คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 237 น้องสยง
จินเฟยเหยาเรียกพรมบินกลับมาอย่างไม่ยินยอม พากบสองตัวขึ้นไปนั่งและติดตามด้านหลังเหรินเยี่ยนอ้อมชายขอบคลื่นการโจมตีไปข้างหน้าด้วยสีหน้าอมทุกข์
จินเฟยเหยาก้มหน้าลงมองพรมบินใต้ร่าง พลันสังเกตเห็นว่าพรมบินมีลวดลายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้อย่างไร นางมองดูอย่างละเอียดและใช้เล็บขูดจึงเข้าใจ นี่เป็นลวดลายที่ไหน นี่เป็นเศษเนื้อและน้ำเชื่อมจากอาหารที่นางกินบนพรมบินมานานปี ยังมีรอยของสุราและน้ำแกง บางแห่งถึงกับเปื้อนน้ำผลไม้เป็นแถบใหญ่
“ต้านิว คราบพวกนี้…ซักออกหรือไม่?” จินเฟยเหยารู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าของวิเศษบินได้จะสกปรกขนาดนี้ คิดถึงเสื้อผ้าของตนเองที่ปกติต้านิวเป็นคนซัก เสื้อผ้าก็หลอมสร้างขึ้น คาดว่าพรมบินผืนนี้ก็น่าจะซักได้
พอต้านิวได้ยินก็ก้มหน้าลงพินิจพรมบินอย่างละเอียด ทันใดนั้น ต้านิวก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยน ปราณสัตว์ปิศาจทะลักออกมา
“ทำไมหรือ?” จินเฟยเหยามองมันอย่างงุนงง เหตุใดจึงมีโทสะขึ้นอย่างกะทันหัน หรือว่าพบศัตรู?
“อ๊บๆๆ!” ต้านิวกระทืบพรมบินแล้วร้องอ๊บๆ ท่าทางเดือดดาลอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาไหนเลยจะฟังความหมายของมันออก กับพั่งจื่อปกติก็ใช้เดาจากคำพูดและการกระทำ ครั้งนี้จึงได้แต่มองต้านิวมีโทสะสูงเสียดฟ้าตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่ามันกำลังทำอะไร
ในเวลานี้เอง พั่งจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ชี้คราบสกปรกบนพรมบินแล้วมองจินเฟยเหยาจากนั้นแย้มยิ้มอย่างยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น
“นิสัยรักสะอาดเกินไป!” จินเฟยเหยารู้แจ้ง เข้าใจสาเหตุที่ต้านิวเดือดดาลทันที คิดไม่ถึงว่ากบตัวนี้จะรักสะอาดเกินไป รังเกียจที่พรมบินสกปรก
“จริงๆ เลย พรมบินเป็นของข้า ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า ตอนนี้เจ้ามีระดับขั้นสูงแล้วยังเจ้าอารมณ์ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าด่าทอข้า พรมบินผืนนี้เจ้าก็นั่งอยู่ทุกวัน ถ้าเจ้ารังเกียจว่าสกปรกจริงๆ เหตุใดนั่งมาร้อยปีจึงมองไม่เห็น อีกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าแค่ไม่ได้ซักมาหนึ่งร้อยกว่าปีเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าต้องซักของวิเศษบินได้ด้วย” จินเฟยเหยาล้วงหู เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
พอคำพูดนี้ออกมา ต้านิวหมุนตัวไปตบพั่งจื่อที่ยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นอยู่ข้างๆ จากนั้นก็พุ่งมาเตะจินเฟยเหยาหลายครั้ง ทุบตีจนนางรับมือไม่ทัน
“เจ้าทำอะไร บ้าไปแล้วหรือ!” จินเฟยเหยาใช้หมัดต่อยต้านิวคว่ำ จากนั้นเหยียบบนท้องของมันแล้วด่าอย่างกระหืดกระหอบ
ต้านิวยังตบพรมบินร้องอ๊บๆ วุ่นวายดังเดิม ฉวยโอกาสที่จินเฟยเหยาไม่ทันได้ตั้งตัว ใช้ลิ้นกบตวัดไปพันคอของจินเฟยเหยาไว้ราวกับสายฟ้าและต่อสู้กันขึ้นมา
เหรินเยี่ยนเห็นพวกนางต่อสู้กัน กลับมองดูอยู่ข้างๆ เสียงการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทางด้านขวายิ่งมายิ่งดังขึ้น ท่าทางจะอยู่ห่างไม่ไกล ยายนี่ยังมีเวลาว่างมาต่อสู้กับสัตว์ภูติของตนเองอีก ปัญญาอ่อนจริงๆ
“พอแล้ว! อย่าทะเลาะกัน ถ้าจะทะเลาะกันพวกเจ้าไปต่อสู้จนพลิกฟ้าคว่ำดินที่โลกระดับเทพก็ไม่มีใครยุ่งเกี่ยว! ถ้ายังสู้กันอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” เหรินเยี่ยนตวาดเสียงเข้มงวดอย่างเดือดดาล
จินเฟยเหยาใช้เท้าเตะต้านิวออกไป เอ่ยพลางหอบหายใจ
“พอแล้ว นั่งไปก่อนชั่วคราว อีกไม่กี่วันข้าจะหลอมสร้างมันขึ้นใหม่อีกรอบ และเอาสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกทั้งหมด! ก็มันสกปรกไปแล้ว จำเป็นต้องทุบตีคนอื่นด้วยหรือ จริงๆ เลย”
ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยา ต้านิวจึงส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างแค้นเหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากในกระเป๋าเก็บของที่จินเฟยเหยาให้มันแล้วปูรองใต้ก้นจึงฝืนใจนั่งลงได้
เหรินเยี่ยนมองการกระทำของต้านิวอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่านี่เป็นสัตว์ปิศาจอะไร คงเป็นท่านป้าที่ห่มหนังกบเสียแปดส่วน
“ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกสัตว์ภูติของตนเองทุบตีเนื่องจากของวิเศษสกปรกคงมีแต่ข้า” จินเฟยเหยาส่ายหน้า ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ต้านิวยิ่งเหมือนแม่นมจอมเข้มงวดเข้าไปทุกที
“รีบไปเถอะ” เหรินเยี่ยนเอ่ยเสียงเย็นชา เพียงคิดจะไปให้ถึงสำนักฉีเทียนเร็วๆ ส่งเจ้าบ้าสามคนขึ้นเรือ ไสหัวไปให้ยิ่งไกลยิ่งดี
“รู้แล้ว เจ้าไม่บอกข้าก็ไปได้” จินเฟยเหยาเบ้ปากตอบรับอย่างไม่พอใจ นางค้นตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่าเหอเทาออกมาเม็ดหนึ่ง เบือนหน้าไปด้านข้างหันหลังให้สายตาของเหรินเยี่ยนแล้วโยนใส่ปาก
ตานสัตว์ปิศาจขั้นหกหนึ่งเม็ด กินลงไปสามารถทำให้อิ่มได้สามถึงห้าวัน ยิ่งเป็นเวลานี้ จินเฟยเหยายิ่งคิดถึงตานสัตว์ปิศาจหนึ่งล้านเม็ดที่ถูกจอมมารหลงแย่งชิงไปเป็นของตนเอง ในสมองของนางมักจะปรากฏภาพจอมมารหลงยกชามขนาดใหญ่ ในนั้นเต็มไปด้วยตานสัตว์ปิศาจกองพูน จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบพุ้ยตานสัตว์ปิศาจกลืนลงไปราวกับพุ้ยข้าว
ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่เช่นนั้นทำไมเขาต้องหลบไปกินในห้อง ทว่าไม่ออกมาข้างนอก ฮึ จินเฟยเหยานึกถึงแล้วก็เดือดดาล กัดตานสัตว์ปิศาจหลายครั้งอย่างแรง
ใส่ตานสัตว์ปิศาจขนาดเทาเหอเทาลงในปาก กินแล้วไม่สะดวกอย่างยิ่ง ต่อให้จินเฟยเหยาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน นางก็ไม่อยากถูกตานสัตว์ปิศาจติดคอตาย
เหรินเยี่ยนนึกว่าจินเฟยเหยาแอบกินอาหารลับหลังเขา ต่อให้เขามีภูมิความรู้กว้างขวาง มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี ก็คงคิดไม่ถึงว่ามีคนกินตานสัตว์ปิศาจด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่หลอมใส่ในยา
จินเฟยเหยากินตานสัตว์ปิศาจพลางนั่งพรมบินติดตามเหรินเยี่ยนเข้าไปใกล้สถานที่ที่มีคนต่อสู้กันอย่างช้าๆ ถึงจะอ้อมไป อาศัยสายตาของพวกเขาก็ยังสามารถมองเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนมีขนาดสูงเพียงนิ้วมือได้ไกลๆ
ทั้งสองคนต่อสู้กันจนแสงของวิเศษแลบแปลบปลาบ เสียงของวิเศษปะทะกันดังสนั่นมาเข้าหูไม่ขาดสาย จนทำให้ดวงตาคนพร่าพราย อานุภาพกดดันอันแข็งแกร่งกวาดไปรอบด้านไม่หยุด ดอกไม้ต้นไม้เล็กๆ ในรัศมีร้อยหลี่ถูกทำลายจนเละเทะไปหมด บนพื้นมีหลุมขนาดใหญ่และรอยกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน ยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างยิ่งจริงๆ
อยู่ห่างไกลจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่มองออกรางๆ ว่าคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสวมชุดยาวแบบจีนสีม่วงขาว ส่วนอีกคนหนึ่งกลับเป็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษสวมชุดสีทองเป็นประกาย เนื่องจากท่านอ๋องหมาจื่อ จินเฟยเหยาจึงไม่มีความรู้สึกดีกับผู้บำเพ็ญเซียนที่สวมชุดสีเหลืองทอง นางจึงเอ่ยอย่างดูแคลน “สวมเสียเหมือนกองทองคำ ต้องหน้าตาใกล้เคียงกับท่านอ๋องหมาจื่อแน่”
“ถ้าเจ้าอยากตายก็อย่าทำให้ข้าเดือดร้อนไปด้วยได้หรือไม่ ถ้าถูกพวกเขาได้ยินเข้า เจ้ายังคิดจะไปอยู่หรือไม่” เหรินเยี่ยนมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม ยายคนปากเบานี่
จินเฟยเหยาโบกมือให้เขา “ไม่ต้องห่วง พวกเขาสู้กันจนเป็นแบบนั้น ถึงได้ยินก็ไม่ว่างมาลงมือกับพวกเรา อีกทั้งถึงเขามาจริงๆ ก็มีศิษย์พี่เหรินคอยต้านรับอยู่”
“เจ้า!” เหรินเยี่ยนเกือบคิดจะลงมือ พอคิดถึงคำสั่งของอาจารย์ก็ได้แต่อดทนไว้
“ตูม!” เสียงดังสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้จินเฟยเหยาและเหรินเยี่ยนมีการเตรียมตัว นำของวิเศษออกมาต้านทานปราณกระบี่และคลื่นการโจมตีที่ตามมาทันที จากนั้นก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นมีดอกจวี๋เบ่งบานอยู่ด้านหลัง ปราณสังหารกดดันคนและเจตนาสังหารเต็มไปทั่วท้องนภา ขนาดจินเฟยเหยาและเหรินเยี่ยนอยู่ไกลยังเกือบจะทนไม่ไหว เลือดลมปั่นป่วนจนกระอักโลหิตออกมา
“นี่มัน! ไม่จริงน่า…” เห็นดอกจวี๋ด้านหลังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนนั้น จินเฟยเหยาก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง นางตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นเหาะไปยังสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเซียนสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างกะทันหัน
“เจ้าทำอะไร!” เหรินเยี่ยนเห็นนางพุ่งตรงไปหาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก็รีบส่งเสียงตะโกนคิดจะห้ามนาง ทว่าจินเฟยเหยาไม่สนใจเสียงตะโกนของเขา เร่งความเร็วบินไป
เหรินเยี่ยนกัดฟัน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ติดตามไป เพียงจับตาดูจินเฟยเหยาอย่างระแวดระวังอยู่ไกลๆ เตรียมหนีเอาชีวิตรอดทุกเมื่อ
เขาแอบคิดว่า นี่จินเฟยเหยาอยากไปเองนะ ถ้าโดนคลื่นโจมตีและถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สังหาร ขอเพียงตนเองสามารถมีชีวิตรอดจะนำคำพูดกลับไปบอก อาจารย์อาจู๋คงทำอะไรข้าไม่ได้ บนร่างข้ามีเวทตามวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่พวกนี้อย่างไรก็ต้องไว้หน้าสำนักตงอวี้หวง คงไม่สังหารข้าให้สิ้นซาก
ในขณะที่เหรินเยี่ยนลังเล จินเฟยเหยาก็เหาะมาใกล้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ และอยู่ห่างจากคนทั้งสองหนึ่งร้อยจั้ง ถึงระยะห่างขนาดนี้ นางก็ไม่กล้าไปข้างหน้าต่อเพียงยืนจ้องมองพวกเขา
เป็นอย่างที่คาดไว้ คนที่ก่อนหน้านี้ดูแล้วนึกว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรี เป็นสยงเทียนคุนจริงๆ
ชุดยาวแบบจีนสีม่วงขาว แลดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง ทว่าระหว่างที่เขายกมือวางเท้า เห็นได้ชัดว่าชุดยาวแบบจีนมีปราณวิญญาณกดดันคนแผ่ออกมา เรือนผมสีดำสนิทใช้ปิ่นสองชิ้นเสียบไว้อย่างเรียบง่าย จะเสียบหรือไม่เสียบก็เหมือนกัน เส้นผมส่วนมากแผ่กระจาย ผิวพรรณขาวเนียนนุ่มและองคาพยพทั้งห้าอันงามประณีต ทำให้จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกริษยา
เจ้าหมอนี่ เหตุใดยังงดงามขนาดนี้ ยังจะให้สตรีมีชีวิตอยู่หรือไม่!
ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาเป็นบุรุษรูปงามหางตาชี้ ถึงแม้จะสวมชุดสีทองเป็นประกาย ทว่าหน้าตาหล่อเหลาสง่างามจริงๆ เพียงแต่สายตาดูชั่วร้าย ให้ความรู้สึกว่าเป็นบุรุษเจ้าสำราญ
บุรุษผู้นี้ถือคทาหรูอี้สีขาวทั้งชิ้น บนคทาหรูอี้ฝังหินผลึกหรือมุกห้าหกสีสันจำนวนมาก เวทมนตร์พ่นออกมาจากหินผลึกที่มีสีสันแตกต่างกันตามการวาดของมือเขา
เขาเพิ่งโบกคทา นกเพลิงขนาดสามจั้งก็บินออกมาจากหินผลึกสีแดงก้อนหนึ่ง ไอร้อนพุ่งมาปะทะหน้าทำให้นางหวาดกลัวจนต้องรีบกางม่านแสงเพื่อหลบหลีกชั่วคราว
ส่วนสยงเทียนคุนยังถือกระบี่ดอกจวี๋สังหารดังเดิม ไม่ใช่เล่มเดียวทว่าเป็นยี่สิบสี่เล่ม ขณะที่นกเพลิงพุ่งเข้ามา เขาจัดวางค่ายกลกระบี่อย่างไม่แตกตื่นลนลาน ตรงกลางค่ายกลกระบี่มีดอกจวี๋ดอกหนึ่งลอยขึ้นมา ล้อมกรอบนกเพลิงไว้ในพริบตา ดอกจวี๋และนกเพลิงกลายเป็นความว่างเปล่าและหายไปพร้อมกันทันที
ผู้บำเพ็ญเซียนหางตาชี้เห็นนกเพลิงถูกค่ายกลกระบี่ทำลายก็โบกคทาหรูอี้อีกครั้ง มุกวิเศษสีเขียววาบขึ้น แสงรัศมีสีเขียวกลายเป็นใบไม้บินออกมาจากคทาหรูอี้ ดูเหมือนไร้พิษสงทว่ากลับมีปราณวิญญาณโจมตีเข้าใส่สยงเทียนคุน
เขายังยิ้มแย้มและเอ่ยชมเชย “อำมหิตจริงๆ ข้าชอบสตรีอย่างเจ้า ไม่ว่าเจ้าเป็นคนของสำนักใด วันนี้ข้าต้องการเจ้าแน่แล้ว!”
หืม? จินเฟยเหยามองเขาแล้วมองสยงเทียนคุน ในใจอดหมดวาจาไม่ได้ หรือว่าเจ้าหมอนี่เห็นสยงเทียนคุนเป็นสตรี พอเห็นก็ตกหลุมรัก ดังนั้นจึงคิดเป็นป้าอ๋องฝืนน้าวธนู[1] ใช้กำลังชิงตัวสตรีดีงาม
นึกว่าสยงเทียนคุนจะปฏิเสธ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาเพียงเม้มริมฝีปากไม่ส่งเสียงสักนิด ใช้การรับรู้ควบคุมค่ายกลกระบี่ดอกจวี๋สังหารไปต้านทานใบไม้สีเขียว
เพราะเหตุใดจึงไม่พูด? บอกอีกฝ่ายตรงๆ ว่าข้าเป็นบุรุษ อย่ามาพัวพันข้าได้หรือไม่ก็พอ จินเฟยเหยาดูจนร้อนใจ ขอเพียงเปิดเผยฐานะบุรุษก็สามารถทำให้อีกฝ่ายหยุดได้ ถึงอย่างไรคนชอบบุรุษก็มีจำนวนน้อย เห็นผู้บำเพ็ญเซียนเจ้าสำราญคนนี้ลุ่มหลงนารี น่าจะไม่สนใจบุรุษเท่าใด
ในเวลานี้เอง สยงเทียนคุนเหลือบมองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมใจกล้าที่วิ่งมาดูเรื่องสนุกโดยเฉพาะอย่างไม่รักชีวิตแวบหนึ่ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป!
…………………………………
[1] ป้าอ๋องฝืนน้าวธนู หมายถึง ใช้กำลังบังคับหรือฝืนใจ สมัยก่อนอาจเป็นการทำเรื่องบางอย่าง สมัยใหม่มักหมายถึงเรื่องทางเพศ