คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 238 ยากจนอย่างยิ่ง
เห็นสยงเทียนคุณมองเห็นตนเอง อีกทั้งสีหน้ายังแปรเปลี่ยนนิดๆ จินเฟยเหยาก็รู้ว่าเขาจำตนเองได้จึงแย้มยิ้มให้เขา
ตอนนี้อยู่ในระหว่างต่อสู้กัน สยงเทียนคุนเพียงกวาดมองแวบหนึ่งก็รั้งสายตากลับไปทันทีและขมวดคิ้วอย่างน่ามอง
ผู้บำเพ็ญเซียนฝั่งตรงข้ามที่สวมชุดสีทองเป็นประกายก็มองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างดูแคลน เห็นได้ชัดว่าไม่รู้สึกสนใจรูปโฉมของจินเฟยเหยา
ความสนใจหลักๆ ของเขายังอยู่บนตัวสยงเทียนคุน ดังนั้นจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “คนงาม เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ เพียงแค่คิดจะเอาชีวิตข้าจริงๆ หรือ พวกเราสองคนไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ถ้าเจ้าทำเพื่อทรัพย์สิน ขอเพียงเจ้าเป็นสตรีของข้า เจ้าอยากได้อะไรข้าก็จะให้เจ้า”
ล่อลวง? ที่แท้พี่สยงเป็นฝ่ายล่อผู้อื่นมา? หรือว่าไม่พบกันร้อยปีเขามีความชอบเช่นนี้แล้ว? จินเฟยเหยากระพริบตา มองสยงเทียนคุนอย่างประหลาดใจ
สายตาสยงเทียนคุนพลันเคร่งขรึม อ้าปากคายกระบี่ดอกจวี๋สังหารสิบสองเล่มออกมาอีกทันที รวมเป็นค่ายกลกระบี่สามสิบหกเล่ม
กระบี่ดอกจวี๋สังหารสามสิบหกเล่มสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ ส่งเสียงดังวิ้งๆ ปราณสังหารพวยพุ่ง ดอกจวี๋สูงถึงสิบกว่าจั้งดอกหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นกลางค่ายกลกระบี่
ผู้บำเพ็ญเซียนหางตาชี้ก็รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารคุกคามราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ อันตราย! อันตรายอย่างยิ่ง! แสงเจ็ดสีสันของคทาหรูอี้ในมือเขากระพริบ แสงหลากสีสันรวมเข้าด้วยกัน อุรังอุตังนัยน์ตาสีแดงก่ำขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ยอมแพ้ปราณกระบี่ดอกจวี๋สังหารของสยงเทียนคุนเช่นกัน
จินเฟยเหยามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็หมุนตัวบินหลบหนีออกไปไกลอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่ตรงนี้มีแต่จะเกะกะ อีกทั้งนางไม่อยากถูกคลื่นเวทมนตร์ที่ดูน่ากลัวกวาดมาโดน ชั่วพริบตา นางพุ่งมาถึงเบื้องหน้าเหรินเยี่ยน ยังไม่ทักทายสักคำก็ล่าถอยออกไปอีกหลายร้อยจั้ง
จินเฟยเหยารู้สึกว่าระยะทางเท่านี้น่าจะพอแล้ว จึงนำทงเทียนหรูอี้ออกมาเปลี่ยนเป็นโล่ขนาดใหญ่สองชิ้นตั้งอยู่ด้านหน้าร่าง ใช้เข็มขัดวิเศษไป๋หลิงที่ใช้การรับรู้ตรวจสอบนานแล้วพันไว้บนเอว แล้วใช้ม่านแสงอีกหนึ่งชั้น คิดๆ ดูยังรู้สึกไม่วางใจ สุดท้ายก็โยนฟองแสงนรกออกมา ให้กระพริบแสงสีดำปกคลุมอยู่บนร่างของตนเอง
ฟองแสงนรกเป็นเพียงฟองขนาดใหญ่ ไม่มีปราณวิญญาณสีดำพวยพุ่งออกมา จึงไม่ดึงดูดความสนใจของเหรินเยี่ยน เขาเพียงแต่ถูกความเคลื่อนไหวของจินเฟยเหยาทำให้ตกใจ จึงรีบนำของวิเศษป้องกันทั้งหมดในร่างออกมา กางม่านแสงปกป้องตนเองอย่างแน่นหนาถี่ยิบ จากนั้นเหรินเยี่ยนมองจินเฟยเหยา เห็นนางอุ้มกบสองตัวของตนเองขวางไว้ด้านหน้าเป็นการป้องกันชั้นสุดท้าย จากนั้นจ้องมองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่อยู่ไกลลิบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
คิดไม่ถึงว่าสัตว์ภูติยังมีประโยชน์แบบนี้ด้วย! เหรินเยี่ยนนึกถึงว่าตนเองก็มีสัตว์ภูติขั้นสี่อยู่ตัวหนึ่ง เป็นสัตว์หลิงข่งที่น่ารัก มีสติปัญญานานแล้ว เรื่องให้เขาเอาออกมาเป็นโล่ เขาทำไม่ลงจริงๆ แต่เขาเกิดความคิดว่ากลับไปจะเลี้ยงสัตว์โง่ๆ ตัวใหญ่หลายตัวทันที ต่อไปสามารถใช้เป็นโล่หรือดึงดูดความสนใจศัตรูได้ คาดว่าคงใช้ได้ดีอย่างยิ่ง
เขาสองคนเพิ่งเตรียมตัวเสร็จ ดอกจวี๋กลางค่ายกลกระบี่ของสยงเทียนคุนก็ค่อยๆ เบ่งบาน เทพธิดามือกุมกระบี่ยาวซึ่งสร้างจากปราณกระบี่ปรากฏตัวขึ้นกลางดอกจวี๋ นางมีสีหน้าเย็นชา ถือกระบี่ยาวเหาะขึ้นและเหินบินเข้าหาอุรังอุตังนัยน์ตาแดงก่ำอย่างสง่างาม
เทพธิดาบินเข้าใกล้อุรังอุตังนัยน์ตาแดงก่ำ รูปโฉมอันงดงามเป็นเอกพลันกลายเป็นซากศพเน่าเปื่อย ความสง่างามก่อนหน้านี้หายไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้า
“ตูม!” เทพธิดาและอุรังอุตังนัยน์ตาแดงก่ำปะทะกัน เทพธิดาฟาดฟันกระบี่ร้อยคราในพริบตา ส่วนอุรังอุตังนัยน์ตาสีแดงก่ำก็ทุบทรวงอกอย่างสุดกำลังและพ่นดวงแสงกว้างหนึ่งจั้งกว่าดวงแล้วดวงเล่าออกมาจากปาก ปราณกระบี่ปะทะดวงแสงกลางท้องนภา เสียงตูมสนั่นดังขึ้นไม่หยุด สั่นสะเทือนจนหัวใจของจินเฟยเหยาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
เสียงดังเปรี๊ยะ ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันมา มีรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนทงเทียนหรูอี้ชิ้นหนึ่งราวกับดอกไม้บาน เป็นชิ้นที่มีรอยแตกเล็กๆ ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่หล่อเลี้ยงให้เป็นดังเดิมพอดี
“อา! ของวิเศษของข้า!” จินเฟยเหยาหวาดกลัวจนสีหน้าแปรเปลี่ยน หลังร้องตะโกนเสียงดังก็หันหน้าวิ่งหนี
โล่ไม้วิญญาณสีแดงชิ้นหนึ่งก็ถูกปราณกระบี่ฟัน ยังมองเห็นไม่ชัดโล่ไม้วิญญาณสีแดงก็ถูกฟันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นดวงแสงที่ถูกดีดออกมาก็พุ่งเข้าโจมตีการป้องกันสองชั้นของเขาพังแล้วพุ่งตรงมายังม่านแสงชั้นสุดท้าย
“สมควรตาย!” เหรินเยี่ยนไม่สนใจ โยนติ่ง[1]เทียนซานซึ่งเป็นของวิเศษแก่นชีวิตออกมาอย่างรวดเร็วขวางไว้ด้านหน้าร่าง
เสียงดังเปรี๊ยะๆ ติ่งเทียนซานต้านทานดวงแสงที่อุรังอุตังนัยน์ตาแดงก่ำโยนออกมา ทว่าก็ถูกดวงแสงเผาจนดำเกรียม ทำให้ชีพจรของเหรินเยี่ยนเสียหายอย่างหนักและพ่นโลหิตออกมาหลายคำทันที
เหรินเยี่ยนรู้สึกเหมือนตนเองเหยียบมูลสุนัข คิดไม่ถึงว่าจะโชคร้ายขนาดนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ จึงรีบหมุนตัววิ่งหนีไปทางที่จินเฟยเหยาวิ่งหนีไป ถ้าอยู่ด้วยกันสองคน ต่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนคิดจะสังหารพวกเขา คนที่วิ่งเร็วจะปลอดภัยกว่าคนที่วิ่งช้า
จินเฟยเหยาวิ่งหนีออกจากรัศมีการโจมตีมาไกลลิบจึงหยุดลง ลูบคลำทงเทียนหรูอี้ของตนเองด้วยความเสียดาย โศกนาฏกรรมนี้ เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ทงเทียนหรูอี้ของข้า!
“เจ้าทำอะไรกันแน่! เพราะเหตุใดการโจมตีต่อมาจึงรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า อาวุธเวทแก่นชีวิตของข้าเสียหายอย่างหนัก เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร!” เหรินเยี่ยนไล่ตามมา ด่าทออย่างเดือดดาลด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว เผยสายตาดุร้าย “ตะโกนทำไม อาวุธเวทแก่นชีวิตของข้าก็เสียหายไปอันหนึ่ง มิใช่มีเพียงของเจ้าที่เสียหาย เจ้าตะโกนใส่ข้าทำไม มือสังหารอยู่ทางนั้น หากเจ้ามีความสามารถก็ไปหาพวกเขาสิ”
“ข้าบอกแต่แรกว่าไม่ให้เจ้าไป เจ้ายังจะไป เจ้าคนไม่เอาไหนทำเรื่องดีๆ ไม่ได้!” เหรินเยี่ยนเจ็บใจแทบตายแล้ว ติ่งเทียนซานเป็นอาวุธเวทแก่นชีวิตที่เขาเพิ่งหลอมสร้างได้ไม่ถึงสิบปี ติ่งเล็กๆ ที่เดิมสีเขียว ตอนนี้เหมือนหม้อโทรมๆ ที่ต้มอาหารมาร้อยปีแล้วไม่เคยล้างคราบเขม่าสีดำ
“เอะอะแทบตายแล้ว! ไม่อยากไปก็ไสหัวกลับไป ตลอดทางข้ามีท่าทางเป็นมิตรให้เจ้า แต่เจ้ายังหลงตัวเองว่าดีมาตลอด” จินเฟยเหยาตวาดอย่างเดือดดาล ถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์ไม่ดี
คิดไม่ถึงว่าใบหน้าทะเล้นของจินเฟยเหยา พอมีโทสะขึ้นมาก็ดุร้ายอย่างยิ่ง เหรินเยี่ยนเอ่ยอย่างอำมหิต “ถ้ามิใช่อาจารย์สั่งไว้ ข้าคงกำจัดเจ้าไปนานแล้ว เจ้ายังไม่รู้จักซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะตะโกนเถียงข้า”
“ฮึ” จินเฟยเหยาส่งเสียงออกมาจากจมูก เอ่ยอย่างเย็นชา “ถือว่าตนเองเก่งจริงๆ ต่อให้เจ้ามีคาถาตามวิญญาณนั่นแล้วอย่างไร คิดว่าข้าไม่มีวิธีลงมือกับเจ้าจริงหรือ? ข้าจะอัดเจ้าจนเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย มดหนึ่งผลึกตัวหนึ่งก็สามารถกัดเจ้าตายได้”
“ข้าทนเจ้ามามากพอแล้ว วันนี้ข้าจะส่งเจ้าไปตายเสีย!” เหรินเยี่ยนกัดฟันเอ่ยอย่างอำมหิต
จินเฟยเหยาลูบใบหน้ามองเขาอย่างดูแคลน “ข้าเกรงว่าเจ้าไม่มีโอกาสลงมือแล้ว”
“พูดจาโอหัง เจ้าทดลองดู!” เหรินเยี่ยนหยิบกระบี่บินที่เขาใช้เหาะเหินออกมาแทงใส่จินเฟยเหยาอย่างเดือดดาล
จินเฟยเหยาเผชิญหน้ากับกระบี่บินที่พุ่งเข้ามา ขนาดหลบยังคร้านจะหลบ เพียงเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “พี่สยง เขายังตายไม่ได้”
“หา?” เหรินเยี่ยนตะลึงงัน รู้สึกว่าทรวงอกของตนเองเจ็บปวด กระบี่ยาวสีเหลืองเล่มหนึ่งแทงทะลุมาจากด้านหลัง โลหิตไหลลงมาตามกระบี่ยาวหยดติ๋งๆ
ต่อมาเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรง กระบี่ยาวถูกคนดึงออกทางด้านหลัง เหรินเยี่ยนกุมท้องหันหน้าไปมอง มีบุคคลผู้งดงามอย่างที่สุดซึ่งสวมชุดยาวแบบจีนสีขาวม่วงยืนอยู่ด้านหลัง เพียงแต่สิ่งที่ทำลายภาพอันงดงามคือในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“มีความกล้าไม่เบา ถึงมีความคิดเช่นนี้” คนผู้นี้อ้าปากส่งเสียงบุรุษออกมาประโยคหนึ่ง แล้วซัดเขาหนึ่งฝ่ามือ
เสียงดังตูม เหรินเยี่ยนรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างแตกหัก ถูกอานุภาพกดดันกดเข้าไปบนพื้นและจมลึกลงในดิน ขณะหมดสติไป ในสมองของเขามีความคิดหนึ่งวาบขึ้น “ท่านยายมันเถอะ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษ!”
“เสี่ยวจิน คนแบบนี้จะไว้ชีวิตทำไม สังหารทิ้งทันทีก็พอแล้ว” สยงเทียนคุนเก็บกระบี่ดอกจวี๋กลับมาแล้วมองจินเฟยเหยาด้วยสายตาอ่อนโยน
จินเฟยเหยากำลังพันแผลให้เหรินเยี่ยน เนื่องจากกระดูกทั่วร่างของเขาถูกสยงเทียนคุนหัก นอกจากบาดแผลที่ทรวงอก ยังต้องทำให้กระดูกที่หักไม่ขยับเขยื้อน ดังนั้นครู่หนึ่งเหรินเยี่ยนจึงถูกนางห่อจนเป็นบ๊ะจ่าง
จินเฟยเหยาได้ยินคำถามของสยงเทียนคุน จึงเอ่ยยิ้มๆ “เขายังตายไม่ได้ บนร่างของเขามีเวทตามวิญญาณ ถ้าท่านฆ่าเขาจะถูกเจ้าสำนักตงอวี้หวงล่าสังหาร อีกทั้งข้ายังต้องอาศัยเขาเป็นพยานบุคคลโดยสารเรือของสำนักฉีเทียนไปโลกระดับเทพ พี่สยง ท่านมาที่นี่และต่อสู้กับคนผู้นั้นได้อย่างไร?”
สยงเทียนคุนหน้าแดงวูบ เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “เขามาเกี้ยวพาราสีข้า ดังนั้นข้าจึงพาเขามานอกเมือง คิดจะสังหารเขาทิ้ง น่าเสียดายที่คทาหรูอี้ของเขาร้ายกาจอย่างยิ่ง ข้าใช้กระบี่ดอกจวี๋สังหารสามสิบหกเล่มแล้วยังปล่อยให้เขาหนีไปได้”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเขาบอกว่า เหมือนท่านจงใจล่อเขามา อีกทั้งเขายังดูไม่ออกว่าท่านเป็นบุรุษ ต่อให้หน้าตาเหมือนสตรีมาก แต่ท่านไม่มีหน้าอกมิใช่หรือ?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย
เห็นสยงเทียนคุนหน้าแดงและไม่เอ่ยวาจา จินเฟยเหยาพลันคาดเดาอย่างใจกล้า นางอดถามไม่ได้ว่า “หรือว่าท่านปลอมตัวเป็นสตรี จงใจล่อผู้บำเพ็ญเซียนออกมา จากนั้นสังหารพวกเขาทิ้งแล้วปล้นชิงสิ่งของ?”
หลังสยงเทียนคุนฟังแล้วก็มองนางอย่างเศร้าเสียใจแล้วเบนสายตาไปมองทางอื่น
คิดไม่ถึงว่าจะเดาถูก “พี่สยง ท่านยากจนจนกลายเป็นแบบนี้เลยหรือ? คิดไม่ถึงว่าจะใช้ความงามล่อลวงผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษออกมาปล้นทรัพย์”
สยงเทียนคุนยิ้มอย่างขัดเขิน “พวกเราหาสถานที่คุยกันเถอะ ยากรับรองได้ว่าอีกสักครู่คนผู้นั้นจะมาแก้แค้นหรือไม่”
“ก็ได้ ที่นี่ห่างจากหอฉีเทียนไม่ไกล ข้าไม่อยากไปถึงเร็วนัก พวกเราไปจากที่นี่ก่อน หายอดเขาที่ปลอดภัยและไร้ผู้คนสักแห่งเถอะ” จินเฟยเหยาก็พยักหน้า จากนั้นย้ายเหรินเยี่ยนที่ยังหมดสติขึ้นพรมบิน
สยงเทียนคุนก็อยากนั่งพรมบินสกปรกผืนนี้ ไม่อยากเหยียบของวิเศษเหาะเองอยู่ด้านข้าง จินเฟยเหยาได้แต่ย้ายเหรินเยี่ยนไปไว้ริมๆ และให้พั่งจื่อกับต้านิวที่หดตัวเล็กฉุดดึงไว้หน่อยจะได้ไม่เหวี่ยงตกลงไปตอนเลี้ยว แบบนี้จะได้มีที่ว่างเพียงพอให้จินเฟยเหยาและสยงเทียนคุนนั่ง
เหาะมาสี่ห้าชั่วยาม พวกเขาก็พบยอดเขาที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง มองไปมีต้นไม้เจริญงอกงาม ทิวทัศน์ยังพอใช้ได้ จึงตัดสินใจพักผ่อนที่นี่หลายวันเป็นการชั่วคราว
……………………………………..
[1] ติ่ง เป็นภาชนะคล้ายหม้อใช้ทำอาหารในสมัยโบราณ มีหูจับสองข้าง และขาตั้งสามขา