง ไม่คิดจะถือสานาง หมุนตัวกลับไปด้านหลังของตำหนักเซียวเทียน แล้ววนกลับเข้าตำหนักเซียวเทียนจากด้านหลัง
ส่วนฉือชางเจินเหรินยังรอคอยเขาอยู่ เห็นเหรินเยี่ยนกลับมาก็บอกเขาว่า “เหรินเยี่ยน เจ้าจับตาดูนางให้ดี ต้องเห็นนางขึ้นเรือไปโลกระดับเทพด้วยตาตนเอง ตลอดทางไม่ว่านางจะทำอะไร ขอเพียงไม่กระทบถึงการเดินทางก็ไม่ต้องไปสนใจนาง นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าจดจำเอาไว้”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไป แต่ครั้งนี้ข้าคิดหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ เจ้าก็ฝืนใจหน่อย สามารถขับไล่นางไปได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด” ฉือชางเจินเหรินมองสีหน้าเหรินเยี่ยนก็รู้ว่าเขาไม่ยินดี แต่จินเฟยเหยาจะไปเดี๋ยวนี้ นอกจากเขาแล้วไม่มีตัวเลือกอื่นจริงๆ หากมิใช่เกรงว่าจินเฟยเหยาจะหนีไปกลางทาง เขาก็ไม่อยากหาคนมาเดินทางเป็นเพื่อนให้ยุ่งยากขนาดนี้
จากนั้นฉือชางเจินเหรินก็กำชับเหรินเยี่ยนอีกหลายประโยค ให้เขาระวังป้องกันตนเอง ยิ่งพูดจาก็ยิ่งมากความ พูดอยู่นานจึงปล่อยเหรินเยี่ยนไป
รอเหรินเยี่ยนกลับไปเก็บสัมภาระเดินทาง และสั่งความกับศิษย์น้อยที่ตนเองรับไว้ เมื่อมาถึงประตูตำหนักเซียวเทียนก็เห็นจินเฟยเหยาพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สองมือกอดอก ในปากเคี้ยวอะไรบางอย่างกร้วมๆ เขย่าเท้าข้างหนึ่งอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าหมดความอดทนอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่เหริน ท่านชักช้าเกินไปแล้วนะ ตั้งแต่ข้าจากไปจนเก็บของ ทั้งยังไปอำลาศิษย์ทั้งหมดของตำหนักซวีชิงทีละคนใช้เวลาไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ท่านแค่ไปส่งข้า ไม่ต้องไปโลกระดับเทพ ถึงกับใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ หรือท่านฉวยโอกาสใช้เวลานี้ไปบำเพ็ญคู่ในถ้ำเซียน?”
“เจ้า!” เหรินเยี่ยนถลึงตาใส่จินเฟยเหยา ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงไม่หยุด ดูแล้วเดือดดาลสุดขีด
อ้อ เป็นคนโมโหง่าย เห็นเจ้าพูดจาเย็นชาใส่ข้า ตลอดทางจะทำให้เจ้ามีโทสะจนเกินพอ จินเฟยเหยาแอบหัวเราะในใจ ที่จริงนางใช้เวลาไปสองชั่วยาม ที่พูดแบบนี้เพื่อจงใจทำให้เหรินเยี่ยนมีโทสะ เห็นเหรินเยี่ยนมีโทสะจนเป็นแบบนี้ นางก็สบายใจสุดๆ
“ข้าอะไร รีบไปเถอะ ฟ้าจะมืดแล้ว ต่อให้พวกเราเป็นผู้บำเพ็ญเซียนไม่ต้องนอนหลับก็ล่าช้าเพราะเหตุนี้ไม่ได้” จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขา โยนพรมบินออกมาแล้วขึ้นไปนั่ง ไม่เอ่ยอะไรกับเหรินเยี่ยนก็บินออกไป
ถ้าไม่ใช่คำสั่งอาจารย์ เหรินเยี่ยนคงสะบัดหน้ากลับไปแล้ว เขากัดฟันกล้ำกลืนโทสะนำกระบี่บินกว้างสองนิ้วมือเล่มหนึ่งออกมาและเหยียบกระบี่บินไล่ตามไป
ทั้งสองคนพุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ของสำนักตงอวี้หวง และเดินเป็นระยะทางสั้นๆ ตรงประตูไม่กี่ก้าว หลังออกจากการป้องกันก็ก้าวขึ้นของวิเศษเหาะไปไกล ครู่หนึ่งก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
บนยอดเขาลูกหนึ่งที่ใกล้กับประตูสำนักของสำนักตงอวี้หวง ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่บนหน้าผาเงียบๆ มองส่งจินเฟยเหยาจากไป
“ข้าว่านะศิษย์น้องไป๋ เจ้าอยากไปส่งผู้อื่นก็ไปส่งอย่างสง่าผ่าเผย จะยืนมองอยู่ตรงนี้ทำไม คนไปลับสายตาแล้ว” เฟิงอวิ๋นจู๋นั่งอยู่บนหน้าผาเล่นขวดแก้วโปร่งใสใบหนึ่งในมือ
ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยอย่างชืดชา “ข้าเพียงแค่อยากแน่ใจว่านางจากไปจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่พูดว่าจากไป ที่จริงหลบอยู่สถานที่ใดสักแห่งก่อเรื่องเดือดร้อนให้พวกเราต่อ”
เฟิงอวิ๋นจู๋มองเขาอย่างตกตะลึง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์น้องเล็กมีนิสัยไม่เลว เหตุใดเจ้าจึงคิดกับนางเช่นนี้ ข้ากึ่งขายกึ่งมอบวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจให้นางชุดหนึ่งที่เมืองลั่วเซียน จนถึงตอนนี้นางยังจำได้ เจ้าดูสิ นี่คือวิญญาณมังกรขั้นหกสองตัวที่นางมอบให้ข้า ข้ายังไม่ได้คิดเลยว่าจะใช้กับวงเวทอะไร”
ไป๋เจี่ยนจู๋มองเฟิงอวิ๋นจู๋แวบหนึ่ง เขากำลังถือขวดแก้วที่มีวิญญาณมังกรสองตัวเป็นประกายในมืออย่างกระหยิ่มยินดี
“ศิษย์พี่เฟิง วิญญาณมังกรสองตัวก็ซื้อท่านได้แล้วหรือ กลับเถอะ ในที่สุดก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ได้เสียที” ไป๋เจี่ยนจู๋สะบัดแขนเสื้อจากไป ทิ้งเฟิงอวิ๋นจู๋ไว้เบื้องหลัง
“รอข้าด้วย จะรีบไปทำไม” เฟิงอวิ๋นจู๋หัวเราะแล้วก้าวขึ้นเหยียบไผ่วั่นคงไล่ตามไปติดๆ
ราตรีอันยาวนาน ท้องนภาที่มีผู้บำเพ็ญเซียนยอดเยี่ยมอย่างแปลกประหลาด นอกจากท้องฟ้าพร่างดาว ยังมีของวิเศษที่มีแสงสีงดงามตระการตาแหวกอากาศไปเป็นสายๆ ในแสงสีเหล่านั้นก็มีจินเฟยเหยาและเหรินเยี่ยนที่มีสีหน้าเหมือนเร่งเดินทางกลับไปจัดงานศพ
“ศิษย์พี่เหริน ยามราตรีไม่หลับใหล ท่านมาร้องสักเพลงให้รื่นเริงหน่อยดีหรือไม่?” จินเฟยเหยานั่งบนพรมบิน มือซ้ายถือจอกสุราเล็กๆ บนพรมบินมีถั่วลิสงคั่วและเนื้อสัตว์กับเต้าหู้แห้งนิดหน่อย ดื่มสุราลงท้องหนึ่งคำ จากนั้นก็กินถั่วลิสง นางนั่งหันหน้าให้เหรินเยี่ยนที่ขี่กระบี่บินแคบๆ อยู่ไม่ไกลนักพลางยิ้มตาหยี
เหรินเยี่ยนแค้นจนกัดฟันกรอดๆ ถลึงตาใส่นางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นจึงเบือนหน้าไปไม่สนใจนาง
ตานสัตว์ปิศาจในท้องกำลังถูกดูดซับอย่างช้าๆ ตอนนี้จินเฟยเหยากินอาหารเพราะติดปาก ทว่าตลอดทางสามารถทำให้เหรินเยี่ยนผู้น่าชังมีโทสะได้ สบายใจจริงๆ
จากสำนักตงอวี้หวงมาถึงสำนักฉีเทียน ถ้าเหยียบของวิเศษบินได้ใช้เวลาเพียงสิบกว่าวันก็ถึง จินเฟยเหยาคำนวณดู ยังห่างจากวันที่เรือออกเดินทางอยู่มาก จึงไม่รีบร้อนไปสำนักฉีเทียน
ตลอดทางนางไปๆ หยุด ชักช้าอืดอาดจึงทำให้เหรินเยี่ยนหงุดหงิด วันนี้ในที่สุดก็ทนจนทนไม่ไหว เตรียมด่าทอนางสักยก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็สู้กันสักรอบ ใครแพ้คนนั้นต้องเชื่อฟัง
ในขณะที่เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกำลังจะด่าทอ ท้องฟ้าพลันมีแสงสีเหลืองเสียดแทงนัยน์ตาวาบขึ้น ตามมาด้วยเสียงตูมดังสนั่น ทั้งสองคนเบิกตาโตมองดูสถานที่ที่มีเสียงดังมา ก็เห็นคลื่นการโจมตีกวาดมาด้วยตาเนื้อ ไม่รอให้จินเฟยเหยาเก็บหม้อไฟที่กำลังแขวนอยู่บนพรมบิน นางก็ถูกคลื่นโจมตีในการต่อสู้ครั้งนี้กระแทกลอยไปหลายร้อยจั้ง
“ร้อนลวกแทบตายแล้ว!” จินเฟยเหยาดึงหม้อบนศีรษะลงมา แล้วลุกขึ้นยืนท่ามกลางเศษหินและพุ่มไม้ คลื่นการโจมตีเมื่อครู่แข็งแกร่งเกินไปทำให้พรมบินพลิกคว่ำทันทีน้ำแกงร้อนๆ ในหม้อราดรดใส่ศีรษะนางทั้งหมด โชคดีที่จินเฟยเหยาเนื้อหนังหยาบหนา เพียงรู้สึกร้อนลวกแต่ไม่ถูกลวกจนบาดเจ็บ
จินเฟยเหยาสลัดหม้อทิ้งและมองไปรอบด้าน พั่งจื่อและต้านิวไม่รู้ว่าลอยไปที่ใดแล้ว เหรินเยี่ยนก็ไม่รู้ว่าไปทางใด ต้องถูกคลื่นการโจมตีเมื่อครู่พัดลอยไปแน่ๆ มองรอบด้านอีกครั้ง ต้นไม้ทั้งหมดถูกพัดร่วงลงกับพื้น บนพื้นปรากฏร่องลึกหลายสาย ข้างร่องเรียบลื่นราวกับถูกยอดฝีมือฟันออกมาในดาบเดียว เพียงแต่รอยกระบี่ใหญ่เกินไป ยาวถึงสิบกว่าจั้งเต็มๆ แค่บนพื้นเบื้องหน้าจินเฟยเหยาก็มีรอยกระบี่เช่นนี้เจ็ดแปดรอย
“นี่คือปราณกระบี่ของผู้ใด คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้ ไร้คุณธรรมมากไปแล้ว ใช้กระบวนท่าแบบนี้สุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร ถ้าพลั้งมือสังหารคนที่ผ่านมาจะทำอย่างไร” จินเฟยเหยาตกใจอย่างยิ่ง เงยหน้าขึ้นมองไปยังสถานที่ที่มีเสียงดังมา
ทางนั้นยังมีเสียงตูมๆ ดังมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นโจมตีก็กวาดมาไม่หยุด เพียงแต่ไม่ดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้อยู่ห่างไกลอานุภาพกดดันก็กระแทกมาบนร่างของนางราวกับคลื่นทะเล
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่…อานุภาพกดดันเหล่านี้เป็นของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ จินเฟยเหยามั่นใจว่าเบื้องหน้าอย่างน้อยต้องมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนกำลังต่อสู้กัน อันตรายมาก อ้อมทางไปดีกว่า จินเฟยเหยาครุ่นคิด จากนั้นจึงค้นหาต้านิวและพั่งจื่อ เหรินเยี่ยนเพียงแค่ร่วมทางมาชั่วคราว ถ้าเขาถูกรอยกระบี่เหล่านี้ฟันตายก็ดีสิ
หลังจากค้นหาในพื้นที่หนึ่งหลี่ นางจึงพบเหรินเยี่ยนเดินนำพั่งจื่อและต้านิวมา เห็นเขาไม่บุบสลายสักนิด ทว่าตนเองถูกหม้อคว่ำใส่ จินเฟยเหยาอดเบือนหน้าไปส่งเสียงขึ้นจมูกไม่ได้
“ทางนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กำลังต่อสู้กัน พวกเราอ้อมทางไปดีกว่า ถ้าอย่างไรกลับไปเมืองเล็กๆ ที่เพิ่งผ่านมาก่อนและพักผ่อนสักหลายวัน รอพวกเขาสู้กันจบแล้วพวกเราค่อยออกเดินทาง” จินเฟยเหยาเสนอแนะ
เหรินเยี่ยนมองนางอย่างเย็นชา เอ่ยวาจาเหน็บแนม “เจ้าคงไม่ได้คิดจะไม่ไปโลกระดับเทพหรอกนะ อย่าหาข้ออ้างหน่อยเลย เจ้าก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเราอ้อมไปข้างๆ อย่างระมัดระวังหน่อยก็พอ ถึงอย่างไรก็ห่างจากสำนักฉีเทียนไม่ไกลนัก ถ้าเจ้าคิดจะพักผ่อน ก็รีบไปให้ถึงสำนักฉีเทียนเร็วหน่อยแล้วพักผ่อนที่นั่นคงเพียงพอ”
“จริงๆ เลย ทำไมเจ้าถึงพูดด้วยยากขนาดนี้” จินเฟยเหยามิใช่ไม่อยากไปโลกระดับเทพ ทว่าไม่คิดจะอยู่ที่หอฉีเทียนนานนัก
ทางที่ดีขึ้นเรือในนาทีสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทาง จากนั้นหาผ้าโปร่งคลุมหน้าสักผืน ถึงอย่างไรตอนนั้นคนของสำนักฉีเทียนก็เป็นฝ่ายมาตามหานางก่อน ถ้าในสำนักมีคนที่ยึดมั่นอย่างผิดปกติ และยังค้นหานางมาร้อยปีโดยไม่ลืมเลือน มิบังเอิญมาเจอพอดีหรือ
………………………………
[1] ได้มาโดยไม่เปลืองแรง หมายถึง ได้มาโดยบังเอิญ